"พวกท่านทั้งหลายเชิญนั่งลงก่อน" ไป๋เฉินประสานมือแก่เหล่าผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม จนฉินเยว่ฉานและฉินเหวินเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคน
เหล่าผู้อาวุโสนั่งลงด้วยใบหน้าบึ้งตึง หากมิใช่วาจาอาญาสิทธิ์ของฉินเฉิง พวกเขาคงจะต่อต้านความคิดของฉินเหยียนไปแล้ว
แท้จริงแล้วการยกตำแหน่งให้กับไป๋เฉินเป็นข้อเสนอแนะของฉินเฉิงทั้งปวง เขาเป็นบุคคลที่สังเกตเห็นความผิดปกติจากไป๋เฉินหลังจากที่เขาตื่นมาหลังจากหมดสติไปสามวัน
ก่อนหน้านั้นไป๋เฉินมีบุคลิกราวกับกระบี่แข็งทื่อที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีทางเถียงและยอมจำนนไปเสียทุกอย่าง
แต่หลังจากฟื้นคืนสติกลับมาไป๋เฉินมีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะต่อล้อต่อเถียงกับฉินฟงและกล้าที่จะลงมืออย่างเด็ดเดี่ยวกับหยางเหมิน ฉินเฉิงจึงอยากจะลองทดสอบไป๋เฉินด้วยตัวเอง หากไป๋เฉินไม่รับตำแหน่งผู้นำก็คงไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด หากแต่ไป๋เฉินรับตำแหน่งความสงสัยในตัวของไป๋เฉินก็จะยิ่งสูงขึ้นในสายตาของฉินเฉิง
ไป๋เฉินรับรู้ข้อเท็จจริงข้อนี้เป็นอย่างดี แต่ไม่ว่าอย่างไรหลังจากเสร็จสิ้นสิ่งที่ต้องทำ เขาจะออกจากตระกูลฉินและตัดขาดความสัมพันธ์ บางทีอาจจะถึงขั้นไม่กลับมาเหยียบที่ตระกูลฉินอีกตลอดชีวิต เพราะการล่มสลายของตระกูลไป๋มีผลพวงมาจากความลังเลใจของฉินเหยียนในครานั้น
จนกว่าเข่นฆ่าจนพอใจไป๋เฉินจะยกตำแหน่งให้ฉินเหยียนกลับทันที
บรรยากาศภายในห้องโถงอบอวลไปด้วยความอึดอัด หลังจากนั้นฉินเฉิงจึงเปิดประเด็นในลักษณะขอความเห็น "ท่านผู้นำ ท่านมีความคิดเห็นอย่างอย่างไรต่อสถานการณ์ภายในตระกูลหยางในยามนี้"
เหล่าผู้อาวุโสจ้องมองไปยังไป๋เฉินอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาอยากจะดูว่าไป๋เฉินจะมีน้ำยาในการมองผ่านข้อเท็จจริงอย่างทะลุปรุโปร่งหรือไม่
ไป๋เฉินรู้ดีว่านั่นเป็นคำถามทดสอบเพื่อที่จะให้เขาดำรงตำแหน่งผู้นำได้อย่างเห็นชอบมากขึ้น
หากเขาให้คำตอบที่เฉลียวฉลาด ความไม่พอใจของเหล่าผู้อาวุโสอาจจะลดลง แน่นอนว่าเขาจำต้องตอบไปอย่างที่คิดไว้ "ยามนี้ตระกูลหยางเปรียบเสมือนฝูงแกะท่ามกลางหมาป่าและราวกับต้นไผ่ที่พร้อมจะหักงอได้ทุกเมื่อ แม้นจะแลดูแข็งแกร่งจากภายนอก แต่กองกำลังส่วนใหญ่ของตระกูลหยางไม่เพียงพอต่อการดำรงตำแหน่งตระกูลอันดับสองภายในเมืองเทียนหยุนอีกต่อไป"
"โอ้? แล้วท่านคิดว่าพวกเราตระกูลฉินควรจำดำเนินการและตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้อย่างไรต่อไป?" ฉินเฉิงยิ้มจางๆและยิงคำถามต่อเนื่อง
แต่ไป๋เฉินกลับสามารถตอบได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องกลั่นกรองข้อมูลให้เสียเวลา "ตระกูลฉินจะไม่ลงมือและจะไม่เคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคิ้วของผู้อาวุโสหลายคนเลิกขึ้นอย่างไม่พอใจ แม้แต่ฉินเหยียนเองก็มิได้คาดหวังว่าไป๋เฉินจะนิ่งดูดายเช่นนี้และไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ
แต่ฉินเฉิงดูเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขาจึงกล่าวแทรกคำถามที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม "หากตระกูลฉินไม่ลงมือช่วยเหลือตระกูลหยาง แล้วท่านมีความคิดเห็นและแผนการเพิ่มเติมอย่างไร?"
ไป๋เฉินยิ้มเบาๆ "ตระกูลฉินจะไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น และทำได้เพียงรอดูจนกว่าตระกูลหยางจะตกต่ำจนถึงที่สุด ข้าเชื่อว่าในขณะนี้มีกองกำลังมากมายที่กำลังหมายตาตระกูลหยางอยู่ และตระกูลหยางจะไม่มีวันออกจากอาณาเขตของพวกมันไปในช่วงเวลานี้ เพราะเพิ่งจะสูญเสียกองกำลังไปกว่า 7 ใน 10 ส่วน สิ่งเดียวที่มันต้องทำคือต้องอยู่ให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้"
"โอ้? เหตุใดท่านจึงคิดเห็นเช่นนั้น?" โดยไม่รอนานฉินเฉิงกล่าวขอรายละเอียดเพิ่มเติม
ไป๋เฉินผายมืออย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะกล่าวอธิบาย "มีหลากหลายตระกูลในเมืองเทียนหยุนที่จงเกลียดจงชังและมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับตระกูลหยางเกี่ยวกับธุรกิจที่มันทำอยู่ และด้วยอำนาจความแข็งแกร่งที่มีก่อนหน้านี้จึงไม่มีตระกูลใดกล้าที่จะไม่เห็นด้วย"
"แต่ทว่ายามนี้แตกต่างกัน ตระกูลหยางประสบหายนะอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากนี้พวกมันไม่มีวันจะเชิดหน้าชูตาขึ้นมาได้อีกต่อไป"
"ดังนั้นตระกูลฉินจะไม่ลงมือและปล่อยให้ตระกูลที่เกลียดชังตระกูลหยางทำตามที่พอใจ มีเพียงผลลัพธ์เดียวเท่านั้นที่รอตระกูลหยางอยู่คือการล่มสลาย... จะช้าหรือเร็วแต่มันก็จะเกิดขึ้นสักวัน" ไป๋เฉินจิบชาอย่างเรียบง่าย
ความดูถูกและความเหยียดหยามในสายตาของเหล่าผู้อาวุโสมลายหายไปดุจหมอกควัน กลับกลายเป็นความตระหนักรู้และคิดตามกันทุกผู้คน
แม้วิธีการนี้จะแลดูโหดร้าย แต่นั่นคือสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง
"แล้วตระกูลฉินจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือแม้แต่น้อยงั้นหรือ? ตระกูลหยางก็เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเมืองเทียนหยุนเช่นกัน หากพวกเราช่วยเหลือตระกูลหยาง หยางลั่วจะซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเราเป็นแน่" ผู้อาวุโสลำดับที่เจ็ดฉินซื่อกล่าวอย่างใส่อารมณ์
แต่ไป๋เฉินชำเลืองมองฉินซื่ออย่างดูถูก "คนโง่ก็ยังเป็นคนโง่อยู่วันยังค่ำ"
"ไป๋เฉิน! เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!" ฉินซื่อลุกขึ้นพรวดกัดฟันด้วยนัยน์ตาเกรี้ยวกราด รังสีจิตสังหารแผ่ซ่านออกมาอย่างรุนแรง
มันไม่คาดคิดว่าไป๋เฉินจะกล้าก่นด่ามันต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโส แม้แต่ฉินเยว่ฉานเองก็ยังรู้สึกสับสนว่าเหตุใดไป๋เฉินจึงได้ใช้คำเช่นนั้น
แต่ฉินเฉิงหันสายตามองอย่างเย็นชา "นั่งลง! เจ้าจะแสดงกิริยาเช่นนั้นต่อหน้าท่านผู้นำได้อย่างไร!?"
"แต่ผู้อาวุโสสูงสุด มันเป็นเพียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำน-" ไม่ทันที่มันจะกล่าวจบ ร่างของมันกลับมีแรงกดดันหนักหน่วงราวกับภูเขาลูกใหญ่กดทับ จนฉินซื่อทนไม่ไหวจนต้องกระอักเลือดออกมาอย่างหนัก
ฉินเฉิงดึงรัศมีแรงกดดันกลับคืนก่อนจะผายมือแก่ไป๋เฉิน "ท่านผู้นำ ได้โปรดอธิบายต่อไป"
ไป๋เฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะยิ้มอย่างเย็นชา "เช่นนั้นให้ข้าถามพวกท่าน พวกท่านมีหลักประกันอันใดว่าหยางลั่วจะซาบซึ้งในความช่วยเหลือของตระกูลฉิน? ตลอดเวลาที่ผ่านมาตระกูลฉินและตระกูลหยางต่างก็ไม่กินเส้นกัน เมื่อคิดในมุมกลับกันหากพวกเราประสบพบเจอกับสถานการณ์แบบเดียวกัน ตระกูลหยางจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือตระกูลฉินหรือไม่?"
ประโยคของไป๋เฉินราวกับค้อนปอนตอกเข้าที่ศีรษะผู้อาวุโสอย่างรุนแรง นัยน์ตาใครหลายๆคนฉายแสงแห่งความรู้แจ้ง
นี่คือโลกของผู้แข็งแกร่ง การที่พวกเราช่วยเหลือพวกมันในยามยาก มิได้หมายความว่าพวกมันจะกลับมาช่วยเหลือพวกเราในยามยากเช่นกัน
แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น เพราะทั้งสองไม่เคยนับว่าเป็นพันธมิตรต่อกัน!
ตระกูลหยางไม่เคยให้ความช่วยเหลือตระกูลฉิน แล้วตระกูลฉินมีเหตุผลอันใดในการให้ความข่วยเหลือตระกูลหยางเล่า?
ผู้อาวุโสหลายๆท่านก็เริ่มจะคิดเห็นไปในทางเดียวกันกับไป๋เฉิน แม้แต่ฉินเฉิงเองก็ผงกศีรษะเห็นด้วย
"แต่หากเมืองเทียนหยุนต้องสูญเสียกองกำลังของตระกูลหยางไป ความแข็งแกร่งโดยรวมของเมืองเทียนหยุนจะตกต่ำเสียยิ่งกว่าเมืองเทียนเฟิง เมืองเทียนเตี้ยนและเมืองเทียนเหล่ย เจ้าจะปล่อยให้เมืองเทียนหยุนตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้นงั้นหรือ?" ฉินซื่อเช็ดโลหิตมุมปากแต่ยังไม่ยอมแพ้
ไป๋เฉินแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก "หากพวกท่านเป็นกังวลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งโดยรวมของเมืองเทียนหยุนจริงๆ... เช่นนั้นข้าขอถามกลับ ในยามนั้นตระกูลไป๋เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดและคอยค้ำจุนเมืองเทียนหยุนไว้ แล้วไฉนจึงไม่มีผู้ใดคิดช่วยเหลือตระกูลไป๋ในยามนั้นบ้าง?"
ไป๋เฉินกวาดสายตาไปรอบด้วยแสงโลหิตที่แผ่ซ่านกลิ่นอายน่าสะพรึง "ความสำคัญของตระกูลหยางเทียบไม่ได้แม้แต่ฝุ่นของบิดาข้า ในเมื่อพวกท่านกังวลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งโดยรวมของเมืองเทียนหยุนอย่างแท้จริง เหตุใดไม่ไปช่วยเหลือบิดาของข้าในยามเกิดสงครามเล่า!? ผู้ใดมีคำตอบให้ข้าบ้างหรือไม่?"
ผู้อาวุโสลำดับที่เจ็ดฉินซื่อหน้าถอดสี เหล่าผู้อาวุโสแสดงอากัปกิริยาไปในทางเดียวกันคือการก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดจนไม่กล้าสบตา
ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจาแม้นครึ่งคำ แม้แต่ฉินเฉิงและฉินเหยียนก็ก้มหน้าลงเฉกเช่นคนอื่นๆ เว้นแต่ฉินฟงเท่านั้นที่แสดงออกทางสายตาราวกับว่าจะกลืนกินไป๋เฉินทั้งเป็น
'ไม่ได้การ! ไป๋เฉินในขณะนี้ได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูล ซ้ำแล้วมันยังสามารถโน้มน้าวความคิดของเหล่าผู้อาวุโสให้ไปในทิศทางเดียวกันได้'
'จะปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้! ตอนนี้อำนาจของไป๋เฉินยังคงน้อยนิดก็จริง แต่หากรอช้ามากกว่านี้เหล่าผู้อาวุโสจะค่อยๆยอมรับในตัวของมันแม้นว่ามันจะไม่มีรากปราณก็ตาม"
'มันต้องตาย! ข้าจะไม่ปล่อยให้มันได้ครอบงำอำนาจของตระกูลฉินไปมากกว่านี้!'
ไป๋เฉินพักหายใจครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ "ในเมื่อไม่มีผู้ใดตอบคำถามข้าได้ เช่นนั้นข้าขอกล่าวต่อ"
"พวกท่านมองเห็นความเป็นจริงหรือไม่ว่าตระกูลไป๋ที่คอยช่วยเหลือประคับประคองตระกูลฉินมาจนถึงบัดนี้ต้องมีจุดจบอย่างไร?"
"...มันคือการล่มสลาย"
"ด้วยคำพูดและการตัดสินใจของคนๆเดียวทำให้ตระกูลไป๋ที่เปรียบดั่งพระเจ้าที่ปกป้องเมืองเทียนหยุนและเป็นกองกำลังสำคัญต้องถูกทำลายล้างไป..."
"หากในขณะนั้นตระกูลฉินเข้าร่วมกองกำลังกับตระกูลไป๋จะเกิดสิ่งใดขึ้น? ข้าเชื่อว่าเมืองเทียนหยุนจะชนะสงครามอย่างเต็มรูปแบบแม้นจะเผชิญหน้ากับทั้งสามเมืองก็ตาม และเมื่อนั้นทั้งสองตระกูลจะคอยเกื้อหนุนกันและกันจนกลับกลายเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดภายในทวีปเทียนหลาง!"
"แต่บัดนี้กองกำลังเมืองเทียนหยุนที่เคยเป็นอันดับหนึ่งที่สูงกว่าเมืองทั้งสี่ กลับตกมาอยู่ที่อันดับรั้งท้ายหลังจากสูญเสียตระกูลไป๋ไป"
"...เพราะฉะนั้นอย่าเอาข้ออ้างว่าเห็นแก่เมืองเทียนหยุนในการช่วยเหลือตระกูลหยางเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของเมืองเทียนหยุนไว้ เพราะตระกูลหยางในขณะนี้มิได้มีค่าถึงเพียงนั้น! แต่ถึงจะมีค่า ตระกูลฉินจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆจากการช่วยเหลือตระกูลหยางเช่นกัน" สีหน้าของไป๋เฉินแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาด ในขณะเดียวกันก็วางถ้วยชาลงด้วยแววตาสงบ