ตอนที่ 41 : ตราประทับทาส

หลังกระโจมของไป๋เฉินปรากฏร่างสองร่างพริ้วไหวที่สวมหน้ากากไหมของจิ้งจอกขาวและจิ้งจอกแดงหลบซ่อนอยู่ในมุมมืดของเสาต้นใหญ่ที่บดบังเงาและวิสัยทัศน์ได้จนมิอาจมองผ่านได้ในยามราตรี

ชิงเอ๋อร์ในอาภรณ์สีขาวซีดดุจดั่งหิมะโบกมือส่งสัญญาณให้แก่ฉางเอ๋อร์เป็นสัญลักษณ์ว่าให้แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน

หลังจากนั้นร่างของชิงเอ๋อร์หายเข้าไปในมุมหนึ่งหลังต้นโพธิ์ต้นใหญ่ตามมาด้วยแสงกระพริบสามจุดที่หายไป 

ชิงเอ๋อร์ได้ทำการหลอกล่อสองคนที่กำลังเฝ้าไป๋เฉินให้เบนความสนใจมายังนางได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เหลือเพียงแค่ฉางเอ๋อร์ที่ในมือถือปล้องไม้ไผ่ยาวอยู่ นางจับปล้องเข้าปากในขณะสายตาสีดำน่าหลงใหลมองตรงไปยังไป๋เฉินที่ยังคงแสร้งทำเป็นอ่านตำราด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

ทันใดนั้นนางสูดลมหายใจเข้าลึกๆพลันเป่าลูกดอกไปยังตำแหน่งต้นคอด้วยการพ่นลมหายใจเสียงดัง

"พุ่บ!"

ในระหว่างที่ถูกดอกถูกเป่าออกไป แค่เพียงเวลาเสี้ยววินาทีไป๋เฉินที่นอนสันหลังยาวอย่างเกียจคร้านกลับตอบสนองโดยการยกตำราขึ้นมาบดบังตำแหน่งต้นคอด้วยความเร็วสูงสุด

ในชั่วพริบตาไป๋เฉินกลับครรลองมองมายังตำแหน่งที่ฉางเอ๋อร์กำลังหลบซ่อนอยู่

"อะไร!?"

เมื่อเห็นว่าแม้แต่การใช้ลูกดอกที่มีความเร็วสูงสึดก็ยีงมิอาจสังหารไป๋เฉินลงได้ สีหน้าของฉางเอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นหวาดวิตก นางกำลังจะหันหลังกลับเพื่อตามชิงเอ๋อร์ไปยังทิศทางที่จากมา

บัดนี้นางเข้าใจแล้วว่าคำเตือนของชิงเอ๋อร์นั้นเป็นของจริง ไป๋เฉินมีประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมที่สุดเท่าที่นางเคยเจอะเจอมา แม้แต่ลูกดอกที่มีความเร็วสูงสุดในการลอบสังหารกลับมิอาจเล็ดรอดสายตาของไป๋เฉินไปได้

แต่ทว่าในเสี้ยววินาทีต่อมาร่างสีดำอันหล่อเหลาของไป๋เฉินปรากฏขึ้นด้วยเสียงลมหวดเป็นภาพติดตา นัยน์ตาสีเลือดส่องประกายแสงจันทราแลดูน่าหลงใหล เขายื่นมือออกไปหมายตบที่ลิ้นปี่เพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหว

แต่ฉางเอ๋อร์มิได้อยู่นิ่งเฉย พลันพลิกข้อมือขวาด้วยมุมอับสายตายืดแขนตรงตบไปที่ใบหน้าของไป๋เฉิน

ไป๋เฉินเพียงยิ้มจางๆพลันพับแขนครึ่งหนึ่งตบเพื่อปัดป้องการจู่โจมออกไปพร้อมกับกลั้นหายใจในเวลาเดียวกัน

เพราะเขารู้ดีว่ากระบวนท่าฝ่ามืออันเพรียวบางนั้นมีกลิ่นฉุนของพิษคร่าหัวใจปะปนอยู่ 

เมื่อฉางเอ๋อร์สูญเสียสมดุลนางพยายามหมุนตัวเหวี่ยงขาเตะสูง หากแต่ในเวลาเดียวกันไป๋เฉินพลันตอบสนองโดยหมุนตัวหนึ่งรอบและใช้มือซ้ายตบเข้าที่ท้ายทอย

"ฝับ!"

ฉางเอ๋อร์ที่มิทันตอบโต้กลับรู้สึกหน้ามืดตามัวราวกับเห็นภาพทับซ้อนของไป๋เฉินเป็นสองคน ก่อนที่วิสัยทัศน์จะพร่าเลือนและหมดสติไปโดยที่นางไม่มีโอกาสตอบโต้อีกต่อไป

ไป๋เฉินใช้สองมือโอบกอดร่างเพรียวบางดุจต้นหลิวของฉางเอ๋อร์ที่หมดสติไว้ในอ้อมแขน "ช่างเป็นสตรีที่มีพิษเสียนี่กระไร" 

สิ่งแรกที่เขากระทำคือนำถุงผ้าถุงหนึ่งสวมไว้ที่มือขวาของนางเพื่อมิให้พิษคร่าหัวใจสัมผัสกับผิวหนังของตน

ด้วยความสงสัยหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ไป๋เฉินโอบนางไว้ด้วยมือขวาก่อนจะใช้มือซ้ายค่อยๆถอดหน้ากากจิ้งจอกออกมาทีละเล็กทีละน้อย

ฉากที่ปรากฏขึ้นต่อตาคือใบหน้ารูปไข่ของหญิงสาวที่นัยน์ตาปิดตาสนิท ริมฝีปากฉ่ำไปด้วยสีชมพูดุจลูกพีช คิ้วของนางเรียงโค้งดุจต้นหลิวพริ้วไหว แม้ว่าจะหมดสติไปแต่ความงดงามก็เป็นที่ต้องตาต้องใจยิ่งนัก

เมื่อมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของหญิงสาว ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะผิวปาก "ช่างเป็นแม่นางงดงามอะไรเยี่ยงนี่"

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้คือหญิงสาวที่พบเจอกับตนในเมืองเทียนเตี้ยน แต่ดูเหมือนว่าในครานั้นนางยังปลอมตัวอยู่จึงมีเค้าโครงและรูปหน้าที่แตกต่างกันราวกับว่าเป็นคนละคน

"ฮ่าย~ แม้นว่าไม่อยากจะรังแกนาง แต่ข้าจำต้องใช้นางเป็นหมากอยู่ดี" ไป๋เฉินส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้พร้อมทะยานเข้าไปในกระโจมโดยที่มีฉางเอ๋อร์อยู่ในอ้อมแขน

.

.

.

จากนั้นไม่ถึงหนึ่งในสี่ก้านธูป เปลือกตาฉางเอ๋อร์ที่หมดสติกลับกระตุกเบาๆ ก่อนจะค่อยๆผงกศีรษะขึ้นด้วยความสลึมสลือตามสัญชาตญาณ

เมื่อปรับมุมมองในระยะสายตาได้ นางต้องพบเจอเข้ากับฉากที่แลดูไม่คุ้นเคย เบื้องหน้าคือฟูกสีขาวราวกับว่านางมาอยู่ในห้องที่แคบและแปลกตา เมื่อหันเหสายตาไปด้านข้างกลับพบร่างของชายหนุ่มหล่อเหลาในอาภรณ์สีดำที่กำลังนอนอ่านตำราอย่างไม่รู้สึกรู้สาราวกับว่าเขากำลังอยู่ในโลกส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น

'ไป๋เฉิน!'

ฉางเอ๋อร์เบิกตาโพลงอย่างตกตะลึง แต่ก่อนที่นางจะตะโกนออกไปแต่ปากของนางกลับถูกพาดขวางไว้ด้วยผ้าหนาสีขาว มีก็เพียงแต่เสียงอู้อี้ในลำคอเท่านั้นที่เปล่งออกไป 

และเมื่อพยายามจะขยับเขยื้อนก็กลับพบว่ามือทั้งสองของนางถูกพาดไปด้านหลังและพันธนาการไว้มิอาจจะขยับร่างได้

ไป๋เฉินถอนสายตาออกจากตำราครรลองมองไปยังฉางเอ๋อร์พร้อมทั้งทักทายด้วยรอยยิ้มสุภาพ "ทิวาสวัสดิ์ ดูเหมือนว่าพวกเราจะเจอะเจอกันอีกแล้ว"

"ไอ๋เอิ๋น! อ๋อยอ้าไอ!" ฉางเอ๋อร์พยายามตะโกนอย่างไม่เป็นคำ 

แต่ในเวลานั้นกรืชสีดำของไป๋เฉินกลับจอค่อของนางด้วยการเคลื่อนไหวที่มองตามไม่ทัน "ชู่ว~ เจ้าควรเงียบปากไปเสียดีกว่า หากเจ้าเสียงดังกว่านี้เห็นทีว่าข้าไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิตเจ้าอีกต่อไป" 

ไป๋เฉินกล่าวด้วยลมหายใจอุ่นๆรดต้นคอ จนฉางเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวความตายไปจนถึงก้นบึ้งจิตใจ

เมื่อเห็นจิตสังหารในแววตาสีเลือดคู่นั้นฉางเอ๋อร์ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง 

"เด็กดี" ไป๋เฉินลูบหัวนางเบาๆอย่างอ่อนโยน

เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ฉางเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะกลอกตา

แต่ในเวลาเดียวกันนั้นไป๋เฉินกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง "มาเจรจากัน ข้าจะให้ทางเลือกเจ้าสองทาง...ทางที่หนึ่งเป็นทาสรับใช้ของข้า เชื่อฟังว่าจนกว่าสิ่งที่ต้องการจะลุล่วง"

หลังจากได้ยินคำนั้นฉางเอ๋อร์กลับส่งสายตาดุร้ายอย่างดื้อรั้น 

"หรือสองไม่จำเป็นต้องเป็นทาสรับใช้ แต่ข้าจะส่งเจ้าไปให้ลุงฉินพร้อมประกาศเผยแพร่ถึงการมีอยู่ของสมาชิกตระกูลฉางทั้งหมดที่หลบซ่อนตัวในเมืองเทียนเฟิง...เจ้าคิดเห็นอย่างไร?" แม้นไป๋เฉินจะกล่าวอย่างนุ่มนวล แต่คำว่าตระกูลฉางที่ออกจากปากของไป๋เฉินทำให้ร่างของฉางเอ๋อร์สั่นสะท้านอย่างรุนแรง

แววตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายสุดขีด แต่ลึกในอารมณ์กลับมีความหวาดกลัวที่ซุ่มซ่อนอยู่

'ตระกูลฉาง? เขารู้ได้อย่างไรว่าข้ามาจากตระกูลฉาง?'

ราวกับว่าไป๋เฉินสามารถมองเห็นคำถามในแววตาน่าหลงใหลคู่นั้นเขาจึงตอบส่งๆไปอย่างไม่ใส่ใจ "พิษคร่าหัวใจ นอกจากตระกูลฉางแล้ว คงจะไม่มีผู้ใดใช้พิษคร่าหัวใจได้อีกต่อไป"

"แม้นว่าผู้คนจะไม่เชื่อข้า แต่หากว่าข่าวนี้เผยแพร่โดยตระกูลฉิน เจ้าคิดว่าเมืองเทียนเฟิงจะช่วยเจ้าจากการล่มสลายของตระกูลฉางหรือไม่? แน่นอนว่าไม่มีทาง! ไม่มีทางที่เมืองเทียนเฟิงจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใจกลางความขัดแย้งเพียงเพื่อช่วยตระกูลฉางเช่นเจ้าอย่างแน่นอน"

ฉางเอ๋อร์ตัวสั่นแต่กลับก้มหน้าลงโดยที่มิได้กล่าวใดๆ

ไป๋เฉินถอนกริชจากคอดุจหงส์ก่อนจะกลับไปนั่งลงไม่ไกล "ข้าให้เวลาในการตัดสินใจสิบลมหายใจ เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลือนี้จงตัดสินใจให้รอบคอบ"

ฉางเอ๋อร์กัดริมฝีปากอย่างมิอาจตัดสินใจได้ สายตาของนางทอดมองไปรอบๆราวกับกำลังหาวิธีการร้องขอความช่วยเหลือ

แต่ไป๋เฉินเผยรอยยิ้มมุมปาก "หากเจ้ากำลังรอหญิงสาวอีกคนอยู่ ข้าบอกได้เพียงแค่ว่านางจะไม่มีวันกลับมาในเร็วๆนี้"

หลังจากนั้นสิบลมหายใจผ่านไป ไป๋เฉินเพียงเอื้อมมือดึงผ้าขาวออกจากปากก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเรียบง่าย "หมดเวลาแล้ว คำตอบของเจ้า?" 

ฉางเอ๋อร์ทำได้เพียงกัดฟันอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ไป๋เฉินยังคงกล่าวโน้มน้าว "ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าเพียงแค่ไม่ถึงสองสัปดาห์แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป ข้าให้คำมั่นสัญญาในนามของบิดาของข้าไป๋หนานเทียน!"

การกล่าวเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากสัตย์สาบาน เป็นที่รู้กันว่าไป๋หนานเทียนนั้นเป็นบุคคลที่ซื่อตรงและยึดถือในคำมั่นสัญญาเป็นอย่างยิ่ง

หากนางต่อต้านไป๋เฉินในเวลานี้ อาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์การล่มสลายของสมาชิกตระกูลฉางที่ยังหลงเหลืออยู่ สุดท้ายนางทำได้เพียงผงกศีรษะอย่างไม่เต็มใจ "ข้าเลือกข้อที่หนึ่ง"

"เป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม... เช่นนั้น~ นับจากนี้เจ้าคืออาวุธของข้า!" ไป๋เฉินเผยรอยยิ้มชั่วร้ายในขณะสายตากำลังไหลตามลงมายังเรือนร่างของนางพลางเลียริมฝีปากอย่างหิวกระหาย ทันใดนั้นปราณโลหิตปรากฏขึ้นปลายนิ้วก่อนจะประทับไปยังขม่อมของนางโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

"ตราประทับโลหิต—ตราประทับทาส"

แสงสีขาวโปร่งส่องประกายจากหน้าผากเรียบเนียนของฉางเอ๋อร์ปรากฏอักขระ 血 ชั่วครู่ก่อนจะหายลับไป

ฉางเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก "เจ้าทำอะไรกับข้า!?"

"ไม่จำเป็นต้องตกใจไป ข้าเพียงแค่ทำตราประทับยืนยันระหว่างนายกับบ่าวไว้เท่านั้น หากเจ้ามีจิตใจคิดปองร้ายข้า ร่างกายของเจ้าก็จะร้อนรุ่มจากภายในจนโลหิตสูบฉีดจนก่อเกิดเป็นตัณหาขึ้นมา...แน่นอนว่ามีเพียงแค่ข้าเท่านั้นที่สามารถช่วยปลอบประโลมเจ้าได้" เมื่อเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของไป๋เฉิน ฉางเอ๋อร์กลับมีสีหน้าซีดขาวราวกับผ้าปูที่นอน