บทที่9 ราตรีลึก ณ เหมยเหว่ย เงาอำนาจและหมากในกระดาน

ท่ามกลางเมืองเฉินอันคึกคัก มีร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านเก่าแก่ของเมือง แม้ขนาดของมันจะมิได้ใหญ่โตโอฬาร ทว่ากลับแฝงไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า "美味" (Měiwèi, ของกินเลิศรส) ซึ่งนับเป็นร้านอาหารที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับสูงสุดในเมืองเฉิน

เมื่อย่างกรายเข้ามาเบื้องหน้าร้าน ผู้อาจหาญทั้งหลายย่อมต้องหยุดสายตาลงยังป้ายไม้เก่าแก่ที่แขวนอยู่เหนือประตู ป้ายไม้แผ่นนี้ถูกสลักด้วยลายมือวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงชื่อร้านที่สืบทอดมาแต่โบราณ ด้านข้างของร้าน อักษรสลักบนผนังทั้งสองฝั่งยิ่งเสริมความหนักแน่นให้แก่สถานที่แห่งนี้ ทางขวาคือคำว่า "张进鸿" (เตียจิงฮ้ง, เจริญก้าวหน้าเกริกก้องเกรียงไกร) และทางซ้ายคือ "荣耀" (Róngyào, มีเกียรติอันประเสริฐรุ่งโรจน์)

หากบุคคลทั่วไปได้พบเห็น คงเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำอวยพรเพื่อเสริมสิริมงคล ทว่าผู้ที่ล่วงรู้เบื้องลึกแห่งร้านเหมยเหว่ยย่อมตระหนักดีว่า นี่มิใช่เพียงถ้อยคำมงคล หากแต่เป็นปณิธานอันหนักแน่นของสถานที่แห่งนี้

อักษรด้านขวาถูกจารึกขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนที่แวะเวียนมารับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉพาะบรรดาวีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลาย ซึ่งครั้งหนึ่งอาจเคยเป็นเพียงสามัญชนที่ได้รับอาหารและที่พักพิงจากร้านนี้ กระทั่งสามารถยืนหยัดฝ่าฟันอุปสรรคจนได้กลายเป็นผู้กอบกู้บ้านเมืองและปวงประชา

ส่วนอักษรด้านซ้าย ที่หมายถึง 'เกียรติอันประเสริฐ' ก็คือสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจที่ร้านเหมยเหว่ยมีต่อการอุทิศตน นับแต่อดีตกาล ร้านแห่งนี้มิใช่เพียงแค่สถานที่เลี้ยงดูผู้คน แต่ยังเป็นแหล่งสนับสนุนเสบียงให้แก่เหล่าผู้กล้าและกองทัพที่เคยออกศึกเพื่อปกป้องเมืองเฉิน บ่อยครั้งที่ข้าวปลาอาหารจากร้านนี้ได้เป็นแรงขับเคลื่อนให้แก่กองทัพจนสามารถนำพาชัยชนะกลับมา

ด้วยเหตุนี้เอง ร้านเหมยเหว่ยจึงมิใช่เพียงแค่ร้านอาหาร แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศและความเสียสละ เป็นสถานที่ที่ได้รับการยกย่องจากเหล่าผู้กล้าและประชาชนทุกผู้ทุกนาม ผู้ที่ก้าวเข้ามาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือยอดฝีมือ ล้วนได้รับการต้อนรับด้วยอาหารรสเลิศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ และเป็นพยานให้แก่เรื่องราวแห่งคุณธรรมและวีรกรรมที่ดำรงอยู่คู่เมืองเฉินมาเนิ่นนาน

ใต้หลังคาไม้เก่าแก่และโคมไฟส่องสว่าง รสชาติอันเลิศล้ำของเหมยเหว่ยยังคงฝากร่องรอยไว้ในใจของผู้คนตราบจนทุกวันนี้

ดวงจันทราเจิดจรัสเหนือผืนฟ้ายามราตรี สาดแสงนวลอาบไล้ทั่วเมืองเฉิน ความมืดเริ่มแผ่ปกคลุม ซุกซ่อนทุกสิ่งไว้ใต้เงาราตรี ทว่าที่หน้าร้านเหมยเหว่ย โคมไฟกระดาษสีขาวถูกจุดขึ้น แสงอ่อนโยนส่องสว่าง พลิ้วไหวยามต้องสายลมยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศอบอุ่นให้แก่ผู้ที่สัญจรผ่านมา

ร้านเหมยเหว่ยเป็นอาคารสามชั้น แต่ละชั้นมีความสำคัญแตกต่างกัน ชั้นแรกคือสถานที่รับรองแขกทั่วไป บรรยากาศคึกคักอบอวลไปด้วยกลิ่นอาหารรสเลิศและเสียงพูดคุยของเหล่าผู้มาเยือน ชั้นที่สองสงบเงียบกว่ามาก เป็นห้องรับรองพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ผู้ที่ขึ้นมาถึงที่นี่ได้ล้วนเป็นผู้มีฐานะและมีความสำคัญไม่น้อย ส่วนชั้นที่สาม... สถานที่อันสูงส่งซึ่งเปิดรับเพียงผู้มีเกียรติเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสจากตระกูลใหญ่ ปรมาจารย์แห่งยุทธภพ หรือบุคคลที่มีบุญคุณต่อร้านและเมืองเฉิน ล้วนต้องมีคุณสมบัติเพียบพร้อมจึงจะได้ก้าวเข้าสู่สถานที่อันทรงเกียรตินี้ นานนักกว่าจะมีใครสักคนได้รับเกียรตินั้น

แต่ค่ำคืนนี้... บนชั้นสามแห่งเหมยเหว่ย หนึ่งในห้องอันโอ่อ่าได้ถูกจุดโคม แสงสว่างนวลกระทบผนังไม้ขัดมันและเพดานสลักลวดลายโบราณ บ่งบอกว่ามีแขกคนสำคัญพำนักอยู่

ภายในห้อง บรรยากาศสงบลึกล้ำ การตกแต่งเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยรสนิยม บ่งบอกถึงกาลเวลาที่ร้านนี้ผ่านพ้นมา โต๊ะไม้เนื้อดีตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง มีเก้าอี้สองตัวจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เบื้องหน้าของโต๊ะ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งนิ่งเงียบ คิ้วดกหนา ดวงตาปิดสนิท ราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดลึกซึ้ง โหนกจมูกเด่นชัดทำให้ใบหน้าของเขาดูทรงอำนาจ ในอิริยาบถสงบเคร่งขรึมของเขา กลับแฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่ไม่อาจประเมินได้

ข้างกายของเขา ชายชราผมขาวโพลนยืนอยู่เงียบๆ แม้เรือนกายจะดูชราภาพ แต่ดวงตานั้นกลับล้ำลึกดุจมหาสมุทร องค์ประกอบของเขาให้ความรู้สึกถึงคนที่ผ่านโลกมามากมาย มือข้างหนึ่งถือกาน้ำชาเคลือบเงา รินน้ำชาอุ่นกรุ่นลงถ้วยกระเบื้องเนื้อดีโดยปราศจากเสียงแม้เพียงนิดเดียว ทุกการเคลื่อนไหวของเขาสง่างาม แม้แต่สายลมที่ลอดผ่านหน้าต่าง ยังมิอาจรบกวนบรรยากาศเคร่งขรึมภายในห้องนี้ได้

ชายหนุ่มผู้มีคิ้วหนาผู้นั้นเอื้อมมือไปจับมือชายชราผู้ถือกาน้ำชาไว้ ก่อนที่จะกล่าวเสียงอ่อนโยน "ท่านลุงหลี่ ท่านอย่าได้ลำบากเช่นนี้เลย ให้ข้าทำเองเถิด" เสียงของเขาฉายแววห่วงใยและความเคารพต่อบุคคลที่เคยช่วยเหลือเขามาตั้งแต่เยาว์วัย

ชายชราผู้มีผมขาวโพลนและร่างกายที่อิดโรยคล้ายผู้ที่ฝ่าฟันมามากมายกว่าครึ่งชีวิต ก้มลงต่ำ ก่อนที่จะตอบด้วยเสียงที่นุ่มนวลและเต็มไปด้วยความนอบน้อม "นายน้อย...ให้บ่าวทำเถิด ท่านไม่ให้สาวใช้เข้ามาในห้องนี้ หน้าที่นี้จึงตกเป็นของบ่าว ข้าทำได้เพียงนี้เท่านั้น" เขายังคงแสดงความเคารพและความภักดีต่อนายน้อยผู้เป็นที่รักและเคารพในตัวเขา

ชายหนุ่มคิ้วหนากล่าวตอบโดยไม่อาจยับยั้งความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจ "ท่านช่วยเหลือข้ามามากมายตั้งแต่ข้ายังเยาว์วัย ตอนนี้ท่านอายุเยอะแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องลำบากมาคุ้มกันข้าแล้ว ท่านควรพักผ่อนกายาอยู่ที่บ้านย่อมดีกว่า"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชรากลับรู้สึกเศร้าหมองในใจ สายตาของเขามองไปยังชายหนุ่มด้วยความอ่อนล้าและน้อยใจ "หรือว่าข้าแก่แล้ว ร่างกายชรามากแล้ว นายน้อยจึงไม่ต้องการข้าแล้ว?" เสียงที่ถามออกมาหม่นหมองเหมือนน้ำฝนที่ตกลงในบ่อน้ำลึก

ชายหนุ่มคิ้วหนารับคำด้วยความรีบร้อน "มิใช่ๆ ไยท่านถึงได้คิดเหลวไหลเช่นนี้? ท่านดูสิ...เวลาผ่านมานานแค่ไหน ความผูกพันของเรามากมายมหาศาล ข้าย่อมไม่ไล่ท่านไปอย่างแน่นอน เพียงแต่ข้าเป็นห่วงถึงสุขภาพของท่าน...ไม่อยากให้ท่านมาลำบาก..." เขาหยุดพูด แล้วถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ "เฮ้อ...เอาเถิด หากท่านต้องการติดตามข้าต่อไป ข้าอนุญาต...เพียงแต่ท่านต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดีนะ" น้ำเสียงของเขาหม่นเศร้าแต่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใย

ชายชราผู้มีดวงตาล้ำลึกที่เต็มไปด้วยประสบการณ์และความภาคภูมิใจ คล้ายว่ามีชีวิตใหม่ได้ถูกเติมเต็มเมื่อได้ยินคำพูดจากนายน้อย เขายิ้มอย่างดีใจ ก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความซาบซึ้ง "ขอบคุณนายน้อยขอรับๆ ที่ยังเห็นค่าในตาแก่คนนี้" เขาประสานมือและก้มตัวลงต่ำ

ชายหนุ่มคิ้วหนารีบยกมือขึ้นรับและดันตัวชายชราด้วยความอ่อนโยน ไม่ให้เขาก้มลงมากไปกว่าเดิม "เข้าใจแล้วๆ ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้อีกเลย ลุงหลี่..." น้ำเสียงของเขานุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยความมั่นคงและความเคารพอย่างลึกซึ้ง

บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบ เสียงลมหายใจของทั้งสองคนดังสอดประสานกับแสงไฟนวลที่ส่องลงบนผนังไม้เก่าแก่ ช่วงเวลาอันล้ำค่าของความผูกพันระหว่างนายและบ่าวกำลังบรรจบกันที่นี่ในค่ำคืนแห่งความเงียบสงบนี้

ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ

ก็อก ๆ !

"นายท่าน มีผู้มาเยือนขอรับ" เสียงรายงานดังขึ้นจากหน้าประตู

ชายคิ้วหนาและชายชราใบหน้าตอบลึกต่างปรับสีหน้าให้สงบนิ่ง ราวกับไม่เคยมีเรื่องราวใดเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พวกเขากลับสู่ท่วงท่าเดิมอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับนักแสดงผู้ชำนาญที่พร้อมขึ้นเวทีอีกครั้ง

"ให้เข้ามาได้" ใต้เท้าเฉินกล่าว น้ำเสียงของเขาทรงอำนาจและเยือกเย็น

แกร๊ก!

บานประตูไม้ถูกเปิดออกกว้าง ชายวัยกลางคนร่างอ้วนท้วม ศีรษะโล้นเป็นมันวาว ก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าลุกลี้ลุกลน แววตาสาดประกายยินดีอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสายตาของเขาปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใต้เท้าเฉินที่นั่งอยู่บนอาสน์หลัก ความยินดีของเขาก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น เขารีบยกมือขึ้นประสานคารวะด้วยสีหน้าจริงจัง

"คารวะใต้เท้าเฉิน!"

ใต้เท้าเฉินพยักหน้ารับอย่างสงบนิ่ง "เชิญนั่งเถิด"

ชายศีรษะโล้นรีบลากเก้าอี้เข้ามานั่งอย่างนอบน้อม ท่าทางของเขาประหนึ่งสุนัขรับใช้ที่ภักดีต่อเจ้านายสูงสุดของตน

"ข้าต้องขอบคุณท่านยิ่งนัก หากไม่มีท่าน พวกข้าคงตกอยู่ในความมืดมน หาหนทางมิพบ" ใต้เท้าเฉินเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ

"มิกล้า มิกล้า! ข้าพเจ้าเพียงกระทำในสิ่งที่สมควรทำ และปฏิบัติตามครรลองของความถูกต้องเท่านั้น หากไม่ได้ใต้เท้าเฉินชี้แนะ ตัวข้ายังคงเป็นคนเขลา ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีต่อไปอีกนาน ใครจะคาดคิดว่า บุรุษผู้มีภาพลักษณ์สุภาพเรียบร้อย มีคุณธรรม กลับเป็นอสูรร้ายในคราบมนุษย์ กล้าลักพาตัวบุตรสาวประมุขตระกูลเฉินผู้ยิ่งใหญ่! ข้าพเจ้าช่างมองคนผิดไปโดยแท้ ต้องขอบคุณใต้เท้าเฉินที่เตือนสติ!"

เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง และบางคราก็แสดงท่าทางเดือดดาลราวกับจะขจัดความอยุติธรรมให้สิ้นไปจากโลกนี้ หากแต่ทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ย ล้วนเป็นเพียงการประจบประแจงเพื่อเอาใจบุรุษเบื้องหน้าเท่านั้น

ใต้เท้าเฉินมองชายผู้นี้ด้วยสายตาลึกล้ำ รอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปาก ทว่ามิอาจคาดเดาความคิดภายในได้

"ฮ่า ๆ กล่าวได้ดี กล่าวได้ดี! เชิญ!" เขาหัวเราะเบา ๆ พลางยกถ้วยชาในมือขึ้นเป็นเชิงเชื้อเชิญ

ชายศีรษะโล้นรีบคว้าถ้วยชาของตนขึ้นมาดื่มด้วยท่าทีระมัดระวัง สายตาของเขาลอบเหลือบมองใต้เท้าเฉินเป็นระยะ เมื่อชาหมดถ้วย เขาค่อย ๆ วางมันลงอย่างแช่มช้า ก่อนจะถูมือไปมาเล็กน้อย

"เอ่อ... มิทราบว่าใต้เท้าเฉินมีบัญชาอันใดให้ข้าพเจ้ารับใช้หรือไม่ขอรับ?"

ขณะที่ใต้เท้าเฉินวางถ้วยน้ำชาลงอย่างแผ่วเบา สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังชายศีรษะโล้นผู้นั้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง

"ไม่มีอันใดหรอก คืนนี้ท่านดื่มกินได้เต็มที่ มิจำเป็นต้องเกรงใจข้า" น้ำเสียงของเขาเรียบง่าย ทว่ารอยยิ้มกลับแฝงด้วยความลึกล้ำยากคาดเดา

ชายศีรษะโล้นรีบประสานมือโค้งคำนับ "ขอบพระคุณใต้เท้าเฉินยิ่งนัก! หากมีสิ่งใดให้ข้าพเจ้ารับใช้ เชิญท่านสั่งมาได้เลย ข้าพร้อมปฏิบัติตามทันที!" เขากล่าวอย่างกระตือรือร้น ดวงตาส่องประกายด้วยความจงรักภักดี

แกร๊ก!

เสียงบานประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง ดึงดูดความสนใจของทุกผู้คน หญิงสาวร่างอรชรนางหนึ่งก้าวเข้ามา นางสวมอาภรณ์สีแดงสดแนบเนื้อ ขับเน้นเรือนร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าได้อย่างเย้ายวน โดยเฉพาะเนินอกอวบอิ่มที่ยิ่งเผยให้เห็นเด่นชัดเมื่อยามก้าวเดิน สะกดสายตาของบุรุษทั้งหลายให้จับจ้องโดยมิอาจละสายตา

ในมือเรียวของนางถือสำรับอาหารสองชุด เดินพลิ้วเข้ามาด้วยกิริยานุ่มนวล เมื่อถึงโต๊ะของใต้เท้าเฉิน นางค่อย ๆ วางสำรับลงด้วยท่าทางอ่อนช้อย ทุกการเคลื่อนไหวช่างละเมียดละไมราวกับการร่ายรำ พอเริ่มแจกแจงสำรับอาหาร ท่วงท่าการก้มตัวของนางกลับยิ่งเผยให้เห็นความงามยวนตาของทรวงอวบอิ่ม กระตุ้นจิตใจบุรุษให้หวั่นไหว

ชายศีรษะโล้นลอบกลืนน้ำลาย รีบยกมือขึ้นเช็ดมุมปากของตนโดยไม่รู้ตัว ดวงตาหยาดเยิ้มของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวไม่วางตา กระทั่งนางเดินจากไปแล้ว เขาก็ยังคงหันไปมองตามราวกับต้องมนตร์สะกด ต่างจากใต้เท้าเฉินที่ยังคงนั่งยิ้มบาง ๆ อย่างสงบ ราวกับภาพเบื้องหน้าเป็นเพียงสายลมพัดผ่านเท่านั้น ส่วนชายชราผู้ยืนเคียงข้างใต้เท้าเฉินกลับดูเย็นชาไร้อารมณ์ ดวงตาของเขามองผ่านหญิงสาวไปดุจมองโครงกระดูกไร้วิญญาณ

"เชิญ"

น้ำเสียงเรียบนิ่งของใต้เท้าเฉินดังขึ้น ปลุกชายศีรษะโล้นให้หลุดออกจากภวังค์ เขาสะดุ้งเล็กน้อย รีบปรับสีหน้ากลัวว่าตนเองจะเสียมารยาทต่อหน้าใต้เท้าเฉิน ร่างอวบของเขาผุดลุกขึ้นอย่างร้อนรน เตรียมจะกล่าวขออภัย แต่ใต้เท้าเฉินเพียงส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนยกมือขึ้นห้าม

"มิจำเป็นต้องทำเช่นนี้"

ชายศีรษะโล้นชะงัก รีบทรุดตัวลงนั่งอย่างละอายใจ เขาก้มหน้าต่ำ มิกล้าเอ่ยคำใดอีก ความกระดากอายในใจทำให้เขามิกล้าเงยหน้าขึ้นสบตาบุรุษผู้สูงศักดิ์เบื้องหน้าได้อีกเลย

"เถ้าแก่ฟ่าน ท่านมิต้องกังวลไป เรื่องนี้หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ บุรุษล้วนย่อมมีใจนิยมชมชอบในสตรีงามเป็นธรรมดา หากท่านพึงใจเสี่ยวเจี่ยนางนี้ ข้าสามารถกล่าวกับเจ้าของร้านให้ได้" น้ำเสียงของใต้เท้าเฉินราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง

กล่าวจบ เขาจึงยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ท่วงท่าสง่างามดุจขุนเขามั่นคง

เถ้าแก่ฟ่านที่เดิมทีเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน บัดนี้เมื่อได้รับถ้อยคำอันแสนผ่อนปรนของใต้เท้าเฉิน ความตึงเครียดในใจของเขาก็ค่อย ๆ คลายลง ทว่าเหงื่อเย็นกลับซึมออกมาชุ่มแผ่นหลังโดยมิอาจควบคุม

เขาปาดเหงื่อบนหน้าผาก พลางคิดในใจ

"ข้าพึ่งรอดพ้นจากเงื้อมมือพญายมแล้วกระมัง? หากมิใช่ใต้เท้าเฉินมีเมตตา หากเป็นคนอื่นในตระกูลเฉิน ข้าอาจมิได้กลับไปโดยยังมีลมหายใจ!"

ความหวาดหวั่นยังคงหลงเหลืออยู่ในใจ แม้ใต้เท้าเฉินจะดูเป็นมิตร แต่ชื่อเสียงของตระกูลเฉินที่เลื่องลือเรื่องความโหดเหี้ยมก็มิใช่เรื่องล้อเล่น เถ้าแก่ฟ่านจึงมิกล้าประมาทอีกต่อไป เขาก้มหน้าลงก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบและเชื่อฟัง

แต่แท้จริงแล้ว เถ้าแก่ฟ่านผู้นี้หาใช่เพียงพ่อค้าเล็ก ๆ ธรรมดาไม่ เขาคือเจ้าของขบวนคาราวานสินค้าจากดินแดนภาคใต้ ตระกูลเฉินใช้เวลาหลายปีในการกระจายกำลังคนออกสืบเสาะเบาะแสเกี่ยวกับพวกอวี้เหวิน พวกเขาสืบค้นไปทั่วแคว้นตงชิง กระทั่งพบข้อมูลบางอย่าง

ว่ากันว่ามีพ่อค้าใจบุญผู้หนึ่ง มักยื่นมือช่วยเหลือคนยากไร้ ไร้บ้าน และยังจัดหางานให้แก่พวกเขา การกระทำอันแสนเมตตานี้ทำให้ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั่ว

ตระกูลเฉินหาได้คาดหวังกับเบาะแสนี้มากนัก ทว่ายามที่เริ่มสืบถามลึกลงไปเกี่ยวกับคนที่ได้รับความช่วยเหลือ รายละเอียดต่าง ๆ กลับสอดคล้องกับเป้าหมายที่พวกเขากำลังตามหา และในที่สุดก็สามารถชี้ชัดลงได้ว่า บุคคลที่ต้องการค้นหานั้นอยู่กับเถ้าแก่ฟ่านผู้นี้เอง!

และแท้จริงแล้ว เถ้าแก่ฟ่านนั้นหาใช่ผู้ใจบุญที่แท้จริงไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทำ ล้วนเป็นเพียงฉากหน้าที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเอง การเป็นพ่อค้าที่ได้รับการยกย่องว่าสูงส่งมีคุณธรรม ย่อมทำให้การค้าขายเป็นไปได้โดยสะดวกมากยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง!

เมื่อไม่กี่วันก่อน เถ้าแก่ฟ่านได้นำกองคาราวานสินค้าจากดินแดนทางใต้เข้าสู่เมืองเฉิน หลังจากพำนักอยู่ในเมืองได้เพียงสองวัน เขาก็ได้รับเทียบเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงที่ร้านอาหารเหมยเว่ยในค่ำคืนนี้

ยามแรกที่ได้รับเทียบเชิญ หัวใจของเถ้าแก่ฟ่านถึงกับเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่น เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าด้วยเหตุอันใดบุคคลจากตระกูลเฉิน—ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นตงชิง—จึงให้ความสนใจในตัวเขา ทว่าเมื่อได้อ่านเนื้อความในเทียบเชิญที่ระบุเพียงว่าเป็นงานเลี้ยงตอบแทนสำหรับการให้ข้อมูลสำคัญซึ่งนำไปสู่การพาคนสำคัญของตระกูลกลับมา เขาจึงค่อยเบาใจลง และตัดสินใจมาเข้าร่วมในค่ำคืนนี้

"ขอบคุณใต้เท้าเฉินเป็นอย่างยิ่ง ที่เมตตาเลี้ยงอาหารผู้น้อยในค่ำคืนนี้" เถ้าแก่ฟ่านกล่าวพลางโค้งตัวคารวะ สีหน้าประจบประแจงอย่างเห็นได้ชัด

"มิจำเป็นต้องมากพิธี เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น" ใต้เท้าเฉินเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ แฝงแววเมตตาอยู่ในที

เถ้าแก่ฟ่านหัวเราะแห้ง ๆ พลางลูบศีรษะอันเกลี้ยงเกลา ราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ท่าทางของเขาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ คล้ายอยากกล่าวบางสิ่ง แต่กลับลังเลใจ จนบรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน

ใต้เท้าเฉินเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก "มีสิ่งใดในใจท่านหรือไม่? หากมีเรื่องใดต้องการกล่าวก็พูดออกมาเถิด มิจำเป็นต้องลังเล"

เถ้าแก่ฟ่านขยับมือถูไปมาอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก "เอ่อ...เอ่อ... ใต้เท้าเฉิน หากมิได้มีเรื่องอันใดแล้ว ผู้น้อยขอตัวกลับก่อนจะได้หรือไม่ขอรับ? ผู้น้อยยังมีธุระรัดตัว มิต้องการละเลยกิจการค้าขาย... แต่...แต่หากใต้เท้าประสงค์ให้ผู้น้อยอยู่ต่อ ผู้น้อยก็ยินดีอยู่กับท่านทั้งคืน!" กล่าวจบ เขาหัวเราะแห้ง ๆ สองครั้ง ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความกังวล ในใจลอบภาวนาให้ได้รับอนุญาตให้จากไป เพราะการอยู่ ณ ที่นี้เป็นเวลานานเกินไป ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง

ใต้เท้าเฉินเห็นท่าทีร้อนรนของเถ้าแก่ฟ่านก็หัวเราะออกมาเบา ๆ "ฮ่า ฮ่า ๆ เรื่องเพียงเท่านี้เอง มิต้องกังวล หากท่านมีธุระเร่งด่วนก็กลับไปก่อนเถิด"

เถ้าแก่ฟ่านได้ยินเช่นนั้นถึงกับลุกพรวดขึ้นมาทันที ราวกับถูกปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการ เขารีบประสานมือโค้งตัวคารวะ "ขอบคุณใต้เท้าเฉินที่เข้าใจ งั้นผู้น้อยขอตัวลา หากใต้เท้ามีสิ่งใดให้รับใช้ โปรดเอ่ยปากได้ทุกเมื่อ ผู้น้อยพร้อมรับใช้เสมอ!"

ใต้เท้าเฉินเพียงพยักหน้ารับ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ "เปิดประตู ให้เถ้าแก่ฟ่านออกไป"

บานประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง เถ้าแก่ฟ่านก้าวเดินออกไปอย่างสำรวม ทว่าทันทีที่พ้นขอบประตู เขาก็เร่งฝีเท้าออกจากที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าใต้เท้าเฉินจะเปลี่ยนใจแล้วเรียกตัวกลับมาอีกครั้ง!

ชายชราผู้ยืนเฝ้าอยู่ข้างใต้เท้าเฉินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แววตาเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง

"เขาหวาดกลัวพวกเรา"

ใต้เท้าเฉินวางถ้วยน้ำชาลงอย่างแช่มช้า ก่อนจะเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคมกริบฉายแววครุ่นคิดล้ำลึก "เขายังมีประโยชน์กับพวกเรา"

ชายชราผงกศีรษะเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าหนักแน่น "นายน้อยต้องการใช้เขาจัดการสองพ่อลูกคู่นั้นแทนสินะขอรับ"

ใต้เท้าเฉินหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะวางถ้วยชาในมือลง รอยยิ้มเจือเลศนัยเผยขึ้นที่มุมปาก "ก็ยังคงเป็นท่านที่รู้ใจข้าที่สุด"

ชายชรายิ้มรับ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความชื่นชม "ผลงานอันยิ่งใหญ่ของนายน้อยที่นำสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลกลับมาได้ ประกอบกับมิมีผู้ใดในตระกูลรุ่นนี้สามารถเทียบเคียงกับนายน้อยได้อีก เช่นนี้แล้ว... ตำแหน่งประมุขย่อมตกเป็นของท่านอย่างแน่นอน"

ใต้เท้าเฉินเมื่อได้ยินคำนี้ แววตาเปล่งประกายเป็นประกาย เขาแน่ใจในสิ่งที่ชายชรากล่าวโดยมิจำเป็นต้องปฏิเสธ ผู้ใดกันจะสามารถแย่งชิงตำแหน่งนี้ไปจากเขาได้? อีกทั้งเถ้าแก่ฟ่านก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น เมื่อต้องการกำจัดก็เพียงใช้เขาจัดการอวี้เหวินและบิดาแทนตนเอง แล้วจึงปล่อยให้เถ้าแก่ฟ่านเผชิญกับเคราะห์กรรมภายหลัง

ไร้ซึ่งหลักฐานเอาผิด ไร้ซึ่งผู้ใดสืบสาวไปถึงเขา ต่อให้มีผู้ล่วงรู้เบื้องหลังเรื่องนี้ ก็ทำอันใดมิได้อยู่ดี

ใต้เท้าเฉินลุกขึ้นยืน แววตาสงบนิ่งราวสายน้ำไร้ระลอก ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ท่านลุงหลี่... รบกวนท่านบอกเถ้าแก่หยางเกี่ยวกับเสี่ยวเจี่ยนางนั้นด้วย"

ชายชราประสานมือคารวะ "ขอรับ นายน้อย ท่านคิดซื้อใจเขาจริง ๆ หรือ?"

"ถึงอย่างไร หากเราต้องการใช้งานเขา เราก็ต้องทำให้เขาไว้ใจ เชื่อใจ และมองเห็นผลประโยชน์เสียก่อน" ใต้เท้าเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะหมุนกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทว่าทุกย่างก้าวของเขากลับหนักแน่น และเปี่ยมไปด้วยอำนาจที่ยากจะต่อต้าน...

---

ณ ยามนี้ ภายหลังจากการฝึกปรือบนยอดเขาสูง อวี้เหวินนั่งสงบนิ่งอยู่บนเตียงกว้าง ภายในห้องพักที่ดูเรียบง่ายแต่สะอาดตา รัตติกาลอันเงียบสงัดได้มาเยือน แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้ บรรยากาศภายในห้องพักเงียบสงบและเย็นเยียบ

ในมือของเขาปรากฏลูกแก้วสีดำสนิท ไร้ซึ่งลวดลายใดๆ อวี้เหวินใช้นิ้วเขี่ยเล่นเบาๆ ปล่อยให้มันหมุนวนบนฝ่ามืออย่างเพลิดเพลิน

หึ่ม... ผ่านพ้นการบ่มเพาะมาช่วงหนึ่งแล้ว ชักใคร่อยากจะทดลองอานุภาพของสิ่งนี้ดูเสียหน่อย อวี้เหวินรำพึงในใจ พลางทอดสายตาไปยังร่างเล็กจิ๋วที่ยืนอยู่สง่าบนโต๊ะข้างเตียง

ร่างนั้นสูงเพียงศอกเศษ สวมอาภรณ์สีแดงเพลิงปักลายเมฆมงคลดูงดงามยิ่งนัก ใบหน้าเล็กๆ ทว่ากลับฉายแววเฉลียวฉลาดและทะนงตนอย่างชัดเจน นั่นคือคู่หูของเขา ซ่งเหยียนเฟย

อวี้เหวินยิ้มกริ่ม ยกมือคารวะอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนักไปยังร่างจิ๋ว "นายน้อยซ่ง ข้าผู้นี้เพิ่งจะเริ่มฝึกฝน ยังคงต้องอาศัยคำชี้แนะจากท่านผู้เจนจัดเสียแล้ว" น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความขี้เล่นตามประสา

เมื่อเห็นท่าทีของอวี้เหวิน ซ่งเหยียนเฟยในร่างจิ๋วถึงกับถอนหายใจเบาๆ เฮ้อ... เจ้าเด็กนี่มันมิเคยสำรวมตนเสียที เขาคิดอย่างระอาใจ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้

"หึ ในที่สุดเจ้าก็ยอมเอ่ยคำที่สมควรเสียที ว่ายังต้องพึ่งพาปัญญาของข้า" ซ่งเหยียนเฟยในร่างจิ๋วยืนกอดอกเล็กๆ มองอวี้เหวินด้วยสายตาที่ตำหนิ

"ช่างเป็นเจ้าเสียจริง สิ่งที่เจ้าถือครองอยู่นั่นคือ แก่นวายุอำพราง อานุภาพของมันมิอาจประเมินได้ สามารถซ่อนเร้นกายของเจ้าจากเหล่าศัตรูที่ด้อยกว่าขอบเขต ก่อกำเนิด ได้โดยง่ายดาย แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน หากมิได้เพ่งพินิจด้วยญาณทิพย์อันแก่กล้า ก็ยากที่จะล่วงรู้ถึงการดำรงอยู่ของเจ้า"

ซ่งเหยียนเฟยร่างเล็กชี้มือจ้อยๆ ไปยังลูกแก้วในมืออวี้เหวิน "อนึ่ง มันยังสามารถมอบความเร็วที่น่าตื่นตะลึงให้แก่เจ้าได้ ความเร็วสูงสุดนั้นเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกตนใน ขั้นพลังปราณ เพียงแต่เจ้าจักต้องใช้พลังปราณของตนเองให้สอดคล้อง และทำความเข้าใจกับแก่นวายุนี้อย่างถ่องแท้ จึงจะสามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้ จงจำใส่ใจไว้!"

อวี้เหวินทอดสายตามองลูกแก้วสีดำสนิทในฝ่ามือ แสงจันทร์ส่องกระทบผิวมันวาว ราวกับต้องมนต์สะกด

"แล้วข้าจะสามารถใช้อานุภาพของมันได้อย่างไรเล่า?" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ซ่งเหยียนเฟยในร่างจิ๋วประสานมือเล็กๆ ไขว้หลัง กล่าวด้วยท่าทีราวผู้เจนโลก "เรื่องนี้มิได้ยากเย็นอันใด เพียงแค่เจ้าสละโลหิตแห่งตนสักหยดลงบนแก่นวายุนี้ แล้วใช้จิตญาณสัมผัสถึงพลังที่สถิตอยู่ภายใน ส่งกระแสจิตของเจ้าเข้าไปเชื่อมโยงกับแก่นแท้ของมันให้จงได้ เพียงเท่านี้ เจ้าก็จะสามารถควบคุมและใช้อานุภาพของมันได้ตามปรารถนา"

"ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?" อวี้เหวินพึมพำกับตนเอง ดวงตาคมกริบเปล่งประกายครุ่นคิด จากนั้นจึงลงมือกระทำตามคำชี้แนะของคู่หู เขารวบนิ้วชี้ข้างขวา จรดลงบนปลายนิ้วก้อยข้างซ้าย เค้นหยาดโลหิตสีแดงสดหยดหนึ่งลงบนผิวดำขลับของแก่นวายุ

ฉับพลัน! ลูกแก้วก็เปล่งประกายแสงสีดำเข้มออกมา วูบวาบ สะท้อนเข้าสู่ดวงตาของอวี้เหวิน พร้อมกับดูดซับหยาดโลหิตนั้นเข้าไปในพริบตา จากนั้นอวี้เหวินจึงค่อยๆ ใช้จิตสัมผัสไปยังลูกแก้วที่วางอยู่บนฝ่ามือของตน เขาค่อยๆ แผ่ขยายกระแสจิตเข้าไปภายในแก่นวายุ ราวกับกำลังคลำหาทางในความมืดมิด ยิ่งจิตของเขาแทรกซึมลึกลงไป ความมืดมิดก็ยิ่งปกคลุมหนาแน่น หาหนทางที่ถูกต้องมิได้ ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ภายใน

เมื่อกระแสจิตขยายลึกล้ำยิ่งขึ้น จิตใจของอวี้เหวินก็เริ่มร้อนรุ่ม กระวนกระวาย เขารับรู้ถึงพลังและทิศทางของมัน ทว่ากลับไม่อาจจับต้องหรือควบคุมมันได้ ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความขัดใจ กระทั่งเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นในห้วงความคิด

"จงสงบจิตใจ มิต้องเร่งร้อน จงส่งกระแสจิตแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณู ซึมซับหยาดโลหิตที่สถิตอยู่ในแก่นวายุ ค่อยๆ ปล่อยให้เป็นไปตามวิถีแห่งพลังของมัน"

อวี้เหวินได้ยินดังนั้นจึงขจัดความรู้สึกว้าวุ่นทั้งปวงออกไป เริ่มตั้งสติใหม่ ปรับลมหายใจให้แผ่วเบา ผ่อนคลายความตึงเครียด มิเร่งรีบร้อน กระแสจิตค่อยๆ แผ่ซ่านออกไปทุกซอกทุกมุมของลูกแก้วดำมิดเม็ดนั้น รับรู้ถึงทุกการสัมผัสที่กวาดผ่านไป หยาดโลหิตที่ถูกดูดซับไปเริ่มสำแดงอานุภาพ นำทางกระแสจิตของอวี้เหวินไปสู่แก่นแท้แห่งพลังที่ซ่อนอยู่ภายในลูกแก้วสีดำมันวาว

กระแสจิตเคลื่อนไหวไปอย่างเชื่องช้า ทว่าเมื่อเข้าใกล้แก่นแท้ของมัน พลันบังเกิดความรู้สึกราวกับถูกกระแสน้ำวนอันเชี่ยวกรากดูดกลืน กระแสจิตของอวี้เหวินถูกพลังอันมหาศาลนั้นดูดซับเข้าไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง!

พรึ่บ! ร่างกายของอวี้เหวินเริ่มเลือนราง จางหายไปทีละน้อย ราวกับกำลังหลอมรวมเข้ากับสภาพแวดล้อมภายในห้องของตนเอง ผ่านไปเพียงชั่วกระพริบตา ณ ที่แห่งนั้นกลับไร้ร่องรอยของอวี้เหวินหลงเหลืออยู่ ทุกสิ่งเงียบสงบ ราวกับมิเคยมีผู้ใดดำรงอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้มาก่อน

"เจ้าจักต้องฝึกฝนการปรับใช้พลังของมันให้เชี่ยวชาญ มิเช่นนั้นเจ้าจะมิอาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้" เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นแว่วมาในห้วงความคิดของอวี้เหวิน ราวกับเสียงกระซิบจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น