~ ตระกูลหยาง ~
ร่างสีดำของหลวนซิงที่ร่างกายชโลมไปด้วยบาดแผลพุ่งทะยานไปยังกำแพงตรอกซอยเล็กๆที่คับแคบ แม้นว่าเขาจะสวมหน้ากากอยู่ในขณะนี้ แต่ความตื่นตระหนกก็แสดงออกทางอากัปกิริยาได้อย่างเด่นชัด
ด้านหลังตามมาด้วยร่างของชายชราสามร่างพุ่งทะยานติดตามอย่างกระชั้นชิด
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นจากหลวนซิงพยายามบุกรุกเข้าสู่โรงงานหยกและเหมืองของตระกูลหยางจากทางด้านหลัง เขาสามารถมั่นใจได้ว่าภารกิจนี้จะง่ายดายเพราะเขาได้ฝึกฝนทักษะที่ไป๋เฉินได้สอนสั่งเขามา
โดยปกติแล้วนักฆ่าเช่นหลวนซิงจะไม่มีวันเดินไปเดินมาเพ่นพ่านในขณะกำลังทำภารกิจลอบสังหาร
แต่ทว่าภารกิจในครั้งนี้มิใช่การลอบสังหารเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการขโมย และเขาไม่มีความชำนาญในการปกปิดตัวตนในขณะเคลื่อนไหวเฉกเช่นเดียวกับไป๋เฉิน ผลสุดท้ายจึงได้บังเกิดสถานการณ์นี้ขึ้น
ดังนั้นเมื่อมีเสียงที่ผิดปกติเพียงแค่น้อยนิดเหล่าทหารยามที่เฝ้าอยู่เบื้องนอกก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่ามีผู้ใดลักลอบเข้ามาภายในตระกูลหยาง และหลวนซิงก็ถูกจับได้โดยที่เขาไม่ทันที่จะได้เข้าใกล้พื้นที่เก็บหยกแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นทหารยามจึงตะโกนรวมพลจนเหล่าผู้อาวุโสที่เก่งกาจที่ยังมิให้หลับสนิทได้ทำการไล่ล่าหลวนซิงจนมาตกอยู่ในเส้นทางคับแคบในสภาพเฉกเช่นปัจจุบัน
ภายในอาณาเขตของตระกูลหยาง เส้นทางที่คับแคบประเภทนี้มีเพียงสองตำแหน่งเท่านั้น นั่นคือหลังอาคารบ้านเรือนของตระกูลหยางที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของเหมืองหยกขนาดใหญ่
และอีกตำแหน่งคือเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างทางเข้าใหญ่ธรณีประตูก็มีตรอกซอยคับแคบที่สามารถยืนเรียงเป็นแถวหน้ากระดานได้เพียงสามคนเท่านั้น
ซึ่งทางด้านซ้ายและด้านขวาต่างก็เป็นกำแพงหินสูงกว่า 10 เมตรปิดกั้นไว้ ฉะนั้นหากหลวนซิงต้องการหลบหนีมีเพียงแต่ต้องใช้เส้นทางคับแคบจากด้านหลังอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของเหมืองเท่านั้นจึงจะสามารถทะลุออกไปยังเส้นทางสัญจรที่ซับซ้อนซึ่งเหมาะสำหรับการหลบหนีได้
บัดนี้หลวนซิงกำลังหลบหนีและตั้งหน้าตั้งตาวิ่งปรี่อย่างไม่คิดชีวิต ความเร็วของเขากำลังเร่งจนถึงขีดจำกัด
"เจ้าเป็นใคร!? เหตุใดเจ้าเข้ามาวุ่นวายภายในตระกูลหยางของข้า!?"
แต่ในชั่วพริบตากลับมีชายที่มีใบหน้าสี่เหลี่ยมในอาภรณ์สีม่วงปรากฏกายปิดกั้นเส้นทางแคบไว้ด้วยกระบี่สีม่วงที่กำลังชี้ตรงไปในลักษณะข่มขู่ สุ้มเสียงนั้นช่างเกรี้ยวกราดเหลือทน
หลวนซิงที่เห็นดังนั้นก็พยายามจะหันหลังกลับไปหมายจะหลบหนี แต่ทว่าเมื่อเหลือบมองด้านหลัง กลับมีร่างของเหล่าผู้อาวุโสตระกูลหยางที่กำลังไล่ล่าตนสามคนปิดล้อมไว้ ซ้ำแล้วด้านหน้ายังมีชายในอาภรณ์สีม่วงปรากฏขึ้นปิดกั้นเส้นทางไว้อีกต่างหาก
หลวนซิงสามารถสัมผัสได้ว่าชายในอาภรณ์สีม่วงตรงหน้าตนมีระดับการบำเพ็ญปราณสวรรค์ที่ซึ่งเหนือกว่าเขาเป็นไหนๆ!
เขาตวัดข้อมือเบาๆก่อนที่กริชสีเงินสองเล่มปรากฏขึ้นบนทั้งสองมือเตรียมสำหรับการเผชิญหน้าเพื่อเปิดเส้นทาง ก่อนจะกล่าวอย่างเสียดสี "ตระกูลหยางงั้นรึ!? ก็แค่ตระกูลธุรกิจจะริอาจต่อกรกับกองโจรเช่นข้าได้อย่างไร!?"
"ซู่!"
แต่ขณะที่หลวนซิงตัดสินใจกำลังพุ่งตรงเพื่อเผชิญหน้ากับชายตรงหน้าและต้องการเปิดเส้นทางหลบหนี ทันใดนั้นเหนือกำแพงสูงข้างตรอกซอยกลับมีร่างชายชราในอาภรณ์สีม่วงปรากฏขึ้นด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
ร่างนั้นแผ่ซ่านรัศมีแรงกดดันออกมา พลางจ้องมองไปยังหลวนซิงที่อยู่ด้านล่างด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว "กองโจรงั้นรึ? เจ้ามาจากที่ใด!?"
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่างที่ปรากฏขึ้นเหนือกำแพงคือร่างของหยางลั่ว ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลหยาง
เมื่อเห็นว่าร่างนั้นคือหยางลั่ว หัวใจของหลวนซิงร่วงหล่นไปถึงตาตุ่ม
บัดนี้เขาที่ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญปราณสวรรค์กลับถูกล้อมรอบไปด้วยผู้บำเพ็ญปราณลึกลับอย่างหยางลั่ว ซ้ำยังมีผู้บำเพ็ญปราณสวรรค์อีกสี่คนที่กำลังรออยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง
สถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ช่างเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
หลวนซิงกัดฟันอย่างไม่เต็มใจ แต่สายตาของเขาปราดมองไปรอบๆเพื่อไตร่ตรองหาโอกาสในการหลบหนี
เมื่อหลวนซิงเงียบงันโดยมิได้ตอบอันใด หยางลั่วบนกำแพงย่นคิ้วลงก่อนจะตะเบ็งเสียงกร้าว "ในเมื่อเจ้าไม่ยอมปริปาก เช่นนั้นมาดูกันว่าเจ้าจะหลบหนีจากข้าไปได้อย่างไร!"
"วู้ม!"
พลังปราณดุจพายุโหมกระหน่ำปะทุขึ้น หยางลั่วทะยานลงจากกำแพงด้วยการอัดกำปั้นใส่ร่างของหลวนซิงที่กำลังหมายจะหลบหนี
"ปัง!"
ร่างของหลวนซิงถูกกระแทกอย่างแรงจนชนเข้ากับกำแพงอีกด้านก่อนจะกระอักเลือดออกมาอย่างหนักหน่วง สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความเจ็บอย่างแสนสาหัส
ด้วยความห่างชั้นที่มากจนเกินไป เพียงแค่กระบวนท่าเดียวของหยางลั่วสามารถทำให้หลวนซิงหมดสภาพจากการต่อสู้ได้ในทันที
หลวนซิงที่ทรุดลงพยายามที่จะลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แต่ทว่าหลังจากกระแทกกับกำแพง กระดูกในร่างของเขากลับหักไปหลายซี่จนยากที่จะพยุงตัวขึ้นมาได้
ขณะที่หลวนซิงกำลังดิ้นรนจะหลบหนี หยางลั่วก็เดินตรงด้วยฝีเท้าเฉื่อยชาค่อยๆเข้าใกล้ทีละเล็กทีละน้อย มันค่อยๆเอื้อมมือเข้าหาใบหน้าของหลวนซิงเพื่อที่จะฉีกกระชากหน้ากากของเขาออก
"อ๊ากกก!"
แต่เมื่อมือเหี่ยวย่นอยู่ห่างจากใบหน้าหลวนซิงแค่เพียง 30 ซม. กลับมีเสียงกรีดร้องโอดครวญอย่างทุกข์ทรมานดังขึ้นในทิศทางของอาคารหลักใจกลางตระกูลหยาง
หยางลั่วมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในทันทีเมื่อมันหันมองไปยังทิศทางของเสียง สีหน้าของมันในยามนี้ซีดเผือดราวกับไก่ต้มหลังจากตระหนักได้ว่าเสียงนั้นคือเสียงของหยางเหมินบุตรชายของมันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน!
"เสี่ยวเหมิน!"
หยางลั่วไม่เสียเวลารีรอแต่อย่างใด มันกระโดดสูงข้ามผ่านกำแพงด้วยความเร็วดุจสายฟ้าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
บัดนี้มันมิได้สนใจหลวนซิงอีกต่อไป!
เมื่อมันไปถึงอาคารและที่มาของเสียง มันจึงถีบประตูอย่างสุดแรงโดยไม่สนใจสิ่งใด
และในวินาทีต่อมาฉากที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของหยางลั่วส่งผลให้มันกระอักเลือดออกมาอย่างสิ้นหวัง
ภาพที่ปรากฏคือร่างไร้วิญญาณของบุตรชายของมันที่ซึ่งร่างกายทั้งร่างซูบผอมและแห้งเหี่ยวราวกับว่าไม่มีน้ำและเลือดไหลเวียนอยู่ภายในร่าง มันนอนหงายด้วยแววตาที่หวาดกลัวสุดขีด
และสภาพของหยางเหมินเหมือนกันกับฉินหมิงหยวนทุกประการ!
"เสี่ยวเหมิน! เสี่ยวเหมิน! ย๊ากกก!"
เสียงคำรามอันโศกเศร้าของมันสั่นสะเทือนภายในอาณาเขตตระกูลหยางได้ปลุกให้ฝูงชนที่อาศัยบริเวณโดยรอบสะดุ้งตื่นโดยมิได้ตั้งใจ
ในขณะเดียวกันนั้นภายในตรอกซอยคับแคบ กลับมีแสงสีทมึนส่องประกายด้วยแสงวาบ ในชั่วพริบตาเผยให้เห็นร่างสีดำในหน้ากากไหมปกปิดรูปลักษณ์ข้ามผ่านกำแพงมาด้วยความเร็วสูงสุดดุจภูติพราย
ร่างหน้ากากไหมสีดำนั้นปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายในอาภรณ์สีม่วงราวกับวิญญาณ กริชสีดำที่มีรัศมีปราณสีแดงส่องประกายกับแสงจันทราปาดคอชายตระกูลหยางอย่างไร้ปราณีจนเลือดสาดกระจาย
ศีรษะของร่างนั้นห้อยโตงเตงก่อนที่มันจะทรุดตัวลงอย่างเฉื่อยชาและดับสูญสิ้นไปโดยมิอาจรับรู้ได้ว่าตกตายไปได้อย่างไร
เหล่าชายชราทั้งสามที่เห็นเหตุการณ์ต่อหน้าต่อตากลับมีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด!
เมื่อเห็นเงาเลือนรางของร่างนั้นปรากฏขึ้นสังหารชายในอาภรณ์สีม่วงในชั่วพริบตาภายในเวลาไม่ถึงสามลมหายใจ หลวนซิงกลับแสดงสีหน้าที่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง "ท่านอาจารย์!"
หลวนซิงจดจำหน้ากากและทักษะการเคลื่อนไหวที่เงียบงันเช่นนี้ได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่างนั้นคือไป๋เฉินที่รีบเร่งเข้ามาช่วยเหลือหลวนซิงให้รอดพ้นจากวิกฤต
ไป๋เฉินเอนคอไปยังชายชราทั้งสาม แสงสีเลือดส่องประกายในแววตาด้วยเจตนาฆ่าอันครอบงำ จนทั้งสามเผลอสะดุดล้มเนื่องจากขาที่อ่อนระโหยโรงแรง
แต่ไป๋เฉินกลับมิได้เข่นฆ่าทั้งสามแต่อย่างใด หากแต่พุ่งตรงไปพร้อมกับดึงร่างของหลวนซิงข้ามผ่านกำแพงก่อนที่จะหลบหนีหายไปประดุจดั่งเงาพราย
เมื่อชายชราทั้งสามตั้งสติได้ พวกมันจึงรีบไล่ตามเส้นทางเคลื่อนไหวของหลวนซิงและร่างหน้ากากสีดำไปอย่างเร่งด่วน
เมื่อสอดส่องสายตาครรลองมองไปรอบๆทั่วทุกสารทิศ แต่กลับกลายเป็นว่าสองร่างนั้นมลายหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง...