ตอนที่ 18 : พยายามจะกัดมือที่เลี้ยง

รอยยิ้มของฉินฟงฉีกกว้างอย่างแสยะ แสงในแววตาของมันกลับเปี่ยมไปด้วยเจตนาร้ายที่ยากจะปกปิด

เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์และข้อมูลเชิงตรรกะของฉินฟง เสียงของเหล่าผู้อาวุโสต่างก็แตกฮือกันไปต่างๆนานา ส่วนใหญ่แล้วต่างก็มองหน้าไป๋เฉินและกระซิบกระซาบกันด้วยเสียงแผ่ว

เห็นได้ชัดว่าการหารือในครั้งนี้คือโอกาสที่ดีในการขับไล่ไป๋เฉินออกจากตระกูลฉิน ฉินฟงรวมถึงฉินหมิงหยวนต่างก็แสดงสีหน้าที่ตั้งตารอด้วยอารมณ์เริงร่า การแสดงออกในแววตาของทั้งสองเผยให้เห็นถึงการเยาะเย้ย

"เจ้า!" ฉินเยว่ฉานจ้องเขม็งไปยังฉินหมิงหยวนและฉินฟงด้วยเจตนาฆ่าเมื่อเห็นว่าทั้งสองพยายามโน้มน้าวและโยนความผิดทุกประการให้แก่ไป๋เฉินเพียงผู้เดียว

การแสดงออกของฉินเหยียนยังคงเงียบสงบ พลางโบกมือให้ฉินเยว่ฉานหยุดเอ่ยคำใดๆ ก่อนจะมองไปยังไป๋เฉินด้วยรอยยิ้มอบอุ่น "ไป๋เฉิน เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้?"

ไป๋เฉินในอาภรณ์สีดำเผยรอยยิ้มสงบดุจน้ำนิ่ง เขามิได้แสดงอาการหวาดหวั่นใดๆราวกับว่าเขารู้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดอยู่ก่อนหน้าแล้ว

ฝีเท้าของไป๋เฉินก้าวไปข้างหน้าสามก้าวเพื่อเป็นการตอบสนอง ในขณะที่มือทั้งสองกำลังไพล่หลังด้วยการแสดงออกที่ยิ้มแย้มไปยังฉินเหยียน "ท่านลุง ข้าต้องเหรียญเงินและของมีค่าทั้งหมดของข้าคืนกลับมา ไม่ทราบว่าท่านยังเก็บสิ่งนั้นให้ข้าอยู่หรือไม่?"

"พั้วะ!"

"พั้วะ!"

"พั้วะ!"

ประโยคเดียวของไป๋เฉินส่งผลให้เหล่าผู้อาวุโสสามคนที่กำลังจิบชาถึงกับต้องเผลอพ่นชาออกมาเต็มปาก

"แค่ก! แค่ก! แค่ก!" ทั้งสามยังคงสำลักอย่างรุนแรงราวกับเป็นวัณโรค

พวกเขากำลังหารือในหัวข้อที่จริงจังซึ่งเกี่ยวข้องกันกับชีวิตการเป็นอยู่ของไป๋เฉินและชื่อเสียงของตระกูลฉินอยู่ทนท่อ แต่ดูเหมือนว่าไป๋เฉินจะมองเรื่องนี้เป็นแค่ละครปาหี่และมิได้มีประโยชน์ใดๆต่อตัวของเขาแม้แต่น้อย

มุมปากของฉินเหยียนอดไม่ได้ที่จะกระตุกอย่างหนักราวกับตะคริวจับ เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าไป๋เฉินจะกล่าวเช่นนี้ออกมาในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานและกำลังพิพากษาหารือขับไล่เขาออกไปเช่นนี้

แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดปริปากและกำลังรอดูว่าฉินเหยียนจะตอบสนองในสถานการณ์นี้อย่างไร

ผลสุดท้ายฉินเหยียนทำได้เพียงคล้อยไปตามหัวข้อของไป๋เฉินพร้อมกับเสียงกระแอมเบาๆ "อะแฮ่มๆ ไป๋เฉินเจ้าต้องการเท่าใด?"

"ทั้งหมด" ไป๋เฉินเอ่ยตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ

ฉินเหยียนอดไม่ได้ที่จะกลอกตาในขณะกำลังล้วงเข้าไปในอาภรณ์พลางเอ่ยถาม "เจ้าจะเอาสมบัติมากมายไปทำอันใด?"

"เรื่องของข้า" ไป๋เฉินยังคงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยและมือทั้งสองไพล่หลังอย่างไม่สุภาพเช่นเคย

"โอหัง! เจ้ากล้ากล่าวเช่นนั้นกับท่านผู้นำได้อย่างไร!?"

แน่นอนว่ามีใครบางคนที่มิอาจทนในพฤติกรรมของไป๋เฉินได้! ฉินฟงพลันลุกขึ้นพรวดพราดด้วยสีหน้าบึ้งตึง รัศมีปราณของเขาเข้าปกคลุมเพื่อข่มขู่ไป๋เฉินประดุจดั่งภูผากดทับอย่างหนักหน่วง!

ไป๋เฉินเพียงทอดสายตากลับมาครรลองมองฉินฟงด้วยการแสดงออกที่ไม่สะทกสะท้านก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "แน่นอนว่าข้าจะไม่นำไปซื้อบริการโสเภณีที่ย่านบุปผาเฉกเช่นผู้เฒ่าฉินฟงแน่นอน เพราะฉะนั้นท่านลุงวางใจในตัวข้าได้"

"พั้วะ!"

"พั้วะ!"

"พั้วะ!"

ผู้เฒ่าทั้งสามที่เพิ่งจะเช็ดชาที่หกเลอะเทอะกลับต้องเผลอพ่นชาออกมาอีกครา ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอันเริงร่าของฉินเยว่ฉานและเหล่าผู้อาวุโสอื่นๆอีกมากมาย

แต่ทว่ามีเพียงฉินเหยียนเท่านั้นที่เลิกคิ้วสูงสังเกตเห็นความผิดปกติ นั่นเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ฉินฟงได้ปลดปล่อยปราณแผ่ซ่านในระดับปราณลึกลับเพื่อต้องการข่มขู่ให้ไป๋เฉินต้องคุกเข่าลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แน่นอนว่าหากไป๋เฉินไม่มีระดับการบำเพ็ญที่เกินกว่าปราณสวรรค์คงจะยากที่จะต่อต้านรัศมีที่มาจากฉินฟงได้...

แต่พวกเขากลับลืมไปว่าไป๋เฉินในยามนี้นั้นไร้รากปราณ!และไม่สามารถฝึกฝนได้! แล้วไป๋เฉินสามารถแสดงอาการราวกับว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวเมื่อเผชิญกับรัศมีของฉินฟงเฉกเช่นนี้ได้อย่างไร?

แต่ฉินเหยียนทำเป็นไม่ใส่ใจและจะไม่เอ่ยปากใดๆเกี่ยวกับข้อสงสัยนี้ ก่อนที่จะยื่นถุงเงินให้แก่ไป๋เฉินแต่โดยดี

เมื่อได้รับถุงเงินและสมบัติที่ฝากไว้ ไป๋เฉินเก็บถุงเงินอย่างระมัดระวังพลันหันหลังจากไปด้วยอารมณ์แจ่มใส เขาเพียงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจในขณะกำลังย่างกรายออกจากห้องโถงใหญ่ไป "เอาล่ะ หมดธุระของข้าแล้ว ข้าจะกลับไปฝึกฝน-"

สีหน้าของฉินเหยียนมืดมนลงในบัดดลเมื่อสังเกตเห็นกิริยาที่แปลกประหลาดที่กำลังไป๋เฉินแสดงอยู่ จนตนอดไม่ได้ที่จะรั้งเขาไว้ด้วยคำถามเชิงทดสอบ "ไป๋เฉิน เจ้าจะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้หน่อยรึ? หากพวกข้าตกลงที่จะให้เจ้าถูกขับไล่ออกไปแล้วเจ้าจะทำอย่างไร?"

ไป๋เฉินที่กำลังจะก้าวเท้าขวาออกจากธรณีประตูได้เหลือบมองกลับมามองด้วยหางตาเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก "ท่านไม่จำเป็นต้องถามความคิดเห็นใดๆจากข้าแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรข้าเชื่อว่าท่านจะไม่มีวันขับไล่ข้าออกไปไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใด เพราะฉะนั้นข้ามองว่าไม่มีประโยชน์ที่จะหารือในหัวข้อนี้"

"และอีกอย่างข้าไม่ชอบเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เวลาของข้ามีค่ายิ่ง สู้เอาเวลานี้ไปฝึกฝนกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวเสียยังดีกว่า" ไป๋เฉินไปข้ามผ่านธรณีประตูด้วยอารมณ์ดี๊ด๊าซ้ำยังผิวปากอย่างสนุกสนาน

"หยุดเดี๋ยวนี้!" เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉินฟงยืนขึ้นด้วยการแสดงออกที่โกรธจัด พร้อมทั้งชี้ตรงไปยังไป๋เฉินด้วยสายตาที่ดุดัน "ไป๋เฉิน! เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตระกูลฉินทั้งหมด และเจ้าคือบุคคลที่ตกเป็นเป้าของศัตรู ซ้ำแล้วเจ้าไม่ทำคุณประโยชน์ใดๆให้แก่ตระกูล เจ้าคิดว่าเจ้าจะเดินออกไปเช่นนั้นแล้วทิ้งปัญหาไว้ให้แก่พวกข้าเช่นนั้นหรือ!" 

เห็นได้ชัดว่าฉินฟงพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพยายามยัดเยียดความผิดทั้งหมดให้แก่ไป๋เฉินโดยไม่สนใจความสัมพันธ์ใดๆของสองตระกูลแม้แต่น้อย

ไป๋เฉินมิได้หันมองกลับมา ก่อนจะเอ่ยวาจาคลุมเครือด้วยความรังเกียจ "หากไม่มีตระกูลไป๋ที่คอยประคับประคองในยามนั้น ก็จะไม่มีตระกูลฉินที่รุ่งโรจน์ในวันนี้...และหากตระกูลฉินไม่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลไป๋ในยามนั้น ป่านนี้ตระกูลฉินคงจะตกลงสู่การล่มสลายเฉกเช่นเดียวกับตระกูลหลินไปเสียนานแล้ว!" 

ริมฝีปากของไป๋เฉินขยับพลันกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ "หากบิดาของข้าไม่เอาตัวเข้าแลกเผชิญหน้ากับศัตรูนับหมื่นเพื่อความปลอดภัยของตระกูลฉิน ตระกูลฉินคงจะล่มสลายอย่างไม่เหลือชิ้นดีไปเสียแล้ว...เพราะฉะนั้นจงจำไว้ให้มั่นว่าตระกูลฉินมาถึงจุดที่รุ่งเรืองเฉกเช่นวันนี้ได้อย่างไร...แล้วท่านตัดสินใจขับไล่ข้าออกไปเพียงเพราะศัตรูที่ไม่มองไม่เห็นงั้นหรือ?"

หางตาอันเย็นยะเยือกทิ่มแทงรูม่านตาของฉินฟงด้วยการเขม็ง "โดยเฉพาะท่านผู้อาวุโสฉินฟง การยุแหย่เพื่อให้เกิดความขัดแย้งภายในที่ท่านกำลังกระทำอยู่นี้เป็นพฤติการณ์ของท่านเพียงผู้เดียวหรือความเห็นตระกูลฉินทั้งหมด? หากสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลฉินทั้งหมด เช่นนั้นบิดาของข้าคงจะเสียสละโดยเปล่าประโยชน์ไปเสียแล้ว..."

"หากยังมีจิตสำนึกของความเป็นคน แน่นอนว่าท่านจะสามารถไตร่ตรองเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี..."

"และสุดท้ายเอาเวลาในการจ้องจับผิดข้า ไปเป็นการอบรมบุตรบุญธรรมของท่านให้จงรักภักดีต่อตระกูลฉินเสียดีกว่า ข้ายังมองไม่เห็นเลยว่าฉินหมิงหยวนจะมีประโยชน์อะไรนอกจากพยายามจะขับไล่ข้าที่ซึ่งเป็นลูกเขยของตระกูลฉินออกไป...เป็นไปได้ไหมว่าการกระทำของฉินหมิงหยวนทั้งหมดนั้นเป็นท่านเองที่สั่งให้มันกระทำ?"

"หากเป็นเช่นนั้นท่านก็ไม่ต่างจากสุนัขที่พยายามกัดมือที่เลี้ยงแม้แต่น้อย..." ไป๋เฉินกล่าวพลางส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้

"เจ้า!" ฉินฟงแทบจะอาเจียนเป็นเลือดด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว มันพยายามมองซ้ายมองขวาและเห็นว่าฉินหมิงหยวนกำลังแสดงสีหน้าที่หวาดผวาไม่ต่างจากมัน

ประโยคของไป๋เฉินส่งผลให้ใครหลายๆคนจำต้องหยุดชะงักงันและไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดังๆ พร้อมทั้งย้ำคำและประโยคของไป๋เฉินไว้ด้วยสีหน้าที่ละอายใจ

ถูกต้อง! ในอดีตพวกเขาเป็นเพียงแค่ตระกูลอันดับสี่ที่มิได้มีอะไรดีไปกว่าตระกูลอันดับล่างลงมาแม้แต่น้อย แต่ด้วยอำนาจและชื่อเสียงของไป๋หนานเทียน พวกเขาทั้งหมดกลับได้รับทรัพยากรในการฝึกฝน รวมถึงอำนาจในการปกครองเมืองเทียนหยุนจนถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่าทุกสิ่งอย่างล้วนมาจากการกระทำและการสนับสนุนของตระกูลไป๋ทั้งสิ้น!

"ข้าขอตัว" ไป๋เฉินเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปโดยไม่สนใจคำครหาหรือสายตาของผู้ใด เขาเชื่อว่าการรำเลิกนี้ส่งผลให้แง่มุมของฉินฟงจำต้องตกต่ำลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าหากเป็นไป๋เฉินคนเก่าคงจะไม่กล้ากล่าวมาตรงๆเช่นเขาเป็นแน่

และก็เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ฉินเหยียน ฉินเยว่ฉานและผู้อาวุโสอีกหลายคนมองตรงไปยังฉินฟงและฉินหมิงหยวนด้วยสายตาที่แปลกประหลาดเปรียบดั่งว่ากำลังมองทั้งสองเป็นสุนัขที่พยายามกัดมือที่เลี้ยงอย่างที่ไป๋เฉินกล่าวไว้อย่างแท้จริง

การแสดงออกของฉินฟงกลับกลายเป็นซีดขาวราวกับกระดาษและไร้หนทางในการโต้กลับ จากนั้นไม่นานมันก็หันศีรษะไปมองรอบๆกายด้วยแววตาที่อาฆาตพลางกล่าวอย่างปลุกเร้า "มันกล้าดูหมิ่นผู้อาวุโส! พวกท่านไปลากตัวมันกลับมารับโทษทัณฑ์บัดเดี๋ยวนี้!"