นั่นหมายความว่าหากนางมีความคิดอยากจะสังหารไป๋เฉินหรือมีความคิดต่อต้านคำสั่ง ความต้องการทางเพศของนางก็จะยิ่งสูงขึ้น และมีเพียงแค่ไป๋เฉินผู้เดียวเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาความต้องการทางเพศของนางได้
ตราประทับทาสมิใช่ทักษะที่ควบคุมสมองหรือควบคุมความนึกคิดโดยตรง หากแต่เป็นการควบคุมการไหลเวียนโลหิตให้เป็นรูปแบบต่างๆ
ซึ่งตราประทับทาสเป็นรูปแบบการไหลเวียนโลหิตที่อุ้งเชิงกรานของสตรีและเป็นการกระตุ้นฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง)
ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเคล็ดวิชาตราประทับโลหิตอยู่ลึกๆ แม้นจะเป็นเคล็ดวิชานอกรีต แต่มันกลับได้ผลดีอย่างยิ่งหากมันต้องมาอยู่ในมือของไป๋เฉิน
หลังจากนั้นเขาตวัดกริชตัดเชือกคลายพันธนาการให้แก่นางก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว "เอาล่ะ คืนนี้เจ้าไปนอนในห้องของข้า พรุ่งนี้ข้ามีงานให้เจ้าทำ"
ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกไปด้านนอกกระโจม เขาเหลือบหางตามองกลับมาเผยรอยยิ้มชั่วช้าดุจมารร้าย "แน่นอนว่าหากเจ้าไม่เชื่อในคำเตือนของข้า เจ้าสามารถทดสอบมันดูได้ บางทีข้าอาจจะได้ปลดปล่อยความต้องการไปในตัว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!"
ไป๋เฉินออกจากกระโจมตรงไปยังลานนั่งพักราวกับว่ากำลังรอใครบางคน โดยการพิงพนักและนำตำราออกมาอ่านฆ่าเวลา
แม้นว่าทุกอิริยาบถของไป๋เฉินจะแลดูสุภาพและเรียบร้อยดุจนายน้อยตระกูลขุนนาง แต่ในสายตาของนางไป๋เฉินแทบจะไม่ต่างจากปีศาจร้ายที่หลุดพันธนาการออกมาจากขุมนรก!
ปีศาจ!
มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้นที่พอจะประเมินไป๋เฉินในยามนี้ได้!
ฉางเอ๋อร์สะบัดข้อมือคลายกล้ามเนื้อ นางพรวดลุกขึ้นและกำลังจะหลบหนีไปทางด้านหลังกระโจมโดยพลัน
นางเพิ่งตระหนักรู้ว่าไป๋เฉินมิใช่ขยะไร้ค่าอย่างที่ข้อมูลระบุไว้ หากแต่เป็นผู้บำเพ็ญปราณในระดับปราณปฐพี
แม้แต่นางที่มีระดับบำเพ็ญปราณสวรรค์ก็มิอาจจะต่อกรและสร้างบาดแผลต่อไป๋เฉินได้ ดังนั้นหนทางเดียวคือต้องหลบหนีและแจ้งข่าวไปยังเมืองเทียนเฟิงให้เป็นผู้ดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
"ตุบๆ~"
"ตุบๆ~"
แต่ขณะที่กำลังจะหลบหนี ทันใดนั้นอัตราการเต้นของหัวใจของนางกลับถี่ขึ้น ซ้ำยังมีการไหลเวียนโลหิตที่แปลกประหลาดจนออกอาการทางสีหน้า
ใบหน้าของนางแดงก่ำดุจแอปเปิ้ลสุก เสียงหอบมาพร้อมกับลมหายใจอุ่นๆเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอันน่าหลงใหล ตรงขม่อมกลับมีอักขระ 血 ปรากฏขึ้นด้วยส่องสว่างวาบเพียงชั่วครู่
"เกิดอะไรขึ้นกับข้า? เหตุใดร่างกายของข้าจึงออกอาการเช่นนี้?" ฉางเอ๋อร์พึมพำเบาๆพร้อมกับเสียงหอบหายใจ
ขาทั้งสองข้างที่กำลังจะก้าวออกจากกระโจมกลับต้องหนีบเข้าหากันด้วยการกระตุกเบาๆ ทันใดนั้นความรู้สึกราคะเริ่มที่จะถาโถมเข้าสู่จิตใต้สำนึก
ใบหน้าร้อนผ่าวผนวกเข้ากับความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น นางพยายามเดินเข้าไปใกล้ไป๋เฉินอย่างไร้สติ
ในขณะเดียวกันนั้นไป๋เฉินเพียงเหลือบหางตามองกลับมา เขาเชื่อว่าตราประทับทาสจะเป็นคำขู่ที่ดีที่จะไม่ทำให้นางลงมือโดยผลีผลามเป็นแน่
แต่กลับกลายเป็นว่าฉางเอ๋อร์กระโจนเข้าหาไป๋เฉินดุจหมาป่าหิวกระหาย จนไป๋เฉินที่ไม่ทันได้ตั้งตัวกลับต้องตัวสั่นสะท้าน
"ไป๋เฉิน...ข้าต้องการมัน" ฉางเอ๋อร์ที่มีนัยน์ตาเหม่อลอยกล่าวด้วยลมหายใจรดหน้า นางเข้าตรึงร่างไป๋เฉินไว้ด้านล่างราวกับแม่เสือสาวพร้อมกับเคลื่อนไหวมืออันบอบบางไปยังส่วนล่างของไป๋เฉินโดยไม่ลังเล
"เห้ยๆๆ! อย่าข่มขืนข้า!" ไป๋เฉินที่รู้สึกเสี่ยวซ่านอดไม่ได้ที่จะร้องขอชีวิต
[ ไอ้บ้า! นางคิดจะไม่ฟังคำเตือนหลังจากที่ข้าให้คำเตือนไปแล้วหรอกหรือ!? ]
"เจ้า! ออกไป-" แต่ไม่ทันที่ไป๋เฉินจะได้กล่าวจนจบประโยค กลับมีริมฝีปากอ่อนหวานประกบเข้าหาไป๋เฉินจนหยุดชะงักงันและร่างกายแข็งทื่อ
ขณะนั้นลิ้นที่ฉ่ำน้ำของฉางเอ๋อร์พุ่งผ่านริมฝีปากสอดประสานกับลิ้นของไป๋เฉินโดยพลัน
ทันใดนั้นไฟส่วนล่างของไป๋เฉินกลับลุกโชนโดยไม่ตั้งใจ ฉางเอ๋อร์ที่ไฟราคะกำลังพุ่งพล่านฉีกกระชากอาภรณ์ของไป๋เฉินออกอย่างรีบร้อน
แม้นร่างกายของไป๋เฉินจะไร้ซิกแพกแต่ทุกอวัยวะของเขากลับเปี่ยมไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง
นิ้วของฉางเอ๋อร์กวาดไปทั่วร่างอันบอบบางของไป๋เฉินอย่างเย้ายวนจนน้องชายของเขาตั้งตรงพร้อมรบ!
"ไม่ไหวแล้วโว้ย!"
ไป๋เฉินมิอาจกดข่มตัณหาไว้ได้อีกต่อไป เขาพลิกร่างขึ้นมาอยู่ด้านบนอย่างรีบร้อน มือทั้งสองกดร่างฉางเอ๋อร์ลงพื้นพลันยื่นหน้าเล้าโลมต้นคออย่างจนนางเปล่งเสียงครวญครางเบาๆ
ไป๋เฉินที่เปลือยท่อนบนฉีกอาภรณ์สีบานเย็นของนางออกดุจปีศาจราคะ เมื่อเห็นเรือนร่างและเนินเขาหิมะอันงดงามก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอย่างแรง
ไป๋เฉินตัดสินใจลูบไล้คลึงเนินคู่ด้วยสีหน้าหื่นกระหาย ก่อนจะยื่นหน้าไปยังลูกพีชสีชมพูเหนือเนินก่อนจะดูดและใช้ลิ้นตวัดอย่างรวดเร็วราวกับกำลังกระเหี้ยนกระหือรือเต็มที
"อ๊า~"
ฉางเอ๋อร์ด้านล่างส่งเสียงครวญครางอย่างเย้ายวนโดยไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาที่ต่อต้าน
ไป๋เฉินที่มิอาจต้านทานภัยคุกคามจากความต้องการทางเพศจึงใส่ยับโดยไม่สนใจสิ่งใดรอบข้างอีกต่อไป
"อ๊า~"
ก่อนที่ทั้งกระโจมจะเปี่ยมไปด้วยเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดและเย้ายวนของหญิงสาวแผ่วๆรอบกระโจม จนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกันอย่างดุร้ายและป่าเถื่อนในเวลาต่อมา...
ขณะที่ด้านในกระโจมเปิดศึกสะท้านพรหมจรรย์กันอย่างดุเดือด ด้านนอกกระโจมบริเวณต้นโพธิ์สูงใหญ่ ร่างสีเทาของฉางเฟิงปรากฏกายขึ้นด้วยความเร็วสูงสุด สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความวิตกกังวล
ก่อนหน้าที่เขารู้แล้วว่าพวกเขาถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากหญิงสาวนักฆ่าผู้หนึ่ง แต่ในเมื่อตระหนักได้ว่ากำลังถูกหลอกเขาจึงรีบกลับมาตรวจสอบไป๋เฉินก่อนสิ่งอื่นใด
แต่ทว่าเมื่อกำลังจะลอบเข้าไปในกระโจม เขากลับได้ยินเสียงครวญครางสองเสียงจากด้านใน
เท้าของฉางเฟิงที่กำลังจะก้าวเข้าไปตรวจสอบกลับต้องชะงักอยู่กลางอากาศ ใบหน้าของเขาแข็งค้างจนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างกระอักกระอ่วน "นะ-นายน้อยกำลัง?"
แน่นอนว่าเสียงนั้นคือเสียงของไป๋เฉินแต่อีกเสียงหนึ่ง? ...สตรี!
"ขุ่นพระ! นายน้อยกำลัง! @#฿_#" ฉางเฟิงกระโดดถอยหลังโดยอัตโนมัติ
ไม่เกินสิบลมหายใจร่างสีดำของลุงเซี่ยที่เปี่ยมไปด้วยบาดแผลเต็มกายกลับปรากฏขึ้นใกล้ร่างของฉางเฟิงพลางกล่าวอย่างรีบร้อน "ฉางเฟิง นายน้อยเป็นอย่างไ-"
"ชู่ว!" ฉางเฟิงรีบปิดปากลุงเซี่ยอย่างรีบร้อน "ลุงเซี่ยอย่ารบกวนความสุขของนายน้อย นายน้อยกำลัง..."
หลังจากนั้นฉางเฟิงรีบกล่าวอธิบายด้วยการกระซิบกระซาบ
"ขุ่นพระ! เป็นไปได้อย่างไร!?" ลุงเซี่ยอ้าปากค้างจนกรามแทบร่วง
แต่ฉางเฟิงกลับพยักหน้าให้แก่เขาอย่างหนักหน่วง แน่นอนว่าลุงเซี่ยที่ไม่เชื่อพยายามจะป้องหูฟัง
แต่ฉางเฟิงรีบฉุดกระชากลากถูลุงเซี่ยออกไป "ลุงเซี่ย นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของนายน้อย พวกเราออกไปปกป้องนายน้อยด้านนอกดีกว่า"
ลุงเซี่ยทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่ร่างของทั้งสองจะหายลับไปด้านหลังกำแพงกระโจมหลังโทรมของไป๋เฉิน
. . .
ตัดสลับไปที่ตรอกซอยเล็กๆใกล้เคียงกับตระกูลฉินไม่เกิน 10 เมตร ร่างอ้อนช้อยสีขาวซีดของชิงเอ๋อร์เปี่ยมไปด้วยบาดแผลรอบกาย นางอดไม่ได้ที่จะกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ "ไม่คาดคิดว่าฉินเหยียนจะปล่อยให้ผู้บำเพ็ญปราณสวรรค์ขั้น 7 ถึงสองคนปกป้องไป๋เฉินอยู่..."
"...ข้าได้แต่หวังว่าฉางเอ๋อร์จะปลอดภัย" ชิงเอ๋อร์มองไปยังทิศทางตะวันตกก่อนจะพุ่งทะยานร่างสะบักสะบอมกลับไปยังจุดนัดพบที่ทั้งสองพูดคุยกันไว้
.
.
.
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปสองชั่วยาม ฤทธิ์ของตราประทับทาสจึงได้สิ้นสุดลง
ทันใดนั้นไป๋เฉินที่รู้สึกตัวลุกขึ้นพรวดพราดอย่างรีบร้อนจนรู้ตัวว่ากำลังนอนอยู่บนฟูกขาวที่ประจำ แต่ทว่าเขากลับรู้สึกหนักอึ้งและปวดเอวเสียเหลือเกิน
เมื่อทอดสายตาไปข้างกายก็กลับพบเข้ากับร่างสีขาวราวหิมะเปลือยเปล่าของฉางเอ๋อร์ที่ขมวดคิ้วเข้าหากันแม้นจะหลับสนิท การหายใจของนางขาดห้วงราวกับเพิ่งจะประสบกับความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง
ในยามนี้นางกำลังขดตัวราวกับลูกแมวตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขนไป๋เฉินโดยที่มีผ้าห่มผืนหนาปกปิดร่างของนางตั้งแต่เนินอกจนถึงปลายเท้า โดยที่มีรอยเลือดติดอยู่บนผ้าขาวบริเวณส่วนล่างของนาง
เมื่อรับรู้ว่าได้กระทำสิ่งใดลงไป ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องอย่างตกตะลึง "ตรูทำอะไรไปวะเนี้ยะ!"
[ บ้าเอ้ย! ฉิบหายแล้วไหมละ!? ]
จู่ๆไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องอีกคราเมื่อตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขาเปิดผ้าห่มตรวจสอบน้องชายของเขา
แต่เมื่อเห็นน้องชายว่ายังปกติดีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก "ยังดีว่าพิษคร่าหัวใจไม่ได้ผลกับไป๋เฉินตัวน้อย มิเช่นนั้นข้าได้อกแตกตายเป็นแน่"
หลังจากนั้นไป๋เฉินยังคงนั่งอยู่บนฟูกในลักษณะเหม่อลอย
เขาไม่คาดคิดว่าฉางเอ๋อร์จะยังเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์อยู่ ความจริงในเรื่องนี้ทำให้ไป๋เฉินรู้สึกผิดในใจไม่น้อย
เขาทำได้เพียงแต่ทบทวนในใจในลักษณะเหม่อลอย
'ข้าทำผิดพลาดไปหรือไม่?'
"ข้าจะบอกแก่นางอย่างไรดี?'
'ข้าจำต้องรับผิดชอบนางหรือไม่?'
'แล้วข้าจะบอกแก่เยว่ฉานอย่างไร? หรือข้าไม่ควรบอกนางกัน?'
จนไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะตบหน้าผากตัวเองอย่างแรง "ไป๋เฉินเอ้ยไป๋เฉิน! งานเข้ามึงแล้ว"