~ สมาพันธ์นักฆ่า ~
"อี้หลิว เจ้าได้แบ่งแยกหน่วยงานตามคำสั่งของท่านอาจารย์แล้วหรือยัง?" หลวนซิงในอาคารหลังเดิมเดินเข้าไปใกล้หลิวอี้หลิวที่กำลังจัดเรียงเอกสารอย่างวุ่นวายบนโต๊ะกลมพลางกล่าวถาม
หลิวอี้หลิวที่กำลังแบ่งแยกเอกสารพลางพยักหน้าบางเบาพร้อมทั้งยื่นม้วนกระดาษให้แก่เขา ด้านในนั้นมีการแบ่งแยกหน้าที่ระหว่างทั้งเก้าไว้อย่างชัดเจน
ขณะที่นางกำลังสนทนากับหลวนซิง ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ เผยให้เห็นร่างสีดำที่ปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิดของไป๋เฉิน รอบกายปรากฏรังสีเข่นฆ่าและเย็นชาประดุจดั่งว่าเขาคือจักรพรรดิจากยมโลกอย่างไรอย่างนั้น
"ท่านอาจารย์ " เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีที่คุ้นเคยหลวนซิงและหลิวอี้หลิวลุกขึ้นโดยพลันพร้อมทั้งประสานมืออย่างนอบน้อม
ไป๋เฉินที่เพิ่งเข้ามาเพียงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกล่าวถาม "พวกเจ้าได้แบ่งตำแหน่งและหน้าที่ของแต่ละบุคคลแล้วหรือยัง?"
"ท่านอาจารย์ นี่คือรายชื่อและตำแหน่งของพวกข้าทั้งเก้าคน" หลิวอี้หลิวตอบกลับด้วยความเคารพ พร้อมทั้งยื่นรายชื่อและตำแหน่งหน้าที่ของแต่ละคนแก่ไป๋เฉิน
ไป๋เฉินพยักหน้ารับเอกสารและเดินตรงไปหย่อนก้นนั่งลงบนโต๊ะกลม โดยที่มีหลวนซิงเข้ามารินชาให้แก่ตนอย่างนอบน้อม
หน่วยลอบสังหาร : หลวนซิง,เยี่ยนซิ่ว,หลงเฝิน,เจวียนฉิว
หน่วยข่าวกรอง : หลิวอี้หลิว,ฝางโม่หยู
หน่วยแฝงตัว : เฉินมู่เฟย,ฉู่จิงเทียน,หยาอี้หยาน
หลังจากไป๋เฉินได้อ่านเอกสารและจดจำรายชื่อครบถ้วน เขาหันไปหาหลิวอี้หลิวก่อนจะกล่าวถาม "เจ้าชื่ออะไร?"
"ผู้น้อยมีนามว่าหลิวอี้หลิว" เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่ดุดันของไป๋เฉิน หลิวอี้หลิวกลับรีบก้มหน้าลงด้วยรอยแดงจางๆบนใบหน้า
"โอ้? ช่างเป็นชื่อน่าฟังอะไรเยี่ยงนี้" ไป๋เฉินหัวเราะออกมาเบาๆด้วยสายตาที่ซุกซน ก่อนจะกล่าวต่อ "หลิวอี้หลิว ข้าต้องข้อมูลเกี่ยวกับมือสังหารสองคน เจ้าช่วยข้าตามหาให้ข้าได้หรือไม่?"
"แม้นว่าข้อมูลของมือสังหารส่วนใหญ่อาจจะมีน้อยนัก แต่หากเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงแน่นอนว่าข้าได้เก็บรวบรวมไว้เป็นจำนวนมาก" หลิวอี้หลิวพยักหน้าเบาๆตอบกลับ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นไป๋เฉินจึงได้เล่ารายละเอียดของหญิงสาวทั้งสองนางทุกประการที่เขาพอจะจดจำได้ โดยที่เขามิได้กล่าวถึงพิษคร่าหัวใจแม้แต่น้อย
หลังจากฟังรายละเอียดจนถี่ถ้วน หลิวอี้หลิวกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งอย่างเคร่งขรึม "ท่านอาจารย์ มีนักฆ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่ข้าพอจะนึกได้จากคำอธิบายของท่าน..."
"โอ้? มันคือใคร?" ไป๋เฉินลูบคางพลางชำเลืองมอง
หลิวอี้หลิวหันไปหยิบม้วนกระดาษนำมาเปิดอ่านในขณะที่ไป๋เฉินกำลังนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ "มีนักฆ่าสองคนที่ซึ่งเป็นหญิงสาวที่สวมหน้ากากจิ้งจอกทุกครั้งที่ทำภารกิจ พวกนางเป็นนักฆ่าจากเมืองเทียนเฟิงอันเลื่องชื่อ ผู้คนเรียกขานสมญานามหญิงสาวทั้งสองไว้ว่าจิ้งจอกขาวและจิ้งจอกแดง"
"มีคำอธิบายไว้เล็กน้อยว่าพวกนางทั้งสองเป็นผู้บำเพ็ญปราณในระดับปราณสวรรค์เฉกเช่นเดียวกันกับพวกข้า แต่ทว่าข้าไม่รู้ระดับขั้นที่แท้จริงของพวกนางทั้งสอง…" หลิวอี้หลิวอธิบายข้อมูลที่มีในมือโดยละเอียดและไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่ข่าวลือต่างๆที่มีการจดบันทึกไว้
"โอ้?" ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างประหลาดใจ
ปรากฏว่าหญิงสาวทั้งสองกลับกลายเป็นผู้บำเพ็ญระดับปราณสวรรค์ หากจะกล่าวได้ว่าพวกนางมีระดับที่ทัดเทียมกับฉินเยว่ฉานด้วยซ้ำ
แต่คีย์เวิร์ดที่สำคัญที่ไป๋เฉินได้รับในครั้งนี้คือเมืองเทียนเฟิง!
นั่นหมายความว่าบุคคลที่สั่งการหรือส่งมอบภารกิจลอบสังหารนั้นมาจากเมืองเทียนเฟิง โอกาสที่จะเกิดขึ้นได้นั้นมีมากกว่าแปดในสิบส่วน
แต่สิ่งที่ไป๋เฉินประหลาดใจยิ่งกว่าคือการที่หลวนซิงและหลิวอี้หลิวมีระดับการบำเพ็ญปราณในระดับลมปราณสวรรค์เฉกเช่นเดียวกัน
นั่นหมายความว่าเขาที่ซึ่งเป็นผู้นำของสมาพันธ์นักฆ่าเช่นเขากลับมีระดับการบำเพ็ญปราณที่อ่อนแอที่สุดเลยมิใช่หรอกหรือ?
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะไอเบาๆด้วยสีหน้าเคอะเขิน 'ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นผู้นำของกลุ่มนักฆ่าที่อ่อนแอที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนหลางแล้วกระมัง'
จากนั้นไม่นานเขากล่าวต่อเพื่อกลบเกลื่อน "เมื่อครู่ข้าได้ไปเจอพวกนางทั้งสองมา แต่ทว่าหลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันเพียงเล็กน้อย พวกนางทั้งสองกลับหลบหนีไป"
ไป๋เฉินรู้สึกกระดากปากเล็กน้อยที่ต้องเอ่ยเช่นนี้ แต่หากจะต้องแลกกับความเทิดทูนและเชื่อฟังของหลวนซิงและหลิวอี้หลิวแล้ว เขาจึงไม่ลังเลใจที่จะกล่าว
"โอ้?" นัยน์ตาของหลวนซิงระยิบระยับเป็นประกาย
และแน่นอนว่าหลวนซิงที่เคารพไป๋เฉินอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่แล้ว ก็ยิ่งวางไป๋เฉินไว้เหนือยิ่งกว่านักฆ่าที่พวกเขารู้จักมาทั้งสิ้น
พวกเขาตระหนักไปเองว่าท่านอาจารย์ของพวกเขาต้องมีระดับการบำเพ็ญที่สูงส่งกว่าศัตรูมาก จึงส่งผลให้นักฆ่าจิ้งจอกขาวและจิ้งจอกแดงต้องหลบหนีไปอย่างหัวซุกหัวซุน
"ท่านอาจารย์ ท่านไปเจอทั้งสองคนได้อย่างไร?" หลวนซิงพยายามเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
มุมปากของไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะกระตุก "ตั้งแต่ยามเช้า ข้าได้ติดตามการเคลื่อนไหวของไป๋เฉินทุกฝีก้าวอย่างระมัดระวัง แต่มีนักฆ่าจิ้งจอกแดงและจิ้งจอกขาวได้หมายปองที่จะสังหารไป๋เฉินด้วยเช่นกัน"
"แต่ในแผนการของท่านฉินฟงนั้นบ่งบอกไว้ว่า ภารกิจสังหารไป๋เฉินจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้อีกสามวันให้หลังเพื่อมิให้เป็นที่สงสัย ดังนั้นข้าจึงสกัดกั้นพวกนางไว้ก่อนที่พวกนางจะรีบหนีไป...และข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไล่ตามพวกนางเช่นกัน..." ทุกคำที่ไป๋เฉินกล่าวเขาพยายามอย่างยิ่งระงับความอยากจะอาเจียนไว้อย่างถึงที่สุด
และหลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลและเพิ่มระดับความสนิทสนมกันชั่วครู่ ไป๋เฉินจึงตัดสินใจนำทั้งสองคนเดินตรงไปยังอาคารด้านหลังสมาพันธ์ที่ซึ่งเป็นลานกว้างสำหรับการฝึกฝนที่ซึ่งมีนักฆ่าทั้งเจ็ดคนกำลังฝึกวิทยายุทธ์และวรยุทธ์ด้วยกันอย่างดุเดือด
ไป๋เฉินเรียกรวมพลเพื่อให้นักฆ่าทั้งเก้ารวมตัวกัน เพื่อที่จะสอนสั่งนักฆ่าให้มีความเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น
"บทเรียนแรกของพวกเจ้าคือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสรีรวิทยาของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ การตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือการฝึกความทนทานของกล้ามเนื้อ..." ไป๋เฉินยืนมือไพล่หลังในขณะกล่าวสาธยาย
โดยปกติแล้วผู้บำเพ็ญปราณในทวีปเทียนหลางไม่ค่อยจะใส่ใจเกี่ยวกับการออกกำลังกายเพื่อยืดหยุ่นกล้ามเนื้อสักเท่าใดนัก
พวกเขามองว่าแค่มีระดับการบำเพ็ญที่สูงกว่า ความยืดหยุ่นของร่างกายนั้นแทบไม่จำเป็น
แต่สำหรับไป๋เฉินแล้วการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อคือพื้นฐานขั้นต้นของการเป็นนักฆ่า และเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งอย่างสำหรับอาชีพที่ใช้ร่างกายในการทำงาน ทุกสิ่งอย่างล้วนต้องมาจากการตอบสนอบของกล้ามเนื้อทั้งสิ้น
"ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงมิให้พวกข้าฝึกฝนโดยการลอบสังหารเสียเลยเล่า?" เมื่อได้ฟังจนจบหลวนซิงเอ่ยถามพลางประสานมืออย่างนอบน้อม
รูม่านตาของไป๋เฉินจ้องมองกลับไปอย่างแข็งกร้าว "หลวนซิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกใบนี้คืออะไร?"
"กริช...กระบี่...มีดสั้น...ไม่สิอาจจะเป็นหอก" หลวนซิงกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ "ผิดแล้ว อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดคือร่างกายของมนุษย์ที่พระเจ้าประทานมาให้"
"ร่างกายของมนุษย์?" หลวนซิงและหลิวอี้หลิวมองหน้ากันอย่างสับสน
ไป๋เฉินพยักหน้าอย่างหนักหน่วง "ถูกต้อง ร่างกายของมนุษย์นับว่าเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดและก็นับได้ว่าเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดเช่นกัน"
"หากพวกเจ้าต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีระดับการบำเพ็ญที่เหนือกว่าเจ้าจะทำอย่างไร?" ไป๋เฉินปราดมองทั้งเก้าและเอ่ยถาม
"หลบหนี"
"หลบหนี"
หลวนซิงและหลิวอี้หลิวไม่ลังเลเลยที่จะกล่าวคำนี้อย่างพร้อมเพรียง
แต่ไป๋เฉินกลับส่ายศีรษะอีกครา "หากเป็นบุคคลปกติ แน่นอนว่าการหลบหนีเป็นสิ่งที่พึงกระทำเพื่อรักษาชีวิตไว้ แต่ในร่างกายของมนุษย์มีสิ่งที่เรียกว่าจุดตายอยู่ และการเรียนรู้ในจุดตายนั้นสามารถสังหารผู้ใดก็ได้บนโลกใบนี้แม้นว่าคนผู้นั้นจะมีระดับการบำเพ็ญปราณที่มากกว่าก็ตามที และยิ่งสำหรับนักฆ่าด้วยแล้ว ยิ่งจำเป็นต้องเรียนรู้ให้เชี่ยวชาญ"
"แม้นว่าเรื่องจุดตายจะเป็นสิ่งที่นักฆ่าอย่างพวกเราพอจะตระหนักได้อยู่แล้ว แต่ข้อมูลเกี่ยวกับสรีรวิทยาที่แท้จริงมีมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเส้นประสาท ตำแหน่งการไหลเวียนโลหิตหรือแม้แต่ตำแหน่งที่ทำให้เป้าหมายตกอยู่ในสถานะอัมพาตไปชั่วขณะ พวกเจ้าต้องเข้าใจว่าแค่เพียงเสี้ยววินาที ผลการต่อสู้สามารถที่จะพลิกผันตามการพลิกแพลงสถานการณ์ได้"
"เพราะฉะนั้นในวันนี้ข้าจะสอนสั่งพวกเจ้าเกี่ยวกับการยืดหยุ่นร่างกาย และการตอบสนองโดยอัตโนมัติของกล้ามเนื้อโดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการความคิดจากสมองและสุดท้าย...คือจุดตาย"
"หลังจากข้าได้สอนสั่งทุกอย่างให้แก่เจ้าแล้ว เมื่อนั้นพวกเจ้าจะกลายเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงในชั่วข้ามคืน" ไป๋เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะที่นักฆ่ากำลังตั้งใจฟังพลางคิดวิเคราะห์ตามด้วยแววตาลุกโชน
การฝึกฝนในวันนี้คือจุดเริ่มต้นของสมาพันธ์นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งทวีปเทียนหลาง ในนามศาลาปีกสวรรค์