ตอนที่ 42 : เพลิงราคะ (NC18+)

นั่นหมายความว่าหากนางมีความคิดอยากจะสังหารไป๋เฉินหรือมีความคิดต่อต้านคำสั่ง ความต้องการทางเพศของนางก็จะยิ่งสูงขึ้น และมีเพียงแค่ไป๋เฉินผู้เดียวเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาความต้องการทางเพศของนางได้

ตราประทับทาสมิใช่ทักษะที่ควบคุมสมองหรือควบคุมความนึกคิดโดยตรง หากแต่เป็นการควบคุมการไหลเวียนโลหิตให้เป็นรูปแบบต่างๆ 

ซึ่งตราประทับทาสเป็นรูปแบบการไหลเวียนโลหิตที่อุ้งเชิงกรานของสตรีและเป็นการกระตุ้นฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง)

ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเคล็ดวิชาตราประทับโลหิตอยู่ลึกๆ แม้นจะเป็นเคล็ดวิชานอกรีต แต่มันกลับได้ผลดีอย่างยิ่งหากมันต้องมาอยู่ในมือของไป๋เฉิน

หลังจากนั้นเขาตวัดกริชตัดเชือกคลายพันธนาการให้แก่นางก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว "เอาล่ะ คืนนี้เจ้าไปนอนในห้องของข้า พรุ่งนี้ข้ามีงานให้เจ้าทำ"

ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกไปด้านนอกกระโจม เขาเหลือบหางตามองกลับมาเผยรอยยิ้มชั่วช้าดุจมารร้าย "แน่นอนว่าหากเจ้าไม่เชื่อในคำเตือนของข้า เจ้าสามารถทดสอบมันดูได้ บางทีข้าอาจจะได้ปลดปล่อยความต้องการไปในตัว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!"

ไป๋เฉินออกจากกระโจมตรงไปยังลานนั่งพักราวกับว่ากำลังรอใครบางคน โดยการพิงพนักและนำตำราออกมาอ่านฆ่าเวลา

แม้นว่าทุกอิริยาบถของไป๋เฉินจะแลดูสุภาพและเรียบร้อยดุจนายน้อยตระกูลขุนนาง แต่ในสายตาของนางไป๋เฉินแทบจะไม่ต่างจากปีศาจร้ายที่หลุดพันธนาการออกมาจากขุมนรก!

ปีศาจ! 

มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้นที่พอจะประเมินไป๋เฉินในยามนี้ได้!

ฉางเอ๋อร์สะบัดข้อมือคลายกล้ามเนื้อ นางพรวดลุกขึ้นและกำลังจะหลบหนีไปทางด้านหลังกระโจมโดยพลัน

นางเพิ่งตระหนักรู้ว่าไป๋เฉินมิใช่ขยะไร้ค่าอย่างที่ข้อมูลระบุไว้ หากแต่เป็นผู้บำเพ็ญปราณในระดับปราณปฐพี 

แม้แต่นางที่มีระดับบำเพ็ญปราณสวรรค์ก็มิอาจจะต่อกรและสร้างบาดแผลต่อไป๋เฉินได้ ดังนั้นหนทางเดียวคือต้องหลบหนีและแจ้งข่าวไปยังเมืองเทียนเฟิงให้เป็นผู้ดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

"ตุบๆ~"

"ตุบๆ~"

แต่ขณะที่กำลังจะหลบหนี ทันใดนั้นอัตราการเต้นของหัวใจของนางกลับถี่ขึ้น ซ้ำยังมีการไหลเวียนโลหิตที่แปลกประหลาดจนออกอาการทางสีหน้า 

ใบหน้าของนางแดงก่ำดุจแอปเปิ้ลสุก เสียงหอบมาพร้อมกับลมหายใจอุ่นๆเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอันน่าหลงใหล ตรงขม่อมกลับมีอักขระ 血 ปรากฏขึ้นด้วยส่องสว่างวาบเพียงชั่วครู่

"เกิดอะไรขึ้นกับข้า? เหตุใดร่างกายของข้าจึงออกอาการเช่นนี้?" ฉางเอ๋อร์พึมพำเบาๆพร้อมกับเสียงหอบหายใจ

ขาทั้งสองข้างที่กำลังจะก้าวออกจากกระโจมกลับต้องหนีบเข้าหากันด้วยการกระตุกเบาๆ ทันใดนั้นความรู้สึกราคะเริ่มที่จะถาโถมเข้าสู่จิตใต้สำนึก

ใบหน้าร้อนผ่าวผนวกเข้ากับความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น นางพยายามเดินเข้าไปใกล้ไป๋เฉินอย่างไร้สติ

ในขณะเดียวกันนั้นไป๋เฉินเพียงเหลือบหางตามองกลับมา เขาเชื่อว่าตราประทับทาสจะเป็นคำขู่ที่ดีที่จะไม่ทำให้นางลงมือโดยผลีผลามเป็นแน่

แต่กลับกลายเป็นว่าฉางเอ๋อร์กระโจนเข้าหาไป๋เฉินดุจหมาป่าหิวกระหาย จนไป๋เฉินที่ไม่ทันได้ตั้งตัวกลับต้องตัวสั่นสะท้าน

"ไป๋เฉิน...ข้าต้องการมัน" ฉางเอ๋อร์ที่มีนัยน์ตาเหม่อลอยกล่าวด้วยลมหายใจรดหน้า นางเข้าตรึงร่างไป๋เฉินไว้ด้านล่างราวกับแม่เสือสาวพร้อมกับเคลื่อนไหวมืออันบอบบางไปยังส่วนล่างของไป๋เฉินโดยไม่ลังเล

"เห้ยๆๆ! อย่าข่มขืนข้า!" ไป๋เฉินที่รู้สึกเสี่ยวซ่านอดไม่ได้ที่จะร้องขอชีวิต

[ ไอ้บ้า! นางคิดจะไม่ฟังคำเตือนหลังจากที่ข้าให้คำเตือนไปแล้วหรอกหรือ!? ]

"เจ้า! ออกไป-" แต่ไม่ทันที่ไป๋เฉินจะได้กล่าวจนจบประโยค กลับมีริมฝีปากอ่อนหวานประกบเข้าหาไป๋เฉินจนหยุดชะงักงันและร่างกายแข็งทื่อ

ขณะนั้นลิ้นที่ฉ่ำน้ำของฉางเอ๋อร์พุ่งผ่านริมฝีปากสอดประสานกับลิ้นของไป๋เฉินโดยพลัน

ทันใดนั้นไฟส่วนล่างของไป๋เฉินกลับลุกโชนโดยไม่ตั้งใจ ฉางเอ๋อร์ที่ไฟราคะกำลังพุ่งพล่านฉีกกระชากอาภรณ์ของไป๋เฉินออกอย่างรีบร้อน 

แม้นร่างกายของไป๋เฉินจะไร้ซิกแพกแต่ทุกอวัยวะของเขากลับเปี่ยมไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง

นิ้วของฉางเอ๋อร์กวาดไปทั่วร่างอันบอบบางของไป๋เฉินอย่างเย้ายวนจนน้องชายของเขาตั้งตรงพร้อมรบ!

"ไม่ไหวแล้วโว้ย!"

ไป๋เฉินมิอาจกดข่มตัณหาไว้ได้อีกต่อไป เขาพลิกร่างขึ้นมาอยู่ด้านบนอย่างรีบร้อน มือทั้งสองกดร่างฉางเอ๋อร์ลงพื้นพลันยื่นหน้าเล้าโลมต้นคออย่างจนนางเปล่งเสียงครวญครางเบาๆ 

ไป๋เฉินที่เปลือยท่อนบนฉีกอาภรณ์สีบานเย็นของนางออกดุจปีศาจราคะ เมื่อเห็นเรือนร่างและเนินเขาหิมะอันงดงามก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอย่างแรง

ไป๋เฉินตัดสินใจลูบไล้คลึงเนินคู่ด้วยสีหน้าหื่นกระหาย ก่อนจะยื่นหน้าไปยังลูกพีชสีชมพูเหนือเนินก่อนจะดูดและใช้ลิ้นตวัดอย่างรวดเร็วราวกับกำลังกระเหี้ยนกระหือรือเต็มที

"อ๊า~"

ฉางเอ๋อร์ด้านล่างส่งเสียงครวญครางอย่างเย้ายวนโดยไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาที่ต่อต้าน

ไป๋เฉินที่มิอาจต้านทานภัยคุกคามจากความต้องการทางเพศจึงใส่ยับโดยไม่สนใจสิ่งใดรอบข้างอีกต่อไป

"อ๊า~"

ก่อนที่ทั้งกระโจมจะเปี่ยมไปด้วยเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดและเย้ายวนของหญิงสาวแผ่วๆรอบกระโจม จนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกันอย่างดุร้ายและป่าเถื่อนในเวลาต่อมา...

ขณะที่ด้านในกระโจมเปิดศึกสะท้านพรหมจรรย์กันอย่างดุเดือด ด้านนอกกระโจมบริเวณต้นโพธิ์สูงใหญ่ ร่างสีเทาของฉางเฟิงปรากฏกายขึ้นด้วยความเร็วสูงสุด สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความวิตกกังวล

ก่อนหน้าที่เขารู้แล้วว่าพวกเขาถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากหญิงสาวนักฆ่าผู้หนึ่ง แต่ในเมื่อตระหนักได้ว่ากำลังถูกหลอกเขาจึงรีบกลับมาตรวจสอบไป๋เฉินก่อนสิ่งอื่นใด

แต่ทว่าเมื่อกำลังจะลอบเข้าไปในกระโจม เขากลับได้ยินเสียงครวญครางสองเสียงจากด้านใน

เท้าของฉางเฟิงที่กำลังจะก้าวเข้าไปตรวจสอบกลับต้องชะงักอยู่กลางอากาศ ใบหน้าของเขาแข็งค้างจนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างกระอักกระอ่วน "นะ-นายน้อยกำลัง?" 

แน่นอนว่าเสียงนั้นคือเสียงของไป๋เฉินแต่อีกเสียงหนึ่ง? ...สตรี!

"ขุ่นพระ! นายน้อยกำลัง! @#฿_#" ฉางเฟิงกระโดดถอยหลังโดยอัตโนมัติ

ไม่เกินสิบลมหายใจร่างสีดำของลุงเซี่ยที่เปี่ยมไปด้วยบาดแผลเต็มกายกลับปรากฏขึ้นใกล้ร่างของฉางเฟิงพลางกล่าวอย่างรีบร้อน "ฉางเฟิง นายน้อยเป็นอย่างไ-"

"ชู่ว!" ฉางเฟิงรีบปิดปากลุงเซี่ยอย่างรีบร้อน "ลุงเซี่ยอย่ารบกวนความสุขของนายน้อย นายน้อยกำลัง..." 

หลังจากนั้นฉางเฟิงรีบกล่าวอธิบายด้วยการกระซิบกระซาบ

"ขุ่นพระ! เป็นไปได้อย่างไร!?" ลุงเซี่ยอ้าปากค้างจนกรามแทบร่วง

แต่ฉางเฟิงกลับพยักหน้าให้แก่เขาอย่างหนักหน่วง แน่นอนว่าลุงเซี่ยที่ไม่เชื่อพยายามจะป้องหูฟัง 

แต่ฉางเฟิงรีบฉุดกระชากลากถูลุงเซี่ยออกไป "ลุงเซี่ย นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของนายน้อย พวกเราออกไปปกป้องนายน้อยด้านนอกดีกว่า" 

ลุงเซี่ยทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่ร่างของทั้งสองจะหายลับไปด้านหลังกำแพงกระโจมหลังโทรมของไป๋เฉิน

. . .

ตัดสลับไปที่ตรอกซอยเล็กๆใกล้เคียงกับตระกูลฉินไม่เกิน 10 เมตร ร่างอ้อนช้อยสีขาวซีดของชิงเอ๋อร์เปี่ยมไปด้วยบาดแผลรอบกาย นางอดไม่ได้ที่จะกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ "ไม่คาดคิดว่าฉินเหยียนจะปล่อยให้ผู้บำเพ็ญปราณสวรรค์ขั้น 7 ถึงสองคนปกป้องไป๋เฉินอยู่..."

"...ข้าได้แต่หวังว่าฉางเอ๋อร์จะปลอดภัย" ชิงเอ๋อร์มองไปยังทิศทางตะวันตกก่อนจะพุ่งทะยานร่างสะบักสะบอมกลับไปยังจุดนัดพบที่ทั้งสองพูดคุยกันไว้

.

.

.

จนเวลาล่วงเลยผ่านไปสองชั่วยาม ฤทธิ์ของตราประทับทาสจึงได้สิ้นสุดลง

ทันใดนั้นไป๋เฉินที่รู้สึกตัวลุกขึ้นพรวดพราดอย่างรีบร้อนจนรู้ตัวว่ากำลังนอนอยู่บนฟูกขาวที่ประจำ แต่ทว่าเขากลับรู้สึกหนักอึ้งและปวดเอวเสียเหลือเกิน

เมื่อทอดสายตาไปข้างกายก็กลับพบเข้ากับร่างสีขาวราวหิมะเปลือยเปล่าของฉางเอ๋อร์ที่ขมวดคิ้วเข้าหากันแม้นจะหลับสนิท การหายใจของนางขาดห้วงราวกับเพิ่งจะประสบกับความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง

ในยามนี้นางกำลังขดตัวราวกับลูกแมวตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขนไป๋เฉินโดยที่มีผ้าห่มผืนหนาปกปิดร่างของนางตั้งแต่เนินอกจนถึงปลายเท้า โดยที่มีรอยเลือดติดอยู่บนผ้าขาวบริเวณส่วนล่างของนาง

เมื่อรับรู้ว่าได้กระทำสิ่งใดลงไป ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องอย่างตกตะลึง "ตรูทำอะไรไปวะเนี้ยะ!"

[ บ้าเอ้ย! ฉิบหายแล้วไหมละ!? ]

จู่ๆไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องอีกคราเมื่อตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขาเปิดผ้าห่มตรวจสอบน้องชายของเขา 

แต่เมื่อเห็นน้องชายว่ายังปกติดีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก "ยังดีว่าพิษคร่าหัวใจไม่ได้ผลกับไป๋เฉินตัวน้อย มิเช่นนั้นข้าได้อกแตกตายเป็นแน่"

หลังจากนั้นไป๋เฉินยังคงนั่งอยู่บนฟูกในลักษณะเหม่อลอย

เขาไม่คาดคิดว่าฉางเอ๋อร์จะยังเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์อยู่ ความจริงในเรื่องนี้ทำให้ไป๋เฉินรู้สึกผิดในใจไม่น้อย

เขาทำได้เพียงแต่ทบทวนในใจในลักษณะเหม่อลอย

'ข้าทำผิดพลาดไปหรือไม่?'

"ข้าจะบอกแก่นางอย่างไรดี?'

'ข้าจำต้องรับผิดชอบนางหรือไม่?'

'แล้วข้าจะบอกแก่เยว่ฉานอย่างไร? หรือข้าไม่ควรบอกนางกัน?'

จนไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะตบหน้าผากตัวเองอย่างแรง "ไป๋เฉินเอ้ยไป๋เฉิน! งานเข้ามึงแล้ว"