เวลาเที่ยงวันแสงสุริยันสาดส่องบรรยากาศอบอ้าว ตระกูลฉินที่เงียบสงบ ขณะที่ฉินเฉิงได้เดินทางออกจากตระกูลฉินไป สถานการณ์ภายในตระกูลยังคงระส่ำระส่าย
ฉินเหยียนที่มีสีหน้าซีดขาวราวกับกำลังจะตายจากการกระอักเลือด จนต้องเตรียมผ้าขาวไว้ข้างกายตลอดเวลา
"ท่านพ่อ!" ฉินเยว่ฉานรีบคว้าตัวไว้อย่างตื่นตระหนก นางพยายามประคับประคองร่างไว้ด้วยสีหน้ากังวล
ภายในห้องนี้มีเพียงแค่ฉินเหยียนและฉินเยว่ฉานเท่านั้น ส่วนเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน
"ข้าไม่เป็นไร" ฉินเหยียนโบกมือพลันเช็ดโลหิตด้วยผ้าสีขาว ก่อนจะทอดสายตาไปรอบๆ "ไป๋เฉินอยู่ที่ใดกัน?"
"ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ตื่น" ฉินเยว่ฉานยิ้มเล็กยิ้มน้อยตั้งแต่เมื่อวานที่มีการบ่งบอกว่าไป๋เฉินจะกลับมาฝึกฝนได้อีกครั้ง อารมณ์ของนางก็แจ่มใสเสียยิ่งกว่าทุกวัน
ทันใดนั้นกลับมีเสียงต่อเนื่องสั่นสะเทือนทั่วทั้งเส้นทางสัญจร!
กรับ!
กรับ!
กรับ!
กรับ!
กรับ!
หากจะลองฟังดูแล้ว นั่นคือเสียงของฝีเท้าม้ากว่า 50 ตัวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ซ้ำแล้วทิศทางของเสียงมาจากอาณาเขตตระกูลที่วนเวียนทั้งแปดทิศอย่างเร่งด่วน
ฉินเหยียนตอบสนองอย่างเร็วรี่ครั้นตระหนักได้ถึงบรรยากาศอึมครึมผิดปกติ เขาพยายามที่จะออกไปดู
แต่ทันใดนั้นกลับบังเกิดเสียง "โคร้ม!" ประตูห้องโถงถูกทำลายอย่างรุนแรง ร่างชายชราสองคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกกระเด็นไถลกระอักเลือดพร้อมกับประตูไม้ที่พังกระจุยกระจาย
"นั่นใคร!?" ฉินเหยียนจ้องมองไปยังประตูพลางเดินขึ้นมาปิดกั้นร่างของฉินเยว่ฉานไว้
ฝุ่นควันจางๆเริ่มเลือนหายเผยให้เห็นร่างสีม่วงที่มีรอยยิ้มแสยะค่อยๆย่างก้าวเข้าไปในระยะของฉินเหยียนที่นั่งอยู่ไม่ไกล
ร่างนั้นมองไปยังฉินเหยียนพลันอุทานอย่างประหลาดใจ "ฉินเหยียน ดูเหมือนอาการเจ็บป่วยของเจ้าจะเป็นของจริง"
ฉินเหยียนกำลังสับสนกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ เขาตะคอกใส่ด้วยสีหน้าเดือดดาล "หยางลั่ว! เจ้ากล้าบุกรุกตระกูลฉินของข้างั้นรึ!"
หยางลั่วยืนกอดอกปิดกั้นทางออกไว้ด้วยรอยยิ้มที่เรียบเฉยราวกับกำลังรอใครบางคน
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าช่างโง่เขลาเสียจริง"
ทันใดนั้นด้านหลังร่างสีม่วงของหยางลั่วกลับมีชายชราที่แสดงสีหน้าเยาะเย้ยค่อยๆก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ ร่างนั้นสวมอาภรณ์สีฟ้าและมองไปยังใบหน้าฉินเหยียนด้วยความเคียดแค้น
ฉินเหยียนเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ "ฉินฟง! เจ้ากำลังทำอะไรอยู่!?"
ฉินเหยียนไม่คาดคิดเลยว่าฉินฟงจะชักศึกเข้าบ้าน นำหยางลั่วมาบุกรุกตระกูลฉินในยามระส่ำระส่ายเช่นนี้
ฉินฟงค่อยๆเดินเข้าไปเทียบเคียงหยางลั่ว มันพลันเปล่งเสียงหัวเราะร่าอย่างยินดีดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณ "เจ้ายังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองอีกหรือ? ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตระกูลฉินจะตกอยู่ในการครอบงำของข้า! และข้าจะนำพาตระกูลฉินไปยังจุดสูงสุดที่ไม่เคยมีมาก่อน ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!"
ฉินฟงสะบัดข้อมือแห้งกรำพลันดึงกระบี่ยาวออกมาจากข้างกาย พลังปราณบังเกิดกระแสวายุขนาดย่อมที่เขายืนอยู่
ฉินเหยียนขมวดคิ้วอย่างหนักหน่วง บัดนี้เขารู้แล้วว่าฉินฟงกำลังจะก่อกบฏ มิเช่นนั้นมันคงไม่นำหยางลั่วเข้าสู่ตระกูลฉินเช่นนี้เป็นแน่
แต่สิ่งที่เขาประหลาดใจ ทั้งสองสามารถผ่านกลุ่มของผู้อาวุโสมากมายเข้ามาได้อย่างไร
ฉินฟงมองไปรอบๆหมายจะมองหาโอกาสหลบหนี เนื่องจากฉินเยว่ฉานยังอยู่ที่นี่ หากเขาต้องการเผชิญหน้ากับทั้งสองในเวลาเช่นนี้คงจะเป็นเรื่องยากที่จะต่อสู้ได้อย่างอิสระ
แต่หยางลั่วรีบพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าฉินเหยียนกำลังหาช่องว่างในการหลบหนี "ฉินเหยียน ยอมแพ้เสียเถอะ ขณะนี้กองกำลังกว่าหลายร้อยนายได้ล้อมรอบตระกูลฉินไว้เป็นที่เรียบร้อย ขณะนี้ไม่มีหนทางให้เจ้าหลบหนีอีกต่อไป"
ฉินเหยียนที่ได้ยินพลันหน้าถอดสี เขากัดฟันกรอดตะเบ็งเสียงกร้าว "หยางลั่ว! เรื่องนี้เกี่ยวกับตระกูลของข้า! ตระกูลหยางเช่นเจ้ามาเกี่ยวข้องอะไรด้วย"
หยางลั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ยสุดขีด "ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ผู้ที่ร่วมมือในการสังหารและส่งข่าวตระกูลไป๋ให้แก่เมืองเทียนเฟิงคือข้าผู้นี้ ทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋และตระกูลฉินล้วนแล้วมาจากข้าและฉินฟงเท่านั้น!"
"แต่น่าเสียดายที่ไป๋หนานเทียนยอมทนรับภัยพิบัติแทนตระกูลฉินของเจ้าไปเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนไม่มีผู้ใดในตระกูลฉินของเจ้าเสียชีวิตแม้แต่ผู้เดียว นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการและยังไม่ประสบความสำเร็จจนถึงบัดนี้... ถึงเวลาแล้วที่ตระกูลฉินจะเปลี่ยนผู้นำ"
"เจ้าเองก็ด้วยงั้นรึ!" ฉินเหยียนกัดฟันด้วยเจตนาฆ่าส่องประกายในรูม่านตา
หยางลั่วยิ้มเล็กยิ้มน้อย "ฉินเหยียน เจ้าควรจะขอบคุณข้าเสียมากกว่าที่ช่วยกำจัดไป๋หนานเทียนให้พ้นไป จนตระกูลฉินของเจ้าได้เจริญรุ่งเรืองและมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้ หากตระกูลไป๋ยังคงอยู่ เจ้าคงเป็นได้เพียงคนรับใช้และตัวสำรองของตระกูลไป๋เท่านั้น คนอย่างเจ้าไม่มีวันที่จะครองอำนาจได้นาน! ปล่อยเมืองเทียนหยุนให้ข้าและฉินฟงรับช่วงต่อเสียดีกว่า"
ในขณะเดียวกันฉินฟงพลันกล่าวแทรกขึ้นพลางพยักหน้า "แม้นว่าข้าจะเป็นคนบอกตำแหน่งของไป๋หนานเทียนให้กองกำลังทั้งสามรับรู้ก็จริง แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างล้วนเกิดจากการตัดสินใจของเจ้าในขณะนั้น"
"แทนที่เจ้าจะเข้าไปช่วยเหลือไป๋หนานเทียนตามมติของผู้อาวุโสเกือบสิบคน แต่เจ้ากลับเลือกที่จะเชื่อข้าและฉินซื่อเพียงสองคนทั้งๆที่ผู้อาวุโสอื่นๆต่างก็ต้องการให้เจ้าไปช่วยเหลือเสียอย่างนั้น... ดูเหมือนเจ้าคงจะมีความคิดเช่นนั้นอยู่ในหัวแล้วเช่นกัน" ฉินฟงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเย้ยหยัน
"เจ้า! อย่ามาพูดจาไร้สาระ!" นัยน์ตาของฉินเหยียนแดงก่ำจากความเกรี้ยวกราด แต่รูม่านตาของเขาฉายแสงแห่งความรู้สึกผิด
การแสดงออกสีหน้าของฉินเยว่ฉานกลายเป็นมึนงง นางครรลองมองไปยังใบหน้าบิดาที่มีความผิดปกติ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เชื่อ "ท่านพ่อ... นั่นเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?"
หากการล่มสลายของตระกูลไป๋มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในบิดาของนาง ฉินเยว่ฉานคงจะเจ็บปวดใจและไม่มีใบหน้าที่จะไปเจอะเจอกับไป๋เฉินอีกต่อไป
แผนการและการส่งข้อความของฉินฟงไปยังเมืองเทียนเฟิงก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ปัจจัยสำคัญในเหตุการณ์นั้นคือการตัดสินใจขั้นเด็ดขาดของฉินเหยียนที่เชื่อตามมติของฉินฟงและฉินซื่อที่มีเพียงสองเสียงเท่านั้น
นั่นหมายความว่าฉินเหยียนเองก็มีส่วนรู้เห็นเป็นใจอย่างยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวพันกับการล่มสลายของตระกูลไป๋!
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุใดฉินเหยียนจึงตัดสินใจเช่นนั้น...
ฉินเหยียนกลับตัวสั่นแสดงสีหน้าหวาดกลัว เหงื่อเย็นๆค่อยไหลพรากลงมาอย่างอึดอัดใจ
ดวงตาของฉินเยว่ฉานเปียกชื้นเมื่อเห็นการตอบสนอง นางไม่คาดคิดเลยว่าบิดาของนางเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ด้วย
เมื่อสบโอกาสหยางลั่วหัวร่อดังลั่นอย่างสนุกสนาน "ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ในฐานะสหายคนสำคัญของไป๋หนานเทียนแล้ว เจ้าไม่ต่างจากงูพิษอย่างแท้จริง"
ฉินเหยียนกัดฟันกรอด ปราณสีขาวปะทุจากตันเถียนวนเวียนเป็นกระแสพลังงานแห่งความยิ่งใหญ่
แต่จู่ๆฉินเหยียนกลับกระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง ปราณในตันเถียนเกิดการไหลเวียนที่ผิดปกติจนแม้แต่เขาก็มิอาจคงสมดุลไว้ได้
"โอ้? ไม่คาดคิดว่าการบำเพ็ญของเจ้าจะลดหลั่งเหลือเพียงแค่ขั้น 5 แล้ว" ฉินฟงพึมในขณะสีหน้าฉายแววโล่งอก
มันเป็นผู้บำเพ็ญปราณลึกลับขั้น 4 และหยางลั่วก็เป็นผู้บำเพ็ญปราณลึกลับขั้น 5 หากมันทั้งสองร่วมมือกัน การกำจัดฉินเหยียนจะมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ยิ่งเห็นว่าฉินเหยียนอ่อนแอถึงเพียงนี้ด้วยแล้ว ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมใดพวกเขาจะเป็นฝ่ายกุมชัยในท้ายที่สุด
ฉินเหยียนตัดสินใจรวบรวมปราณด้วยการตะโกนก้องกังวานไปทั่วอาณาบริเวณ "ผู้อาวุโสทั้งหมด! มารวมตัวกัน!"
ทว่าแม้นจะผ่านไปนานเกือบสิบลมหายใจ กลับไม่มีเสียงของการตอบสนองใดๆตามมาราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในอาณาบริเวณใกล้เคียง
หยางลั่วและฉินฟงมองหน้ากันสามารถมองเห็นสายตาที่เย้ยหยันได้อย่างเด่นชัด "ฉินเหยียนเอ่ย ป่านนี้เหล่าผู้อาวุโสได้ถูกคุมตัวไว้แล้ว และในที่แห่งนี้มีเพียงเจ้าและข้าและนังหนูเยว่ฉานเท่านั้น!"
ฉินเยว่ฉานมองไปยังใบหน้าของฉินฟงสีหน้าซีดขาว "ไป๋เฉินอยู่ที่ใดกัน?"
สีหน้าของหยางลั่วแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง "หึ! เจ้าไป๋เฉินโชคดีจริงๆ ป่านนี้มันคงจะหลบหนีไปไกลแล้ว!" แม้นมันจะกล่าวเช่นนั้นแต่มันก็ไม่รู้ว่าไป๋เฉินหายไปจากตระกูลฉินได้อย่างไร
ฉินเยว่ฉานที่ได้ยินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ทันใดนั้นแววตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว แสงสีขาวกระพริบปรากฏกระบี่หยกบนข้อมือที่เพรียวบางในท่วงท่าตั้งท่าสำหรับการต่อสู้
มีเพียงตัวของไป๋เฉินเท่านั้นที่นางห่วงใย ในเมื่อไป๋เฉินไม่ได้อยู่ในตระกูลฉิน นางไม่จำเป็นต้องพะว้าพะวงอีกต่อไป
รัศมีปราณสีฟ้าแผ่ซ่านจากร่างเพรียวบางของฉินเยว่ฉานอย่างรุนแรง รังสีแห่งความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังแรงแค้นอย่างสุดซึ้ง "เป็นเพราะพวกเจ้า...ไป๋เฉินจึงต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!"
"เพราะฉะนั้น... ตาย!!!"