บทที่ 1 งานสมรส

ตอนที่ 1 งานสมรส

“ไอ้คนแซ่เหอ! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

“เจ้าซูตุ้ยนุ้ย! เจ้ายอมแพ้เสียเถิด! ข้าไม่มีวันแต่งเจ้ามาทำเมียหรอก!”

วันนี้เป็นวันมงคลรับลูกเขยของซูตุ้ยนุ้ย แต่ในวันเดียวกันนี้สามีของนางกลับหนีไป มันช่างน่าโมโหยิ่งนัก!

ต้องกล่าวว่าเหอถงเซิง[footnoteRef:1]ผู้นี้ก็ถูกแม่สื่อหลอก ในหมู่บ้านซิ่งฮวามีสองตระกูลที่แซ่ซู หนึ่งคือตระกูลของเหล่าซู มีบรรพบุรุษขุนนาง พื้นเพครอบครัวขาวสะอาด บุตรสาวที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ล้วนรูปโฉมงดงาม ชื่อเสียงเรียงนามดี นับว่าเป็นคู่ครองที่เหล่าบุรุษล้วนหมายปองอยากแต่งเข้าเรือนแม้แต่ในความฝัน [1: ถงเซิง คือ คำเรียกผู้ที่สอบผ่านระดับต้นหรือระดับท้องถิ่นในระบบการสอบขุนนาง ]

ถึงแม้การแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงจะไม่น่าฟังเท่าไรนัก แต่หากเป็นเหม่ยเจียวเหนียงแห่งตระกูลซูแล้วนั้นก็พอรับได้ บวกกับสินสอดทองหมั้นที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างงาม...ตั้งยี่สิบตำลึงเชียว!

การเล่าเรียนของเขาก็มีหวังแล้ว!

แต่ใครจะรู้ว่าแต่งเข้ามาแล้วจึงพบว่าตระกูลฝ่ายหญิงที่ตนแต่งงานด้วยนั้นคือตระกูลเสี่ยวซูซึ่งเป็นรังอันธพาลตระกูลนั้น!

เมื่อเห็นหน้าที่เบียดไปด้วยเนื้อของซูพั่งยาแล้วเขาก็เริ่มคิดกระทั่งอยากฆ่าตัวตาย!

“เจ้ารับสินสอดจากตระกูลข้าไปแล้วก็ถือว่าเป็นสามีของข้า!”

“เจ้าฝันไปเถอะ!”

เหอถงเซิงวิ่งหนีไปไม่แม้แต่จะหันกลับมา!

ซูตุ้ยนุ้ยจึงกลายเป็นตัวตลกของทั้งหมู่บ้าน

นางหยิบมีดฆ่าหมูวิ่งตามไป แต่ดันสะดุดล้มอย่างไม่คาดคิด

ศีรษะของนางฟาดกับพื้นอย่างแรงจนมีเนื้อก้อนใหญ่ปูดขึ้นมา

เมื่อซูเฉิงผู้เป็นบิดามาถึงห้องนาง นางก็สลบไปแล้วตรงธรณีประตู

ซูเฉิงตกใจมาก เขาอยากอุ้มบุตรสาวที่ไม่ได้สติขึ้นมาในอ้อมอก ทำหน้าที่เป็นพ่อผู้มีความเมตตาอย่างเต็มเปี่ยม

เอ่อ…อุ้มไม่ไหว

เขาเปลี่ยนไปเขย่าไหล่ของบุตรสาวแทน แต่การเขย่านี้ช่างกินแรงเหลือเกิน “ต้ายา! เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ! ฟื้นสิ!”

“ท่านพ่อ! คนแซ่เหอมันหนีเข้าไปในเมืองแล้ว!”

นี่คือน้องชายนามว่าซูเอ้อร์โก่ว

เมื่อได้ยินซูเอ้อร์โก่วเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา ซูตุ้ยนุ้ยที่ลำบากกว่าจะฟื้นคืนสติก็ปิดตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง สลบไสลไม่ฟื้นอีก

ซูเฉิงโกรธจนกัดฟันแน่น กำหมัดดังกรอด “ก็แค่สามีหนึ่งคนเท่านั้นมิใช่หรือ ต่อให้ต้องไปลักพาตัวมา พ่อก็จะพามาให้เจ้าจงได้!”

ซูเฉิงพูดจริงทำจริง เขาพาบุตรชายไปจับตัวลูกเขยในหมู่บ้านทันที

เขาไม่เชื่อว่าไม่มีใครยอมรับบุตรสาวของซูเฉิง!

“ท่านพ่อ”

ซูเอ้อร์โก่วชี้ไปยังหมู่บ้านที่ว่างเปล่าจนไม่เหลือแม้แต่ขนไก่ “ดูเหมือนชาวบ้านจะปิดประตูเรือนกันหมดแล้ว”

ซูเฉิง “...”

ซูเฉิงไม่ยอมแพ้ พาบุตรชายเดินตามถนนสายหลักเพื่อตามจับตัวคนต่อ

เหมือนว่าโชคจะดีไม่น้อย สองพ่อลูกดันพบกับกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง ดูท่าแล้วน่าจะเป็นกลุ่มโจรป่าที่จับตัวพ่อค้าผ่านทางได้คนหนึ่ง

แต่พ่อค้าน่าจะหนีไปได้ เหลือเพียงองครักษ์สวมหน้ากากคนหนึ่งที่ยังจัดการกับกลุ่มโจรป่า

สองพ่อลูกซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาไม่ไกลและคอยจับตาดูการต่อสู้บนถนนสายหลักตรงนั้นโดยไม่ละสายตา

“ท่านพ่อ เราจับตัวคนไหนดี” ซูเอ้อร์โก่วที่หมอบอยู่หลังพุ่มหญ้าเอ่ยถาม

ซูเฉิงที่หมอบอยู่ใกล้ๆ กล่าวอย่างสุขุมว่า “จับคนที่สู้เก่งที่สุด เอวดี คลอดบุตรได้!”

ซูเอ้อร์โก่วงุนงง “คลอดบุตรเป็นเรื่องของสตรีมิใช่หรือ”

ซูเฉิงค้อนตาใส่บุตรชายหนึ่งที “ถ้าเอวบุรุษไม่ดีแล้วผู้หญิงจะได้คลอดบุตรหรือไม่เล่า”

“อ้อ” ซูเอ้อร์โก่วเข้าใจทันที

หลังจากประลองฝีมือกันเสร็จสิ้น องครักษ์สวมหน้ากากก็กำราบโจรป่าได้แปดคน แต่ถึงอย่างนั้น เขาเองก็เสียแรงไปไม่น้อย ร่างกายของเขาบาดเจ็บสาหัสและไร้เรี่ยวแรง

ด้วยเหตุนี้ เมื่อสองพ่อลูกตระกูลซูซุ่มจู่โจมเขาจากด้านหลัง เขาจึงไม่มีกระทั่งโอกาสโต้ตอบ ถูกถุงกระสอบครอบจนดวงตาทั้งสองมืดสนิท

ขณะที่สองพ่อลูกตัดสินใจจะแบกเขากลับไปก็พลันมีเสียงเคลื่อนไห สวบสาบจากด้านในรถม้าที่อยู่ข้างๆ

ยังมีคนอีกหรือ!

ซูเฉิงดึงขวานออกมาอย่างระวังตัวและเปิดผ้าม่านรถม้าออก!

เมื่อเห็นฉากในรถม้าชัดเจนแล้ว เขาก็ตะลึงงันไปในทันที…

...

เรือนตระกูลซู

ซูเสียวเสี่ยวที่อยู่บนเตียงมงคลสีแดงลืมตาขึ้นช้าๆ นางลืมตาเป็นครั้งที่แปดแล้ว และนางมั่นใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ฝันไปแน่

นางข้ามภพมาจริงๆ

จากแพทย์ทหารควบทหารซุ่มยิงมือหนึ่งกลายมาเป็นหญิงตุ้ยนุ้ยยุคโบราณที่ตัวหนักร้อยกิโลแถมโง่เขลาไม่รู้ตัวอักษร

ขี้เกียจตัวเป็นขนไม่ว่า แต่ยังเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เป็นอันธพาลในหมู่บ้านอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มีหัก

นางมีบิดาเป็นคนพาลนามว่าซูเฉิง และมีน้องชายเป็นคนพาลนามว่าซูเอ้อร์โก่ว

สามพ่อลูกวางอำนาจบาตรใหญ่ สิ่งที่ควรค่าพอจะกล่าวถึงก็คือ พ่อนักเลงกับน้องอันธพาลต่างก็รักและเอ็นดูนางอย่างที่สุด

ก่อนหน้านี้ไม่นาน นางถูกใจถงเซิงแซ่เหอซึ่งอยู่หมู่บ้านถัดไป พ่อซูจึงใช้สมบัติทั้งหมดของตระกูล ไหว้วานแม่สื่อให้ไปสู่ขอลูกเขยคนนี้กับตระกูลเหอ

เดิมทีวันนี้เป็นวันมงคลสมรสของนางกับเหอถงเซิง แต่ใครเล่าจะคิดว่าเหอถงเซิงนั้นถูกแม่สื่อหลอก หลังจากความลับถูกเปิดเผย เหอถงเซิงก็ทิ้งนางและหนีงานแต่งงานทันที

เคยเห็นแต่เจ้าสาวหนีงานแต่งงาน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้าบ่าวเป็นคนหนี

นานทีปีหนจะมีสักครั้ง!

ถึงอย่างนั้น เรื่องที่ทำให้ซูเสียวเสี่ยวคาดไม่ถึงจริงๆ หาใช่งานแต่งปล่อยไก่งานนี้ไม่ หากแต่เป็นเรื่องที่ท่านพ่อซูถือมีดไปจับตัวลูกเขยที่หมู่บ้านเพื่องานสำคัญในชีวิตของบุตรสาวมากกว่า

ไม่ใช่ว่าจับตัวชายหนุ่มกลับมาให้นางจริงๆ นะ

ขณะที่ซูเสียวเสี่ยวกำลังย่อยความทรงจำในสมอง ซูเฉิงกับซูเอ้อร์โก่วก็กลับถึงเรือนพอดี

“ลูกสาวข้า! เจ้าฟื้นแล้วหรือ!”

ซูเฉิงเดินเข้ามาพบว่าบุตรสาวกำลังเอนกายเหม่อลอยอยู่บนเตียงจึงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วกุมมืออวบน้อยๆ ของบุตรสาวเอาไว้

“เจ้าทำพ่อใจหายใจคว่ำหมด! คราวหลังอย่าทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อีกเข้าใจหรือไม่ เจ้าหนุ่มแซ่เหอนั่นไม่ควรค่าเลย! สักวันพ่อจะจับมันสับเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปเลี้ยงหมู!”

ซูเสียวเสี่ยวยังไม่ชินกับครอบครัวที่ได้มาอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถึงเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ”

ซูเฉิงทำหน้าจริงจัง “ไม่จริง เจ้าเป็นแน่ๆ เจ้าไม่ร้องไห้เลย”

แล้วฉันต้องร้องไห้ปาข้าวปาของงั้นเหรอ

ซูตุ้ยนุ้ยในความทรงจำเป็นคนเช่นนั้นจริงๆ เพียงแค่มีเรื่องไม่ได้ดั่งใจก็จะอาละวาดลั่นทั่วเรือน ซึ่งการโหวกเหวกแผดเสียงร้องห่มร้องไห้เป็นเรื่องปกติของเรือนนี้ไปแล้ว

ซูเฉิงตามใจลูกสาวคนนี้มาก เขาไม่เคยกล้าอบรมสั่งสอนนางอย่างเข้มงวดเลยสักครั้งจึงทำให้อุปนิสัยของซูตุ้ยนุ้ยยิ่งกำเริบเสิบสาน อารมณ์ร้ายยากจะควบคุม

ซูเสียวเสี่ยวพยายามรักษาบุคลิกเดิม “ข้า คิดได้แล้วล่ะ คนแซ่เหอก็ไม่ได้มีดีอะไร ไม่คู่ควรกับข้า วันหลังท่านพ่อไม่ต้องลงมือทำสิ่งใดแล้ว ข้าจะเป็นคนไปสับมันเองเจ้าค่ะ!”

“นี่สิลูกสาวพ่อ!” ซูเฉิงพอใจมาก

เขานั่งลงข้างเตียงพร้อมยิ้มให้ลูกสาวอย่างมีเลศนัย “พ่อมีข่าวดีกับข่าวร้าย เจ้าอยากฟังข่าวไหนก่อน”

“ได้ทั้งสองอย่างเลยเจ้าค่ะ”

“พ่อจับลูกเขยมาให้เจ้าคนหนึ่ง เขารูปงามมากกว่าไอ้คนแซ่เหอเป็นร้อยเท่า! เจ้าต้องชอบแน่ๆ!”

สวรรค์!

จับตัวผู้ชายกลับมาให้นางจริงๆ รึนี่แล้วจะรักษาบุคลิกเดิมต่อไปได้ยังไงกัน

“เช่นนั้น ข่าวดีคืออะไรหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างเลื่อนลอย

ซูเฉิงมองบุตรสาวอย่างประหลาดใจ สิ่งที่บอกไปเมื่อครู่นี้เป็นข่าวดีมิใช่หรือ

ช่างเถอะ ในเมื่อบุตรสาวคิดว่าเรื่องต่อจากนี้เป็นข่าวดี ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นแล้วกัน

ซูเฉิงกระแอมให้คอโล่ง เขาเปลี่ยนโทนเสียงแล้วยิ้มกล่าว “ข่าวดีคือเจ้าไม่ต้องคลอดลูกแล้ว! เพราะลูกเขยคลอดให้เจ้าแล้วอย่างไรล่ะ!”

ซูเสียวเสี่ยวสำลัก

อะไรคือลูกเขยคลอดบุตรให้แล้ว ครอบครัวนี้มีคนสมองปกติบ้างหรือเปล่า

ซูเฉิงกางแขนออกและกวักเรียก “เอ้อร์โก่วจื่อ นำตัวเขามาหาพี่สาวเจ้าเร็ว!”

“ขอรับ! มาแล้วขอรับ!”

ซูเอ้อร์โก่วที่อยู่ด้านนอกขานตอบและผลักประตูห้องพี่สาวเข้ามา

ซูเสียวเสี่ยวหันมองแล้วเห็นหนึ่งคน สองคน สามคน… เด็กน้อยสามคนกอดห่อผ้ายืนเรียงแถว น้องชายของนางพาเข้ามาทีละคน

พ่อซูกางมือออกแล้วหัวเราะ แหะๆ “จับหนึ่งคนแต่ได้สาม น่าตื่นเต้นใช่หรือไม่ คาดไม่ถึงใช่หรือไม่”

ซูเสียวเสี่ยว “?!”