ตอนที่ 26 : ต่อรอง

ที่มุมๆหนึ่งนอกศาลาเมฆินทร์ ตรอกซอยเล็กๆที่ไร้ฝูงชนและเต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น มีร่างของหญิงสาวสองนางในอาภรณ์สีชมพูและสีขาวหิมะกำลังมองไป๋เฉินอยู่ในระยะไกล

ก่อนที่หญิงสาวงดงามที่มัดผมเกล้ามวยในอาภรณ์สีขาวเอ่ยถามขึ้น "ฉางเอ๋อร์ เจ้ามองเห็นการเคลื่อนไหวของไป๋เฉินเมื่อครู่หรือไม่?"

หญิงสาวอาภรณ์ชมพูที่มีใบหน้าอ่อนหวานนามฉางเอ๋อร์ส่ายศีรษะด้วยสีหน้าที่ยังคงตกตะลึงไม่หาย "ไม่...ข้าไม่เห็นแม้แต่จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวเสียด้วยซ้ำ"

หญิงสาวในอาภรณ์สีชมพูผู้นี้คือหญิงสาวคนเดียวกันกับที่พยายามจะลอบสังหารไป๋เฉินด้วยพิษคร่าหัวใจ แน่นอนว่าในเมื่อภารกิจของนางยังไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นนางจำต้องลอบสะกดรอยตามเพื่อหาโอกาสในการลอบสังหารไป๋เฉินลงให้จงได้

แต่แม้นว่านางจะติดตามเขาไปตลอดทางตั้งแต่ออกจากตระกูลฉิน แต่ทุกท่วงท่าการเดินหรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของไป๋เฉินส่งผลให้นางไม่มีโอกาสและมองไม่เห็นช่องโหว่ในการโจมตีไป๋เฉินแม้แต่น้อย

หากจะกล่าวได้ว่าไป๋เฉินนั้นระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาราวกับกำลังเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ทุกยาม

"พี่สาวชิงเอ๋อร์ ท่านสามารถลงมือสังหารไป๋เฉินจากระยะเพียงแค่นี้ได้หรือไม่? ทักษะมีดขว้างของท่านนั้นเก่งกาจที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา ข้าเชื่อว่าหากท่านลงมือด้วยตัวเอง ไป๋เฉินคงมิอาจจะหลีกหนีความตายไปได้เป็นแน่" ฉางเอ๋อร์หันไปเอ่ยถามแต่หญิงสาวข้างกายอย่างฉงน

หญิงสาวนามชิงเอ๋อร์ส่ายศีรษะอย่างหนักหน่วงพร้อมทั้งออกความเห็น "ไป๋เฉินผู้นี้เป็นบุคคลที่มีความระมัดระวังตัวสูง หากข้าไม่เข้าใกล้เขาภายในระยะสิบย่างก้าว คงยากที่จะปลิดชีพเขาได้ในกระบวนท่าเดียว"

ฉางเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง "ไป๋เฉินที่ไร้ประโยชน์ผู้นี้อันตรายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

ชิงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม "ไป๋เฉินอันตรายกว่าที่ข้าคาดไว้หลายขุม ประสาทสัมผัสของเขาเฉียบแหลมเกินไป ก่อนหน้านี้ข้าคาดเดาไว้ว่าเขาอาจจะตกหลุมพรางและตกตายจากพิษคร่าหัวใจของเจ้า แต่มันกลับไม่สนใจเจ้าและเดินจากไปดื้อๆเสียอย่างนั้น นั่นหมายความว่าไป๋เฉินมีสติสัมปชัญญะและการคิดวิเคราะห์ในแต่ละขั้นตอนได้อย่างละเอียดอ่อนจนสามารถมองผ่านได้ว่าเจ้ามีประสงค์ร้าย"

ฉางเอ๋อร์ทำได้เพียงตอบกลับอย่างเห็นด้วย "ถูกต้อง ตั้งแต่ข้าใช้พิษคร่าหัวใจในการลอบสังหาร มีเพียงไป๋เฉินผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ตกหลุมพรางของข้า...เป็นไปได้ไหมว่าแท้จริงแล้วไป๋เฉินอาจจะปกปิดความแข็งแกร่งไว้?"

"เป็นไปไม่ได้ มีบุคคลที่สามารถยืนยันได้ว่าไป๋เฉินได้สูญเสียรากปราณไปโดยสมบูรณ์ ต่อให้พลิกผืนแผ่นดินตามหาวิธีการรักษา ก็มิอาจที่จะฟื้นคืนรากปราณกลับคืนมาได้" ชิงเอ๋อร์ส่ายศีรษะบางเบา

ฉางเอ๋อร์ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ "เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกันต่อไป?"

การแสดงออกทางสีหน้าของชิงเอ๋อร์ปรากฏร่องรอยครุ่นคิด "หาที่หลบซ่อนตัวภายในระยะสิบย่างก้าว ข้ามั่นใจได้ว่าในระยะสิบย่างก้าวข้าสามารถที่จะสังหารมันได้ภายในกระบวนท่าเดียว"

ฉางเอ๋อร์ทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่ร่างของหญิงสาวทั้งสองจะหายลับไปจากตรอกซอยอย่างไร้ร่องรอย

.

.

.

ไป๋เฉินและฉินเหวินเทียนเดินตรงไปยังชั้นสองที่ซึ่งมีอาวุธและแร่โลหะระดับสูงวางขาย ส่วนชั้นล่างนั้นเป็นชั้นที่นำเอาศาสตราวุธมาตั้งจัดแสดงเพื่อดึงดูดลูกค้า แต่ทว่าศาสตราวุธชั้นล่างนั้นมีดีแค่ความงดงาม หากแต่ภายในกลับเป็นเพียงเศษโลหะที่หลอมรวมกันและยังคงมีสิ่งเจือปนตกอย่างเป็นจำนวนมาก

ไม่ว่าจะเป็นหอกทึ่ตั้งวางอยู่ที่พื้นหรือกระบี่ในตู้แสดงที่มีการป้องกันหน้าแน่น และเกาทัณฑ์ที่แขวนอยู่บนผนังรอบๆศาลาทั้งหมดล้วนแต่มีดีแค่รูปลักษณ์ภายนอก

ศาลาเมฆินทร์ได้ชื่อว่าศาลาที่ขายเพียงศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสายตาอันเฉียบแหลมของแต่ละบุคคล หากเป็นบุคคลที่ไม่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับศาสตราวุธ พวกเขาจะมองว่าทุกสิ่งอย่างในร้านล้วนแต่เป็นสิ่งของที่มีค่าทั้งสิ้น

ทว่าในหลักเกณฑ์การตัดสินใจของไป๋เฉิน อาวุธสำเร็จรูปที่วางขายนั้นช่างเป็นผลงานที่โหลยโท่ยเสียยิ่งกว่าอะไร และกรรมวิธีในการขึ้นรูปและหลอมโลหะนั้นโบราณจนเกินไป จึงส่งผลให้คุณภาพไม่ได้ดีพอที่จะสนองความต้องการของตนได้ เพราะฉะนั้นมีเพียงแค่ต้องซื้อแร่โลหะมาหลอมและทำเป็นอาวุธด้วยตัวเองเท่านั้น

ไป๋เฉินเดินรอบๆด้วยฝีเท้าสบายๆ พลางทอดสายตาไปรอบๆจนเจอะเจอเข้ากับตู้กระจกตู้หนึ่งที่ซึ่งมีเพียงโลหะดิบที่ยังไม่ผ่านกรรมวิธีการหลอมหรือการตีขึ้นรูป แม้แต่สิ่งเจือปนก็ยังเผยให้เห็นเกาะอยู่รอบๆโลหะเช่นกัน

ไป๋เฉินชี้ไปยังโลหะแท่งนั่นพลางแหงนหน้าเอ่ยถามบริกร "ไม่ทราบว่าโลหะชิ้นนี้มีมูลค่าเท่าใด? ข้าต้องการสี่ก้อน" 

โลหะที่ไป๋เฉินชี้ตรงไปนั้นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความกว้าง 20 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 50 เซนติเมตรและความหนาอีกประมาณ 8 เซนติเมตร แน่นอนว่าด้วยขนาดของโลหะมันสามารถนำไปทำเป็นกริชและมีดสั้นได้เท่านั้น ซึ่งตรงกันกับความต้องการของไป๋เฉินทุกประการ

และโลหะชิ้นนี้ยังให้ความรู้สึกที่หนาวเย็นราวกับมีกลิ่นอายเยือกแข็งแฝงอยู่ด้านใน หากปราดมองด้วยตาเปล่าเขาสามารถบ่งบอกได้ว่าโลหะชิ้นนี้มีความหนาแน่นภายในมากที่สุดในบรรดาโลหะทั้งหมดของชั้นที่สอง 

หากจะกล่าวได้ว่ามีเพียงโลหะก้อนนี้เท่านั้นที่มีออกซิเจนแฝงอยู่ภายในน้อยที่สุด

บริกรที่กำลังจัดเตรียมสินค้าก็ชะเง้อกลับมามองด้วยสายตาที่รำคาญ 

แต่ทว่าเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าคือไป๋เฉิน สีหน้าของบริกรก็แปรเปลี่ยนเป็นความสุภาพโดยพลัน "ที่แท้ก็เป็นนายน้อยไป๋ผู้ทรงสง่าของเรานี่เอง"

"อย่าเสียเวลา เพียงแค่เอ่ยราคาออกมา" ไป๋เฉินโบกมืออย่างเร่งรีบ

"ฮิฮิฮิ นายน้อยไป๋ช่างมีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งนัก โลหะก้อนนี้นับว่ามีความหายากมากที่สุด-" บริกรบีบมือเข้าหากันเตรียมพร้อมจะสาธยายยืดเยื้ออย่างเต็มที่

"ข้ารู้แล้ว! มันคือโลหะศิลาเยือกแข็งหนึ่งพันปี ไม่ต้องสาธยายให้เสียเวลา!" ไป๋เฉินโบกมือกล่าวอย่างไม่อดทน 

ในความทรงจำของไป๋เฉินคนเก่ามีองค์ความรู้ทุกสิ่งอย่างบนทวีปนี้เพียงพออยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเฉกเช่นโลหะทุกประเภท

บริกรอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเขินอาย มันกระแอมเบาๆก่อนจะกล่าวว่า "นายน้อยไป๋ โลหะต่อก้อนมีราคา 200 เหรียญทอง หากท่านต้องการสี่ก้อนก็เท่ากับว่าทั้งหมดราคา 800 เหรียญทอง"

"อะไร!" ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะอุทานเสียงดัง "เจ้าจะขูดเลือดขูดเนื้อข้าหรืออย่างไร!?"

ภายในถุงเงินที่ตนได้รับมาจากฉินเหยียนนั้นมีเพียงแค่ 1,000 เหรียญทองเท่านั้น หากซื้อโลหะทั้งสี่ก้อนเขาจะไม่แดกแกลบเลยหรือไร

ราคาสองร้อยเหรียญทองสามารถใช้ในปัจจัยชีวิตประจำวันได้ครึ่งปีเสียด้วยซ้ำ 

ทว่าบริกรกลับแสดงรอยยิ้มเรียบเฉยราวกับว่าเขากำลังรอให้ไป๋เฉินกล่าวบางคำออกมา

ไป๋เฉินลูบคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขามองตรงไปยังบริกรและกล่าวเสนอแนะ "หากเจ้าให้สี่ก้อนในราคา 600 เหรียญทองข้าจะตกลงซื้อขายมันทันที"

ราวกับว่าบริกรกำลังรอคำๆนี้อยู่ มันจึงแสร้งแสดงสีหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น "นายน้อยไป๋ โลหะแต่ละก้อนนั้นเป็นโลหะที่มูลค่าสูงและหายากที่สุดภายในศาลาเมฆินทร์ ข้าสามารถลดให้ท่านได้เหลือเพียงแค่ 750 เหรียญทองเท่านั้น"

"650 เหรียญทอง" ไป๋เฉินกล่าวต่อรองราคาอย่างไม่ยอมแพ้

บริกรถอนหายใจราวกับว่ากำลังสูญเสีย "นายน้อยไป๋ พูดตามตรงราคาสุดท้ายข้าสามารถให้ท่านได้เพียงแค่ 700 เหรียญทองเท่านั้นมิอาจลดลงได้มากกว่านี้ นี่ถือว่าเป็นราคาพิเศษสำหรับตระกูลฉินแล้ว"

ไป๋เฉินถอนหายใจอย่างน่าเสียดายราวกับว่าได้ตัดใจ เขากวักมือเรียกฉินเหวินเทียนเตรียมพร้อมจะจากไปอย่างไม่ใยดี "เหวินเทียน กลับกันเถอะ"

บริกรตกตะลึงเมื่อเห็นว่าไป๋เฉินเดินจากไปโดยไม่ลังเล 

แท้จริงแล้วโลหะก้อนนี้มีมูลค่าเพียงแค่ก้อนละ 150 เหรียญทองเท่านั้น แต่ทว่าโลหะก่อนนี้กลับไม่มีผู้ใดต้องการมันเนื่องจากความยากในการหลอมขึ้นรูป มันจึงถูกวางไว้บนชั้นสองเกือบจะห้าปีและไม่มีผู้ใดสนใจจะซื้อแม้แต่ผู้เดียว

สีหน้าของบริกรปรากฏร่องรอยของความลังเลใจอย่างรุนแรง

ทันใดนั้นมันจึงรีบกล่าวหยุดไว้หลังจากตัดสินใจได้ "อะแฮ่มๆ นายน้อยไป๋ ข้าสามารถลดได้สูงสุดเหลือเพียง 650 เหรียญทองเท่านั้น...นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะขายในราคาต้นทุนเช่นนี้"

จู่ๆป๋เฉินที่กำลังจะลงจากบันไดกลับหันขวับกลับมาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ฉีกกว้างจนแทบจะถึงรูหู "ตกลง ข้าจะซื้อมัน"

เมื่อได้เห็นรอยยิ้มหน้าเลือดของไป๋เฉิน บริกรก็แทบจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก

'ไอ้เวรเอ้ย! ข้าถูกหลอก!'

'ไร้ยางอาย ตระกูลไป๋ไร้ยางอายกันหมดเลยหรืออย่างไร!?'

สีหน้าบริกรบิดเบี้ยวจนแทบจะเป็นสีเขียว มันเพิ่งจะตระหนักรู้ว่าไป๋เฉินเพียงแค่เล่นละครตบตามันเท่านั้น 

ไป๋เฉินหยิบยื่นเหรียญทอง 650 เหรียญให้ด้วยรอยยิ้มสดใสดุจดั่งนายร้อยไม่มีพิษมีภัย แต่ภายในสายตาของบริกร ไป๋เฉินไม่ต่างจากพ่อค้าหน้าเลือดดีๆนี่เอง