จูเก่อหลิงเอ๋อร์กลับนิ่งเงียบแต่แววตาของนางมีระลอกคลื่นเบาๆ "หากท่านไม่เป็นหนึ่งในนักบุญโอสถเสียก่อน ป่านนี้เมืองเทียนเฟิงได้ล่มสลายไปแล้ว"
จูเก่อชิงหยุนถอนหายใจ "ถูกต้อง หนานเทียนเป็นบุคคลที่ช่วยข้าและแม่ของเจ้าที่เพิ่งตั้งท้องเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นข้าได้ให้คำมั่นสัญญากับหนานเทียนไปว่าหากบุตรของมันเป็นผู้ชาย ข้าจะให้พวกเจ้าสองคนหมั้นหมายกัน แต่หากเป็นผู้หญิงข้าจะให้เป็นสหายที่เปรียบดั่งพี่น้องกัน...แต่ดูเหมือนว่าฉินเหยียนได้แซงหน้าพวกเราไปแล้วในยามที่พวกเราอาศัยอยู่ที่แผ่นดินใหญ่"
"เฮ้อ~ น่าเสียดายจริงๆ ข้าเกือบจะได้เขยที่เก่งกาจแล้วเชียว" จูเก่อชิงหยุนกล่าวอย่างน่าเสียดาย
"ท่านพ่อ ท่านพูดบ้าอะไรอยู่!" จูเก่อหลิงเอ๋อร์ทุบตีบิดาอย่างดุเดือด แต่ใบหน้าแข็งกร้าวกลับเปี่ยมไปด้วยรอยแดงจางลามไปจนถึงใบหู
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! กลับกันเถอะ แม้นพวกเราจะไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเมืองทั้งสี่ได้ แต่การส่งข้อความดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหา หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับไป๋เฉินแล้วว่าเขาจะเลือกเส้นทางในชีวิตอย่างไร" สิ้นสุดเสียงหัวเราะจูเก่อชิงหยุนยืนขึ้นด้วยท่วงท่าโอ่อ่า ก่อนจะเดินทางกลับไปยังแผ่นดินใหญ่ที่เขาจากมา
เหตุผลเดียวที่จูเก่อชิงหยุนมาปรากฏขึ้นในเมืองเทียนหยุนก็เพียงเพื่อส่งมอบจดหมายให้แก่ไป๋เฉินเท่านั้น แต่เนื่องด้วยเขาไม่ค่อยจะกินเส้นกับตระกูลฉิน ดังนั้นเขาเพียงแค่กระจายข่าวไปยังตระกูลฉินเพียงอย่างเดียวเพื่อเรียกให้ไป๋เฉินออกมาหาเขาด้วยตนเอง
.
.
.
ในมุมพุ่มไม้ใหญ่นอกภัตตาคารหยกสีม่วง ร่างสีชมพูบานเย็นงามหยดย้อยของฉางเอ๋อร์เอ่ยถามในขณะสายตาทอดมองไป๋เฉินและฉินเยว่ฉานที่อยู่บนรถม้า "พี่สาว พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี? ข้าอยากจะกลับบ้านเต็มกลืนแล้ว"
ชิงเอ๋อร์ที่หลบซ่อนอยู่ใกล้เคียงมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง "พวกเราไม่มีเวลาแล้ว คืนนี้...เราจะลอบสังหารมัน"
"แต่...หากไป๋เฉินยังคงมีผู้คุ้มกันอยู่พวกเราจะทำอย่างไร?" ฉางเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
ชิงเอ๋อร์แสดงสีหน้าไตร่ตรองก่อนจะกล่าวกระซิบ "ข้าจะล่อพวกมันออกไปเอง เนื่องจากข้ามีระดับการบำเพ็ญสูงกว่าเจ้าและมีศิลปะการต่อสู้ที่เหนือกว่า คงจะถ่วงเวลาพวกมันไปได้อีกสักระยะ...ส่วนเจ้าใช้ลูกดอกพิษคร่าหัวใจปลิดชีพมันจากระยะไกล ข้าจะคอยช่วยปรับศูนย์ให้เจ้าเอง"
แม้นฉางเอ๋อร์จะไม่ค่อยมั่นใจในแผนการนี้นัก แต่เวลาสำหรับการทำภารกิจแทบจะไม่มีเหลืออีกต่อไป หากนางไม่รีบสังหารไป๋เฉินเสียยามนี้ เจ้าเมืองเทียนเฟิงคงจะยกเลิกภารกิจกลางคันและพวกนางอาจจะถูกติเตียนเป็นแน่
ผลสุดท้ายทั้งสองพยักหน้าให้แก่กันก่อนจะเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าปราดเปรียวเป็นแสงวาบสองจุดกำลังตามหลังรถม้าไปจากมุมอับสายตา
.
.
.
เมื่อไป๋เฉินกลับสู่กระโจมเขาเพียงแค่อ่านตำราหาข้อมูลเกี่ยวกับมหาเทวะแห่งการสรรค์สร้างและใช้เวลาไปกับการดีดกู่ฉินโดยที่มิได้ฝึกฝนปราณอีกต่อไป อย่างน้อยตนจำเป็นต้องผ่อนคลายเมื่อสถานการณ์ใกล้จะถึงจุดเปลี่ยน
ไป๋เฉินนั่งไขว้ขาหลับตาในขณะบรรเลงกู่ฉินภายใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์ที่บดบังแสงอาทิตย์ ด้วยสายลมโชยอ่อนพัดอาภรณ์ไสว ส่งผลให้ไป๋เฉินแลดูจะหล่อเหลาเป็นพิเศษ
ข้างกายของเขาคือฉินเยว่ฉานในอาภรณ์สีฟ้าที่คอยป้อนองุ่นประดุจดั่งเป็นสามีภรรยาไปเสียแล้ว
"ไป๋เฉิน นี่คือท่วงทำนองอันใดกัน? ไฉนข้าไม่เคยได้ยินทำนองเช่นนี้มาก่อน?" ฉินเยว่ฉานด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไป๋เฉินกล่าวตอบในขณะหลับตาคล้อยไปกับเสียงไพเราะเสนาะของกู่ฉินและค่อยๆดื่มดำลงไปกับเสียงดนตรี "มันคือท่วงทำนองชิงฮว่าสือ ขับร้องโดยโจวเจี๋ยหลุน"
ในอดีตไป๋เฉินได้ร่ำเรียนทุกสิ่งอย่างไม่เว้นแม้แต่แขนงวิชาดนตรี แน่นอนว่าเขาเป็นแฟนคลับของโจวเจี๋ยหลุนมาเนิ่นนาน หากจะกล่าวได้ว่าไม่มีเพลงใดของโจวเจี๋ยหลุนที่ตนร้องไม่ได้
ฉินเยว่ฉานเพียงแค่นั่งฟังไปเรื่อยๆอย่างผ่อนคลายด้วยรอยยิ้มชื่นมื่น บรรยากาศยามนี้เปรียบดั่งฤดูใบไม้ผลิอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากวางมือออกจากกู่ฉินไป๋เฉินหันไปเอ่ยถามนางด้วยรอยยิ้ม "เยว่ฉาน บุคคลจากสำนักของเจ้าไม่มารับตัวเจ้ากลับไปงั้นหรือ?"
ในความทรงจำของไป๋เฉินคนเก่า ฉินเยว่ฉานนั้นเป็นศิษย์สายตรงของสำนักที่ตั้งอยู่ที่แผ่นดินใหญ่เมื่อสามปีก่อนแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางประการนางได้ตัดสินใจอยู่ที่ตระกูลฉินก่อนจะกลับไปยังสำนักที่อยู่นอกเมืองทั้งสี่ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นถูกเรียกขานว่าแผ่นดินใหญ่
เมื่อกล่าวถึงหัวข้อนี้ฉินเยว่ฉานกัดริมฝีปากและก้มหน้าลง "อีกไม่นานท่านอาจารย์จะมารับข้ากลับไปยังสำนัก แต่ช่วงเวลานี้ข้าแค่อยากจะอยู่กับครอบครัวและอยู่กับเจ้าเสียก่อน"
"โอ้..." ไป๋เฉินแสดงสีหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อในขณะสายตามองไปยังหมู่เมฆ "หลังจากเจ้ากลับไปยังสำนัก ข้าจะออกจากตระกูลฉินเพื่อออกตามหาวิธีการรักษารากปราณของข้าต่อไป"
ฉินเยว่ฉานตกตะลึง "อะไร? เจ้าจะออกไปข้างนอกไม่ได้! บัดนี้เจ้ายังคงเป็นเป้าหมายของผู้มีประสงค์ร้าย ข้าเชื่อว่าภายในตระกูลฉินเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับเจ้า...หรือว่าเจ้าต้องการจะเปลี่ยนที่อยู่อาศัยให้ใกล้เคียงกับบิดาของข้าเพื่อความปลอดภัย? ข้าสามารถนำไปบอกแก่ท่านพ่อได้-"
ไป๋เฉินโบกมือเบาๆคาดคั้นแทรกขึ้นมา "แน่นอนว่าเมื่อเจ้ายังอยู่ที่นี่ข้าจะไม่ย้ายไปไหนทั้งนั้น...แต่ทว่าหลังจากเจ้าออกจากตระกูลฉินไป ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะอาศัยอยู่ในตระกูลฉินอีกต่อไป"
สีหน้าของไป๋เฉินในยามนี้แลดูโดดเดี่ยวเงียบเหงา ราวกับว่าเขาเป็นบุคคลที่อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ และมิอาจพูดคุยกับผู้ใดในเรื่องที่ค้างคาใจได้แม้แต่ผู้เดียว
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างจากรัศมีของเขา บรรยากาศที่เริงร่าก่อนหน้ากลับกลายเป็นหนักอึ้ง
ฉินเยว่ฉานอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยเสียงแผ่ว "เจ้าหมายความว่าตระกูลฉินไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้างั้นหรือ?"
เมื่อพูดถึงหัวข้อนี้ไป๋เฉินกลับยืนขึ้นก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่มุมปาก "ข้าเชื่อว่าเจ้าและลุงฉินคงจะมีความสงสัยอยู่ก่อนแล้ว แน่นอนว่าลุงฉินไม่มีทางยอมกำจัดกองกำลังหลักของตระกูลฉินเพียงเพื่อคนไร้ประโยชน์อย่างข้าเป็นแน่"
ไป๋เฉินคนเก่าอาจจะชอบเก็บงำความรู้สึกแต่มิใช่กับไป๋เฉินคนปัจจุบัน หากมีสิ่งใดที่น่าปวดหัวและตะขิดตะขวงใจเขาจะพยายามหาที่ระบายออกไปไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม มิเช่นนั้นเขาอาจจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปเสียนานแล้วหากต้องตกอยู่ในสภาวะที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้
ฉินเยว่ฉานค่อยๆยืนขึ้นพลางยื่นมือขาวเนียนจับมือเขาไว้ด้วยความอบอุ่น ทันใดนั้นนางขยับใบหน้างดงามดุจเทพยดาเข้าหาไป๋เฉินพลางหลับตาลง ก่อนที่ทั้งสองประกบริมฝีปากกันด้วยอารมณ์อ่อนโยน
สีหน้าของไป๋เฉินตกตะลึงสุดขีด ริมฝีปากขยับพร้อมกับดื่มด่ำความหวานดุจดั่งน้ำผึ้ง
หลังจากนั้นไม่นานนางก็ผละตัวออกไปด้วยสีหน้าแดงก่ำอย่างเหนียมอาย "ไป๋เฉิน ไม่ว่าอย่างไรข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า…"
ไป๋เฉินมองไปยังฉินเยว่ฉานด้วยรูปลักษณ์แปลกประหลาด เขารู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่ถี่ขึ้นและสูบฉีดอย่างไม่มีสาเหตุ
'ความรู้สึกเช่นนี้...มันคือความรักงั้นหรือ?'
'ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเสียจริง'
ตั้งแต่มาเป็นนักฆ่าตั้งแต่อายุ 14 ปีจนเขาอายุ 44 ปีก็ยังไม่เคยมีความรักแม้แต่ครั้งเดียว นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนหวานในหัวใจ
และยังตระหนักได้อีกว่าในยามที่ทั้งสองจูบกัน ไป๋เฉินกลับลดการป้องกันลงอย่างไม่มีสาเหตุราวกับว่าร่างกายตอบสนองไปโดยอัตโนมัติอย่างไรอย่างนั้น
ด้วยความอับอายหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ฉินเยว่ฉานรีบวิ่งหนีไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ ไป๋เฉินทำได้เพียงขบขันอยู่เบื้องหลัง
"ดูเหมือนว่าจะต้องเปลี่ยนแผนเสียหน่อยแล้ว" ไป๋เฉินยืดแขนบิดขี้เกียจก่อนจะกล่าวลอยๆ พร้อมกับเข้าสู่กระโจมหลังโทรมและงีบพักผ่อนไปชั่วครู่
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปจนถึงพลบค่ำของคืนนั้น ไป๋เฉินยังคงนั่งนอกกระโจมกำลังพลิกตำราเพื่อหาข้อมูลที่ต้องการอย่างใจจดใจจ่อ ในขณะมือขวากำลังค้ำยันค้างด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
"เมื่อ 1,300 ปีก่อนมหาเทวะปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยไม่มีผู้ใดรู้ว่าทวีปเทียนหลางถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร และไม่มีผู้ใดรู้ว่ามหาเทวะท่านนั้นมีที่มาจากแห่งหนใด"
"มหาเทวะแห่งการสรรค์สร้างเป็นชายหนุ่มที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี? บุคคลที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้มีเพียงแต่ต้องหลุดออกมาจากนิยายกำลังภายในเท่านั้น...ช่างเป็นเรื่องที่พิศดารจริงๆ"
"....."
ในระหว่างที่กำลังพลิกตำรา เขากลับหยุดมือค้างไว้ หางตาเหล่มองไปยังเบื้องหลังกระโจมด้วยรอยยิ้ม "ในที่สุดหมากตัวสุดท้ายก็มาถึง"