หลังจากตกอยู่ในสภาวะฌาณชั่วครู่ ไป๋เฉินก็ต้องพบเจอเข้ากับฉากที่แปลกประหลาด เบื้องหน้าของเขามีแสงสีแดงทรงกลมกำลังเปล่งประกายและมีพลังงานสีแดงกำลังหมุนทวนเข็มนาฬิกาอย่างต่อเนื่อง
ภาพที่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้คือการทำงานของรากปราณมารเก้าเนตรที่อยู่ภายในตันเถียนของไป๋เฉิน
หากจะมองดูให้จะเห็นได้ว่าฉากทัศน์รอบกายของเขานั้นมีดวงตาทั้งเก้ารายล้อมไปทั่วทุกหนแห่ง
"ที่นี่คือ?" ไป๋เฉินเมียงมองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง ทั้งยังกลัวว่าเจ้ามารเก้าเนตรตัวนั้นจะปรากฏขึ้นอีกครา
หลังจากสังเกตดูให้ดีจะเห็นได้ว่าดวงตาอีกแปดดวงที่เหลือนั้นกำลังปิดสนิทไร้การตอบสนอง และมีเพียงดวงตาดวงเดียวเท่านั้นที่ยังเบิกกว้างอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ไป๋เฉินรู้สึกขนลุกขนชันนั่นเป็นเพราะว่าดวงตาที่ตนเห็นนั้นช่างเหมือนกันกับดวงตาของมารเก้าเนตรทุกประการ!
ในขณะที่ไป๋เฉินกำลังปราดมองดูรอบๆ แต่จู่ๆกลับมีมวลพลังงานสีแดงฉานส่องแสงวาบกลางกระหม่อมของเขาก่อนจะเปล่งแสงสีแดงที่มีสัญลักษณ์ 血 ขึ้นมา
ทันใดนั้นข้อมูลมากมายส่องประกายผ่านรูม่านตาจนไป๋เฉินตระหนักได้ถึงอาการวิงเวียวเริ่มที่ถาโถมเข้าใส่ ข้อมูลมากมายหลังไหล่เข้าสู่จิตใต้สำนึกของเขาในขั้นตอนเดียว
ข้อมูลทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกันกับเคล็ดวิชาตราประทับโลหิต
เคล็ดวิชาตราประทับโลหิต : คือเคล็ดวิชานอกรีตที่ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิมารเก้าเนตรเมื่อ 12,000 ปีก่อน โดยมีเอกลักษณ์และความสามารถพิเศษอยู่ที่การดูดกลืนโลหิตของบุคคลอื่นเพื่อหมายที่นำมากลั่นเป็นพลังงานเพื่อเพิ่มระดับการบำเพ็ญปราณของตนให้สูงขึ้นไปอีกระดับ
ยิ่งดูดซับโลหิตได้มากมายเพียงใด ก็สามารถเพิ่มระดับการบำเพ็ญปราณได้มากขึ้น
ยกตัวอย่างเงื่อนไขการเบิกเนตรมารเนตรดวงแรก คือการสังหารบุคคลหนึ่งคน และเคล็ดวิชาก็จะเพิ่มระดับเงื่อนไขการเข่นฆ่าต่อๆไปไม่มีวันสิ้นสุด
เนื่องจากตอนนี้ไป๋เฉินมีระดับการบำเพ็ญอยู่ที่ระดับก่อกำเนิดปราณขั้น 9 ดังนั้นเนตรมารจึงเบิกออกเพียงแค่ดวงเดียวเท่านั้น และหมายความว่าเมื่อตนเข้าสู่ระดับปราณปฐพี เนตรมารที่สองที่กำลังปิดสนิทก็จะถูกเบิกขึ้น
นั่นหมายความว่าหากต้องการจะแข็งแกร่งจนสู่จุดสูงสุด ในตลอดทั้งเส้นทางขึ้นมีเพียงแต่ต้องเข่นฆ่าและสังหารเท่านั้น!
ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ชั่วร้าย! นี่คือคำอธิบายแรกที่ไป๋เฉินพอจะนึกได้ และตนไม่มีคำใดนำมาเปรียบเปรยกับความชั่วร้ายของเคล็ดวิชานี้ได้แม้เพียงครึ่งคำ
.
.
.
หลังจากนั้นไม่นานไป๋เฉินพลันลืมตาออกจากสภาวะฌาณด้วยแสงโลหิตที่ส่องประกายผ่านรูม่านตา
แม้นว่าจะกลั่นความทรงจำเพียงแค่ 1 ใน 1,000,000 แต่ไป๋เฉินพอจะรับรู้ที่มาของมารเก้าเนตรและเคล็ดวิชาได้พอสังเขป แต่เขาก็มิอาจกลั่นความทรงจำของมารเก้าเนตรไปได้มากกว่านี้เนื่องจากข้อจำกัดบางประการ
ไป๋เฉินลอบถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขายกนิ้วชี้ขึ้นมาก่อนจะไหลเวียนปราณภายในตันเถียนส่งผ่านเส้นชีพจรไปยังปลายนิ้ว
กระแสน้ำวนแห่งปราณสีแดงเริ่มก่อตัวรอบๆกาย
"พรึ่บ!"
ปลายนิ้วของเขามีพลังงานแสงสีแดงดุจโลหิตส่องประกายราวกับว่ามันเป็นโลหิตของมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
ปราณโลหิต! ปราณของไป๋เฉินนั้นแตกต่างจากผู้บำเพ็ญปราณภายในทวีปเทียนหลางอย่างสิ้นเชิง!
ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มขมขื่นเมื่อหวนนึกถึงคำอธิบายและเงื่อนไขของเคล็ดวิชา "ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่บ้าคลั่งอะไรเช่นนี้ นั่นมิได้หมายความว่าหากข้าต้องการทะลุทะลวงเข้าสู่ขั้นถัดไป มีเพียงแค่ต้องสังหารผู้อื่นเพื่อทำการวิวัฒนาการมิใช่หรอกหรือ?"
หากจะคิดในแง่มุมของวัฒนธรรม อารยธรรมและความถูกต้องทางสามัญสำนึกแล้ว เคล็ดวิชาตราประทับโลหิตนั้นกล่าวได้ว่าเป็นเคล็ดวิชานอกรีตที่อันตรายต่อบุคคลแทบจะทุกผู้คน
และแน่นอนว่าเคล็ดวิชาอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ต้องเก็บงำไว้เป็นความลับเท่านั้น มิเช่นนั้นตนอาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเผ่ามารอย่างที่ข้อมูลความทรงจำของจักรพรรดิมารเก้าเนตรก็เป็นได้
ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะกุมขมับและคิดวิตกจนไมเกรนแทบจะขึ้นตา "ดูเหมือนว่าหากข้าเปิดเผยเคล็ดวิชาของข้าออกไป เกรงว่าทุกผู้คนคงจะแตกตื่นเป็นแน่"
"คิดตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรคืบหน้า ข้าต้องค่อยๆทำความเข้าใจเกี่ยวกับเคล็ดวิชาตราประทับโลหิตต่อๆไป" ไป๋เฉินยืนขึ้นพลางบ่นงึมงำและเดินตรงไปยังฟูกที่นอน
ทันใดนั้นหางตาของเขาจ้องมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่มีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ยืนตระหง่านอย่างฉงน 'สองคนนี้ติดตามข้ามาตั้งแต่ก่อนจะออกเดินทางไปยังเมืองเทียนเตี้ยนแล้ว บางทีเขาอาจจะเป็นผู้ติดตามที่ลุงฉินอาจจะส่งมา...โชคยังดีที่พวกเขาทั้งสองมิได้ติดตามข้าไปยังสมาพันธ์นักฆ่า'
แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่มีบุคคลมาคอยคุ้มกันให้ในยามที่เขาต้องการจะพักผ่อน
"ข้าเองก็มิได้นอนหลับเต็มตื่นมาเกือบจะยี่สิบปีแล้ว ในเมื่อมีใครบางคนเฝ้ายามให้แก่ข้า ข้าจะก็ได้ถือโอกาสนอนหลับพักผ่อนโดยไม่ต้องพะว้าะวงใดๆเสียที ห่าว~" ไป๋เฉินยืดแขนตึงบิดขี้เกียจก่อนที่จะปิดม่านลง พร้อมทั้งทิ้งตัวลงนอนบนฟูกและผล็อยหลับไปหลังจากนั้นไม่นาน
.
.
.
นอกหน้าต่างใกล้เคียงกับต้นโพธิ์สูงใหญ่ ร่างของชายหนุ่มในอาภรณ์สีเทาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นงันงกในขณะทอดสายตาไปยังกระโจมหลังโทรมของไป๋เฉิน
"ลุงเซี่ย นายน้อยรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเราแล้วหรือไม่?" ชายหนุ่มหันไปเอ่ยถามกับชายวัยกลางคนที่หลบซ่อนอยู่ข้างกาย
ชายหนุ่มผู้นี้มิใช่ใครอื่นใดนอกเสียจากฉางเฟิงที่คอยติดตามไป๋เฉินอย่างลับๆ และเขาก็เป็นบุคคลที่สังหารนักฆ่าทั้งสามคนที่เหลือในป่ารกร้างในเส้นทางไปยังเมืองเทียนเตี้ยนเช่นกัน
ชายวัยกลางคนนามว่าลุงเซี่ยเพียงส่ายศีรษะอย่างสับสน "บางทีนายน้อยอาจจะเพียงแค่สงสัยเท่านั้น ทักษะในการลอบเร้นกายของพวกเราอยู่เหนือกว่าผู้คนในตระฉินด้วยซ้ำ นายน้อยจะสัมผัสถึงพวกเราได้อย่างไร?"
ฉางเฟิงทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย "ดูเหมือนว่านายน้อยจะผล็อยหลับไปแล้ว คืนนี้ข้าจะเฝ้าที่นี่เอง ส่วนท่านไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับฉินฟงมาทั้งหมด เมื่อฟังจากการสนทนาในห้องโถงวันนี้แล้ว มีโอกาสที่บุคคลที่กำลังปองร้ายนายน้อยอาจจะเป็นฉินฟงผู้นั้น"
"เอาล่ะ ปล่อยหน้าที่นั้นให้ข้าจัดการ" เมื่อกล่าวจบร่างของลุงเซี่ยพลันมลายหายไปพร้อมกับความมืดมิด
.
.
.
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของนกนานาชนิดเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเช้าวันใหม่
แสงสุริยันสาดส่องต้นหลิวโบกสะบัด ร่างของไป๋เฉินปรากฏตัวขึ้นหน้ากระโจมด้วยการแต่งกายที่เรียบร้อย ที่เอวมีกระบี่โบราณเหน็บไว้ข้างกาย หากแต่กระบี่เล่มนั้นกลับกลายเป็นกระบี่ที่ไร้รอยสนิมและไร้รอยคราบสกปรกไปเสียแล้ว
ใบหน้าของไป๋เฉินเปี่ยมไปด้วยสีสันสดใส ในระหว่างเดินออกจากเขตกระโจมเขากลับผิวปากและร้องเพลงไปด้วยอย่างสบายอกสบายใจ
แต่ก่อนที่เขาจะข้ามธรณีประตูไป ทันใดนั้นเสียงอันเบาบางของเด็กชายดังขึ้นไม่ไกล
"พี่เขย พี่เขย"
ไป๋เฉินทอดสายตามองไปในทิศทางของเสียง เผยให้เห็นร่างอันบอบบางของเด็กชายตัวเล็กในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่กำลังวิ่งเหยาะๆมายังตน โครงหน้าของเด็กชายเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ดุจดรุณีแรกแย้ม หากจะให้คาดการเด็กชายผู้นี้คงมีอายุอานามเพียงแค่ 11 ปีเท่านั้น
ใบหน้าของเด็กชายคลับคล้ายคลับคลากับฉินเยว่ฉานไม่มีผิดเพี้ยน
เด็กชายวิ่งตรงไปยังไป๋เฉินพลางกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ "พี่เขย"
เด็กชายผู้นี้คือน้องชายของฉินเยว่ฉานที่ซึ่งเป็นบุตรคนสุดท้องของฉินเหยียน นามนั้นคือฉินเหวินเทียน
โดยปกติแล้วภายในตระกูลฉินนอกเสียจากฉินเยว่ฉานแล้ว ก็มีฉินเหวินเทียนเท่านั้นที่มิได้เหยียดหยามหรือเยาะเย้ยไป๋เฉินแม้แต่ครั้งเดียว ซ้ำยังคอยช่วยเหลือไป๋เฉินต่างๆนานา หากจะกล่าวได้ว่าฉินเหวินเทียนเป็นหนึ่งบุคคลที่ไป๋เฉินคนเก่าให้ความไว้วางใจอย่างถึงที่สุด
"โอ้? เหวินเทียน เจ้ามาข้าหามีธุระอันใด?" ไป๋เฉินทักทายด้วยรอยยิ้มสดใสในขณะลูบศีรษะของฉินเหวินเทียนอย่างที่เขาคนเก่าทำเป็นประจำ
ฉินเหวินเทียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้มน่ารักน่าเอ็นดู "พี่เขย อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าเห็นว่าท่านหมดสติไปถึงสามวัน ดังนั้นข้าจึงมาดูอาการของท่าน"
ไป๋เฉินเพียงส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มจางๆพลางเดินออกจากเขตกระโจมไป "ข้าสบายดี แค่เพียงมีอาการปวดหัวอยู่เล็กน้อยเท่านั้น...แล้วพี่สาวของเจ้าอยู่ที่ใด?"
ฉินเหวินเทียนเอ่ยตอบพลางเดินตามกระชั้นชิด "พี่สาวยังคงทำงานอยู่ภายในห้องโถงตระกูล วันนี้พี่สาวมีธุระที่ต้องจัดการเล็กน้อย"
ไป๋เฉินพยักหน้าบางเบาก่อนจะกล่าวถามต่อ "เหวินเทียน ข้ากำลังจะออกไปเลือกซื้อโลหะ เจ้าต้องการที่จะไปกับข้าหรือไม่?"
เนื่องด้วยตอนนี้ตนมีเงินมากเพียงพอต่อการจับจ่ายใช้สอย สิ่งที่ไป๋เฉินต้องการมากที่สุดในเวลานี้คืออาวุธที่เหมาะสมและมีคุณภาพในการสังหารที่เพียงพอ
แน่นอนว่ามีดสั้นจากตระกูลฉินในครานั้นเป็นมีดคุณภาพต่ำที่ไม่ได้มาตรฐาน
ไป๋เฉินจึงต้องการจะสร้างอาวุธขึ้นมาด้วยตัวเองเพื่อให้มีความคุ้นชินเฉกเช่นชีวิตที่แล้วของเขา
การแสดงออกของฉินเหวินเทียนเปี่ยมไปด้วยความกังวลใจ "แต่พี่เขย พี่สาวกล่าวว่าห้ามมิให้ท่านออกจากตระกูลเพราะเกรงกลัวว่าอาจจะมีนักฆ่าที่กำลังปองร้ายท่านอยู่"
"เฮ้เฮ้เฮ้ เจ้าไม่ไว้วางใจในตัวข้าหรืออย่างไร? ข้าคือไป๋เฉิน จะแพ้พ่ายเพียงเพราะนักฆ่ากระจอกงอกง่อยพวกนั้นได้อย่างไร?" ไป๋เฉินยืดอกผายไหล่ผึ่งหงายมืออย่างไม่เกรงกลัว
"พี่เขย ที่ท่านกล่าวมาก็ถูกต้อง" ฉินเหวินเทียนพยักหน้าเห็นดีเห็นงามกับไป๋เฉินเสียอย่างนั้น