อวี้เหวินจึงรวบรวมสมาธิทั้งหมด จดจ่ออยู่กับการเรียนรู้พลังอำนาจแห่งแก่นวายุอำพรางอย่างเชื่องช้า เขาค่อยๆ ทำความเข้าใจถึงวิธีการควบคุมลูกแก้ว และหลักการทำงานอันลึกลับของมัน ราวกับกำลังทำความคุ้นเคยกับอวัยวะใหม่ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นในร่างกาย
ขณะนั้นเอง ณ จุดกึ่งกลางห้องบรรทม ร่างหนึ่งเริ่มปรากฏกายขึ้นทีละส่วน เริ่มจากศีรษะ คอ บ่า ไหล่ แขน และมือ สุดท้ายจึงปรากฏช่วงขาและเท้าอย่างสมบูรณ์
พรึ่บ! อวี้เหวินปรากฏร่างขึ้นอีกครั้ง สภาพของเขามิแตกต่างจากลูกสุนัขตกน้ำ ขนเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมออกมา
"แฮ่กๆ... เวลาล่วงเลยไปนานเพียงใดแล้ว?" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อย
"นับแต่เจ้าตั้งจิตมุ่งมั่นในการเปิดใช้งานแก่นวายุอำพราง ก็ล่วงเลยมาห้าชั่วยามแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้ซึ่งความตื่นเต้น
"ว่ากระไรนะ!! ห้าชั่วยามเลยรึ!" อวี้เหวินอุทานด้วยความตกใจ พลางหันขวับไปมองสหายร่างจิ๋วด้วยดวงตาเบิกกว้าง
ซ่งเหยียนเฟยมองตอบกลับมา พลางพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการยืนยันความจริง
"ข้ามิคาดคิดว่าจะต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้" อวี้เหวินถอนหายใจยาวด้วยความอ่อนล้า จากนั้นทั้งสองจึงแยกย้ายกันพักผ่อน เพื่อฟื้นฟูพลังกายและพลังจิต และแล้วค่ำคืนอันเงียบสงัดก็ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับการมาเยือนของรุ่งอรุณ...
ยามอรุณรุ่ง แสงสุริยาอ่อนละมุนค่อยๆ ทอดลำแสงสีทองผ่านช่องหน้าต่าง สาดส่องลงบนศีรษะของอวี้เหวินที่โผล่พ้นผืนผ้าห่ม ไออุ่นจากรังสีแห่งทิวากระทบกับใบหน้าคมสันของเขา ปลุกให้เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆ เปิดขึ้นด้วยความงัวเงีย เขาขยี้ดวงตาครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี เช้านี้ก็เช่นเคย เขาเริ่มจัดเตรียมสัมภาระเพื่อออกเดินทางไปยังถิ่นพำนักของพยัคฆ์หางแมงป่องอีกครา
ด้วยความคุ้นเคยกับสภาพอากาศอันร้อนระอุที่อวี้เหวินต้องเผชิญในทุกวัน ผนวกกับร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นและเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ดียิ่งขึ้น
วันนี้เขาจึงสามารถร่นระยะทางเข้าใกล้ที่อยู่อาศัยของพยัคฆ์หางแมงป่องได้มากขึ้น และจากการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรนานัปการในทุกวัน อวี้เหวินเริ่มตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้
เขาไม่อาจมุ่งเน้นเพียงแค่การบ่มเพาะพลังและเสริมสร้างร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป เพราะเขาไม่อาจคาดหวังให้ผู้อื่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ และแม้ตนเองจะมีพละกำลังมหาศาล หากปราศจากวิธีการใช้ออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ย่อมไร้ค่า
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขอคำชี้แนะด้านเคล็ดวิชาต่อสู้จากซ่งเหยียนเฟย
"เจ้าหนู ในยามนี้เจ้าอยู่ในขั้นก่อตั้งรากฐาน โดยเน้นหนักไปที่การเสริมสร้างพลังกาย นับว่าเหมาะสมแล้วที่เจ้าจะเริ่มฝึกฝนวิชาต่อสู้ที่มิใช้อาวุธ" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม
"วิชาที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุดในขณะที่เจ้ากำลังฝึกฝนวิชาเตาหลอมอัสนีวิบัติขั้นต้น ซึ่งมีเพลิงเป็นแก่นหลักนั้น คือ วิชาฝ่ามือพิฆาตอัคคี วิชากรงเล็บเพลิงพยัคฆ์ และ วิชาหมัดอัคนีสังหาร"
"สำหรับ วิชาฝ่ามือพิฆาตอัคคี นั้น จะเน้นการฝึกฝ่ามือเป็นหลัก เป็นการรวบรวมความร้อนอันรุนแรงและปลดปล่อยออกมาจากฝ่ามือดุจเปลวเพลิงที่ปะทุ ถือเป็นกระบวนท่าทำลายล้างในระยะกว้างกว่าวิชาอื่นๆ ส่วน วิชากรงเล็บเพลิงพยัคฆ์ นั้น ผู้คิดค้นได้เลียนแบบท่วงท่าการโจมตีด้วยขาอันทรงพลังของพยัคฆ์หางแมงป่อง โดยผสานเข้ากับเพลิงอัคคีอันร้อนแรง และวิชาสุดท้าย วิชาหมัดอัคนีสังหาร เป็นวิชาที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อการสังหารโดยเฉพาะ เน้นการฝึกฝนหมัดให้แข็งแกร่ง ว่องไว เฉียบคม ดุจเปลวเพลิงที่ลุกโชน และมีความร้อนสูง แต่ละกระบวนท่ารวดเร็วปานสายฟ้าแลบ สามารถปลิดชีพศัตรูได้ในชั่วพริบตา"
"เจ้าจะเลือกวิชาใด ย่อมสุดแล้วแต่เจ้าจะพิจารณา" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวจบ พร้อมกับทอดสายตามองไปยังอวี้เหวิน
อวี้เหวินหลับตาลงชั่วครู่ สายลมร้อนระอุพัดผ่านเปลือกตาของเขา พลัน! เขาก็ลืมตาขึ้น แววในดวงตาคมกริบราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชน "ข้าเลือก วิชาหมัดอัคนีสังหาร" เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มั่นคง ไร้ซึ่งความลังเล
เมื่อซ่งเหยียนเฟยทอดสายตามองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น ก็บังเกิดรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
"ฮ่าๆๆ ช่างเป็นการตัดสินใจที่เฉียบคมยิ่ง!" พลางใช้นิ้วเรียวจิ้มลงบนหน้าผากของอวี้เหวินเบาๆ
ตึง! ราวกับมีคลื่นพายุโหมกระหน่ำซัดเข้าสู่ห้วงสมองของอวี้เหวิน หากแต่ด้วยประสบการณ์ที่เคยประสบมาแล้วครั้งหนึ่ง ครานี้เขาจึงสามารถควบคุมและจัดเรียงข้อมูลอันมหาศาลที่ถาโถมเข้ามาได้อย่างรวดเร็วและเป็นระบบ
เวลาล่วงเลยไปครู่ใหญ่ อวี้เหวินที่นั่งสงบนิ่ง หลับตาลงเพื่อย่อยข้อมูลและความรู้ใหม่ที่ได้รับมา จึงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น... ในดวงตาคู่นั้นปรากฏประกายแห่งความมุ่งมั่นและกระหายในการฝึกฝนอย่างแรงกล้า
"ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเกินหยั่งถึง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา
'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐพี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็นสามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด
ในขอบเขตปฐพีนั้น เป็นการวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน'
ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต
ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐพีอันกว้างใหญ่
ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิได้ละเลยการบ่มเพาะร่างกาย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ร้อนระอุราวกับเปลวเพลิง ทั้งสองสิ่งต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน หมุนเวียนเสริมส่งพลังอำนาจ ก่อกำเนิดเป็นความน่าสะพรึงกลัวและความหนักแน่นให้แก่เพลงหมัดของอวี้เหวินยิ่งขึ้น
เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วยาม จากท่าทีที่ดูขัดเขินในยามแรกเริ่ม บัดนี้ทุกการเคลื่อนไหวของอวี้เหวินกลับกลายเป็นความต่อเนื่องและลื่นไหล พลังปราณภายในร่างกายหมุนเวียนเป็นหนึ่งเดียวกับท่วงท่า
ทำให้พลังทำลายล้างและความแม่นยำเพิ่มพูนขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เขารู้สึกราวกับว่าการเคลื่อนไหวทุกครั้งเป็นไปอย่างง่ายดาย ราวกับร่างกายและจิตใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ทุกกระบวนท่าดำเนินไปตามวิถีแห่งตนอย่างแม่นยำ
ความกระจ่างแจ้งในศาสตร์แห่งหมัดปรากฏขึ้นในจิตวิญญาณของเขาอย่างชัดเจน จนกระทั่งเขาสามารถควบคุมพลังทั้งหมดและปล่อยหมัดตรงคู่ไปยังก้อนหินขนาดไม่ใหญ่นักที่วางอยู่เบื้องหน้า
"บึ้ม!" เสียงกึกก้องดังก้องกังวาน บนผิวก้อนหินปรากฏรอยร้าวเป็นใยแมงมุม ก่อนที่มันจะปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยเสียง "แกร๊ก!" อันน่าสะพรึงกลัว
"ทรงพลัง... ช่างทรงพลังยิ่งนัก! ด้วยพละกำลังเพียงเท่านี้ ข้าถึงกับมีพลังอำนาจมากมายเพียงนี้เชียวหรือ?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความตื่นเต้นระคนประหลาดใจ พลางก้มลงมองฝ่ามือทั้งสองข้างที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผงดินทราย
"เจ้าหนู... เพียงชั่วก้านธูปเจ้าก็สามารถทะลวงสู่ขอบเขตเริ่มต้นของขั้นปฐพีได้แล้ว นับว่ามิได้ทำให้ข้าน้อยผู้นี้ต้องอับอายขายหน้า" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับมิได้ใส่ใจนัก
อวี้เหวินมิได้แยแสคำกล่าวของซ่งเหยียนเฟยแม้แต่น้อย เขายังคงมุ่งมั่นฝึกฝนต่อไป เมื่อซ่งเหยียนเฟยเห็นว่าอวี้เหวินไม่สนใจตน ใบหน้าหล่อเหลาจึงปรากฏร่องรอยขุ่นเคืองเล็กน้อย พลางแค่นเสียงเบาๆ ในลำคอ รอบกายนั้นร้อนระอุราวกับอยู่ในเตาหลอม มิปรากฏแม้แต่เงาของปักษาบินผ่านนภาในบริเวณนี้
หลายราตรีผ่านพ้นไป บัดนี้อวี้เหวินสามารถล่วงเข้าสู่เขตแดนหน้าด่านของพยัคฆ์หางแมงป่องได้แล้ว บริเวณนี้แห้งแล้งและทุรกันดารยิ่งนัก ผืนดินแตกระแหงเป็นริ้วรอยลึก สรรพสัตว์มีพิษต่างพากันคลานออกจากรอยแยกของพื้นดินอย่างเงียบเชียบ
ณ ที่แห่งนี้ไร้ซึ่งร่มเงาของพฤกษาแม้เพียงต้นเดียว บรรยากาศโดยรอบยังคงร้อนระอุ มิมีแม้แต่สุ้มเสียงของวิหคให้ได้ยิน ชุดสีขาวบริสุทธิ์ของอวี้เหวินในยามนี้ชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งภายใต้เนื้อผ้าอย่างรางๆ ร่างกายของเขาในยามนี้มีความทรหดอดทนเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติที่เขาฝึกฝนมาถึงคอขวดเสียแล้ว เหลือเพียงอีกก้าวเดียวเท่านั้นก็จะสามารถทะลวงสู่ขั้นต่อไปได้
อวี้เหวินยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลรินบนใบหน้าคมสัน พลางทอดสายตาสำรวจไปยังเบื้องหน้า ณ ที่นั้นปรากฏภูเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้า ตรงกลางของภูเขามีช่องโพรงขนาดไม่ใหญ่นัก พอให้บุรุษสี่ห้าคนเดินเข้าไปพร้อมกันได้โดยมิยากเย็น
ภูเขาลูกนี้เมื่อมองจากภายนอกกลับเต็มไปด้วยไอความร้อนที่แผ่พุ่งออกมา ราวกับเป็นต้นกำเนิดแห่งเพลิงทั้งหมดในโลกหล้า บนภูเขาลูกนี้มิมีแม้แต่ใบหญ้าสักต้นให้เห็น ได้ยินเพียงเสียงคำรามแผ่วเบา "กรร..." ดังมาจากส่วนลึกภายในภูเขา ราวกับสัตว์ร้ายกำลังซุ่มซ่อนกายอยู่ภายใน
'ในที่สุดข้าก็มาถึงยังภูเขาพยัคฆ์หางแมงป่องจนได้' อวี้เหวินรำพึงกับตนเองในห้วงความคิด พลางละสายตาจากขุนเขาเพลิงเบื้องหน้า ซึ่งไอความร้อนยังคงแผ่พุ่งออกมาจนอากาศโดยรอบบิดเบี้ยวคล้ายภาพลวงตา
เขาหันไปสำรวจตรวจตราสภาพแวดล้อมโดยรอบ บริเวณนี้เต็มไปด้วยความแห้งแล้งและเงียบสงัด พื้นดินแตกระแหงเป็นร่องลึกราวกับรอยแผลเป็นบนผิวโลก กรวดทรายสีน้ำตาลแดงกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป บ่งบอกถึงความทรุกันดารอย่างแท้จริง
เมื่อพบพานสถานที่อันเหมาะสมแก่การฝึกฝน ซึ่งเป็นลานหินกว้างที่ถูกล้อมรอบด้วยโขดหินสูงต่ำลดหลั่นกันไป อวี้เหวินก็สาวเท้าเดินไปยังที่แห่งนั้น มิไกลจากขุนเขานัก ปรากฏโขดหินน้อยใหญ่ รูปร่างแปลกตาคล้ายสัตว์ร้ายกำลังหมอบคลาน ตั้งเรียงรายอยู่เป็นระยะ
อวี้เหวินเลือกนั่งลงบนโขดหินที่มีพื้นผิวเรียบ รวบรวมสมาธิ จิตใจสงบนิ่งดุจห้วงน้ำลึก ปราศจากความว้าวุ่น เตรียมพร้อมสำหรับการฝึกฝนอีกครา
อวี้เหวินสูดรับไอความร้อนอันรุนแรงที่แผ่ซ่านอยู่ทั่วบริเวณเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ ลึกซึ้ง ราวกับต้องการดูดซับทุกอณูแห่งพลังเพลิง ปล่อยให้พลังงานแห่งเพลิงแทรกซึมไปทั่วทุกอณูของเซลล์ กระดูก เส้นเอ็น และโลหิต เริ่มต้นกระบวนการหลอมเหล็กทมิฬ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายอีกครั้ง คลื่นความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ราวกับมีเปลวเพลิงนับพันกำลังลุกโชนอยู่ภายใน
เซลล์ทุกเซลล์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เริ่มหลอมละลายและแปรเปลี่ยนสภาพ กลายเป็นความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ สิ่งสกปรกและมลทินที่เจือปนภายในร่างกายค่อยๆ ถูกขับดันออกมาตามรูขุมขนทีละน้อย หยาดเหงื่อสีดำข้นไหลรินลงมาตามผิวกาย
ในยามนี้ร่างของอวี้เหวินราวกับเป็นหม้อหลอมโลหะขนาดใหญ่ที่กำลังแผดเผา ผิวหนังของเขากลายเป็นสีแดงก่ำราวกับเหล็กกล้าที่ถูกเผาจนร้อนจัด ไอควันสีขาวจางๆ เริ่มกระจายตัวออกมาจากร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยกลิ่นคาวของโลหะเจือจาง กระบวนการหล่อหลอมดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนถึงขีดสุด!
"ตึง!" เสียงกระดูกลั่นเบาๆ ดังขึ้นทั่วร่าง ราวกับมีบางสิ่งแตกหักและก่อกำเนิดใหม่ สีแดงบนผิวกายของอวี้เหวินค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นผิวกายขาวผ่องดุจหยกเนื้อดี ที่เปล่งประกายเรืองรองเล็กน้อย สิ่งสกปรกที่ถูกขับออกจากร่างกายส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ราวกับซากสัตว์เน่าเปื่อย
'ในที่สุดก็ทะลวงสู่ขั้นกลางของวิชาเตาอัสนีวิบัติจนได้' อวี้เหวินผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ลึกซึ้ง ราวกับปลดปล่อยภาระหนักอึ้ง เขาปรับลมปราณที่ยังคงไหลเวียนอย่างรวดเร็วให้สงบลงเล็กน้อย พลางเงยหน้าขึ้นสังเกตเห็นว่าดวงตะวันกำลังคล้อยต่ำลง สาดแสงสีส้มทองอร่ามไปทั่วท้องฟ้า บ่งบอกว่ายามเย็นใกล้เข้ามาแล้ว
เขาจึงลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม จัดเก็บสัมภาระที่วางอยู่บนพื้นดิน เตรียมตัวเดินทางกลับสู่เรือนตน หลังจากจัดการทุกสิ่งเรียบร้อย อวี้เหวินจึงมุ่งหน้ากลับไปตามเส้นทางเดิมที่เขาจากมาอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของการฝึกฝนและกลิ่นเหม็นจางๆ ของสิ่งสกปรกที่ถูกขับออกจากร่างกาย
หลังจากเดินทางลัดเลาะผ่านพุ่มไม้และโขดเขามาได้พักใหญ่ พลันบังเกิดเสียงทุ้มนุ่มดังก้องกังวานขึ้นในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับเสียงกระซิบจากเทพบนสรวงสวรรค์
"เจ้าหนู กลิ่นกายของเจ้าในยามนี้ราวกับสัตว์ป่าที่เพิ่งคลุกฝุ่น ควรชำระล้างมลทินเสียก่อนที่จะเดินทางต่อไป อีกเพียงสองลี้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จะปรากฏธารน้ำใสบริสุทธิ์ ไหลลดหลั่นจากผาสูง สามารถชำระกายาให้สะอาดหมดจดได้ บริเวณนั้นเป็นเขตอันสงบสุข ปราศจากซึ่งร่องรอยของสัตว์อสูรร้ายให้ต้องกังวล" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความรังเกียจเล็กน้อย ราวกับต้องทนดมกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
อวี้เหวินเมื่อได้ยินดังนั้น จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สัมผัสได้ถึงไอความร้อนและกลิ่นดินที่ยังคงติดตรึงอยู่บนผิวกาย พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่ลังเล "คำแนะนำของเจ้าสมเหตุสมผลยิ่งนัก" จากนั้นเขาจึงเบี่ยงทิศทาง มุ่งหน้าไปยังธารน้ำที่ซ่งเหยียนเฟยได้ชี้แนะไว้ในห้วงความคิด
เมื่อย่างเข้าใกล้ธารน้ำในระยะทางอีกเพียงยี่สิบจั้งเบื้องหน้า สายตาของอวี้เหวินก็พลันจับจ้องไปยังทัศนียภาพโดยรอบ สองข้างทางเต็มไปด้วยหมู่มวลพฤกษาหลากชนิด สูงตระหง่านเสียดฟ้า ใบไม้สีเขียวสดพลิ้วไหวตามสายลม แสงสุริยาอ่อนยามเย็นสาดส่องลอดผ่านเรือนยอดลงมากระทบพื้นดิน ก่อเกิดเป็นเงาที่ทาบทับกันอย่างงดงาม
เสียงสายน้ำไหลรินลดหลั่นจากโขดหินน้อยใหญ่ กระทบกับผืนน้ำเบื้องล่างดัง "ซ่า...ซ่า..." อย่างต่อเนื่อง ก้องกังวานในโสตประสาทของอวี้เหวิน ราวกับบทเพลงแห่งธรรมชาติที่ขับกล่อมให้จิตใจสงบเยือกเย็น เขาจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าจุดหมายอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
เมื่อทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้า ก็ปรากฏภาพของน้ำตกขนาดย่อมแห่งหนึ่ง สายน้ำสีขาวราวกับแพรไหม ไหลลดหลั่นลงมาจากหน้าผาหินแกรนิตเตี้ยๆ กระทบกับแอ่งน้ำสีเขียวมรกตเบื้องล่าง ก่อให้เกิดละอองน้ำเย็นชื่นใจที่ลอยละลิ่วในอากาศ
เมื่ออวี้เหวินเดินเข้าไปใกล้ได้ระยะหนึ่ง พลันเสียงกระซิบแว่วเบาเสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามาในหูของเขา ราวกับเสียงกระซิบของภูตไพร ทำให้ร่างของอวี้เหวินหยุดชะงักลงในทันที เท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าพลันหยุดนิ่ง ราวกับถูกตรึงด้วยมนต์สะกด
'มีผู้คนอยู่ในบริเวณนี้หรือ? เป็นผู้ใดกันที่กล้าล่วงล้ำเข้ามาในป่าลึกอันเงียบสงบแห่งนี้ได้?' เขาครุ่นคิดในใจ ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง พลางเพิ่มความตื่นตัวและระแวดระวังมากยิ่งขึ้น ทุกย่างก้าวที่กำลังจะเกิดขึ้นเต็มไปด้วยความเงียบเชียบและระมัดระวัง ราวกับนักล่าที่กำลังซุ่มซ่อนกายรอคอยเหยื่ออย่างใจเย็น
เขาย่องกรายเข้าไปหาต้นเสียงอย่างช้าๆ ทีละก้าว ทีละก้าว ราวกับกลัวว่าเสียงฝีเท้าจะดังรบกวนความเงียบสงัด ก่อนที่ความคิดจะเลยเถิดไปไกลกว่านี้ พลันความคิดอันชาญฉลาดและเฉลียวฉลาดก็ผุดขึ้นมาในห้วงสมองของเขา ราวกับแสงสว่างที่ส่องนำทางในความมืดมิด
'จริงสิ! ข้ายังมีเเก่นวายุอำพรางอยู่' เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้ออย่างแช่มช้า สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบของลูกแก้วสีดำสนิทที่วางอยู่บนผิวหนัง หยิบเอาลูกแก้วทรงกลมขนาดเท่าลูกปิงปองออกมาอย่างระมัดระวัง
แสงจันทร์ยามเย็นสาดส่องลงมาต้องกับผิวมันวาวของลูกแก้ว สะท้อนประกายสีดำลึกลับออกมา เพียงแต่ว่าหลังจากที่เขาสามารถควบคุมพลังอำนาจของมันได้แล้ว เขายังไม่เคยใช้ประโยชน์จากมันเลยสักครั้ง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาคิดจะนำมันมาใช้ และเป็นการใช้มันในสถานการณ์จริงที่อาจมีอันตรายเสียด้วย
"ช่างเถิด ข้าไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป ถึงอย่างไรข้าก็เคยควบคุมพลังของมันได้มาก่อน" เขาพึมพำกับตนเองเบาๆ ราวกับต้องการให้ความมั่นใจแก่จิตใจที่กำลังสั่นคลอน
จากนั้นจึงรวบรวมสมาธิทั้งหมด ส่งกระแสจิตอันแข็งแกร่งเชื่อมต่อกับลูกแก้วสีดำสนิท วูบ! ร่างกายของอวี้เหวินค่อยๆ เลือนรางลง ราวกับหยดหมึกที่ละลายลงในน้ำใส กลืนกลืนไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างรวดเร็ว ต้นไม้ ใบหญ้า โขดหิน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวราวกับหลอมรวมเข้ากับร่างของเขาอย่างน่าอัศจรรย์
ทว่านี่เป็นเพียงครั้งที่สองที่เขาควบคุมลูกแก้วสีดำลูกนี้ พลังอำนาจที่เขาสามารถใช้ได้ในยามนี้มีเพียงการปกปิดร่างของตนเองเท่านั้น ยังไม่สามารถใช้มันเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ หรือย่างก้าวอย่างแผ่วเบาไร้ร่องรอย เขาจึงจำเป็นต้องย่องเดินก้าวเข้าไปหาต้นเสียงอย่างช้าๆ เช่นเดิม ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดล่วงรู้ถึงการมาของตน แม้เพียงเสียงกิ่งไม้เล็กๆ ที่อาจถูกเหยียบย่ำ ก็อาจนำมาซึ่งภัยอันคาดไม่ถึง
ในขณะที่อวี้เหวินกำลังย่องกรายเข้าไปใกล้ต้นเสียงอย่างระมัดระวังดุจแมวป่าที่กำลังซุ่มจับเหยื่อ
บริเวณธารน้ำตกขนาดเล็กที่ไหลลดหลั่นลงมาจากผาสูงชันนั้น ปรากฏร่างอรชรของอิสตรีสองนางกำลังนั่งพักผ่อนบนโขดหินริมธาร และสนทนากันด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความสนิทสนมแนบแน่น ราวกับพี่น้องร่วมอุทร
อิสตรีทั้งสองสวมใส่ชุดผ้าไหมเนื้อดีสีเขียวอ่อนราวกับสีของใบไม้ผลิ ลักษณะคล้ายคลึงกัน หากผู้เจนจัดในยุทธภพได้ทัศนา คงจะทราบได้ในทันทีว่านี่คือเครื่องแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของสำนักที่มีชื่อเสียงแห่งใดแห่งหนึ่ง และอิสตรีทั้งสองก็คือศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ของสำนักนั้นเอง
"หากมิใช่เพราะเจ้ากระบือซุกซนตัวนั้นบังอาจมาป่วนเปี้ยนในยามที่เรากำลังเดินทาง หลอกล่อพวกเราด้วยท่าทางอันแสนจะไร้เดียงสา จนกระทั่งพวกเราพลัดตกลงไปในวังวนแห่งโคลนดูด คงมิเสียเวลาอันมีค่ามานั่งชำระล้างกายาให้สะอาดหมดจดเช่นนี้!" สาวน้อยใบหน้างดงามหมดจดราวกับดอกเหมยแรกแย้ม แต่ทว่าในดวงตากลับฉายแววความดื้อรั้นและซุกซน กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย พร้อมกับกระทืบเท้าเล็กๆ ที่สวมรองเท้าผ้าไหมปักลายดอกไม้ลงบนพื้นหินเย็นเยียบเบาๆ จุกผมสองข้างที่ถูกมัดไว้อย่างประณีตด้วยริบบิ้นสีชมพูอ่อนบนศีรษะกลมมนของนาง ยิ่งขับเน้นความดื้อรั้นและเอาแต่ใจออกมาให้ผู้ที่ได้พบเห็นต้องอมยิ้มในความน่ารักราวกับเด็กน้อย
"ซินซิน เจ้าจงใจเย็นลงเสียก่อนเถิด ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าเจ้ากระบือตัวนั้นจะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวถึงเพียงนี้" หญิงสาวอีกนางหนึ่งส่ายศีรษะอย่างอ่อนโยน ใบหน้าสวยหวานราวกับจันทร์กระจ่างในคืนแรมประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่แสนจะเมตตา "อย่างไรก็ตาม เรื่องราวก็ผ่านมาแล้วดุจสายลม ไม่อาจหวนคืนหรือแก้ไขสิ่งใดได้อีก พวกเราชำระล้างกายาให้สะอาดเสียก่อนเถิด แล้วจึงค่อยเดินทางกันต่อ" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและเยือกเย็น ราวกับสายน้ำที่ไหลเอื่อยรินลงมาจากผาสูง สัมผัสแล้วให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
หญิงสาวผู้นี้มีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาจำแลงลงมาจุติ แม้จะมิได้งดงามล่มเมืองจนทำให้เหล่าบุรุษต้องลุ่มหลงดังเช่นบรรดาธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนสวรรค์ ทว่าความงามของนางนั้นเป็นความงามที่เรียบง่ายแต่ทว่าลึกซึ้ง ราวกับดอกบัวขาวที่ผุดพ้นน้ำขึ้นมาท่ามกลางความบริสุทธิ์ ชวนให้ผู้คนที่ได้พบเห็นรู้สึกสบายใจและผ่อนคลาย ราวกับสายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านกายาในฤดูวสันต์ นำมาซึ่งความร่มรื่นและสดชื่น
"เจ้าค่ะ ท่านพี่" สาวน้อยนามซินซินย่นริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตากลมโตยังคงฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นพี่ นางก็มิได้ขัดขืนคำกล่าวแต่ประการใด เพียงแต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างเสียมิได้
ในขณะที่ทั้งสองกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์เนื้อดีสีเขียวอ่อนออกจากร่างอย่างช้าๆ เผยให้เห็นผิวขาวผ่องดุจหิมะแรกตก เพื่อลงไปชำระล้างกายาในธารน้ำใสที่เย็นฉ่ำ หญิงสาวผู้เป็นพี่พลันชะงักการกระทำ มือเรียวที่กำลังจะปลดปมผ้าหยุดชะงัก ดวงตาคู่สวยราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเพ่งสายตามองไปยังทิศทางหนึ่งในป่าลึกที่เงียบสงัด คิ้วเรียวสวยดุจคันศรขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับสัมผัสได้ถึงกระแสพลังงานบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากบริเวณนั้น
สาวน้อยซินซินเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังใบหน้าของผู้เป็นพี่อย่างใคร่รู้
"มีสิ่งใดผิดปกติหรือเจ้าคะ ท่านพี่ ?"
คิ้วที่ขมวดมุ่นของเจี่ยเจียค่อยๆ คลายลงจนกลับคืนสู่ความงดงามดังเดิม นางส่ายศีรษะเบาๆ พลางแย้มรอยยิ้มบางๆ ที่แสนจะอ่อนโยนและปลอบโยน ราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับเสียงกระซิบของสายลม "มิมีสิ่งใดหรอกน้องหญิง ข้าคงคิดมากไปเองกระมัง บางทีอาจจะเป็นเพียงเสียงของสัตว์ป่า หรือลมที่พัดผ่านใบไม้ก็เป็นได้"
ในห้วงเวลานั้นที่อิสตรีทั้งสองกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์เนื้อละเอียดดุจใยไหมลงสู่ธารน้ำใสเย็นเยียบ เพื่อชำระล้างมลทิน
อีกฟากฝั่งหนึ่งของพุ่มไม้หนาทึบที่ขึ้นเรียงรายริมธาร ราวกับผ้าม่านสีเขียวมรกตที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง มีร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังย่องกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้าและเงียบเชียบ ราวกับเงาที่เคลื่อนไหวไปตามพื้นดิน จนกระทั่งทัศนียภาพของป่าเขาลำเนาไพรที่เขาลัดเลาะมาค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาคมกริบของเขา ปรากฏเป็นภาพของธารน้ำตกขนาดเล็กที่ไหลลดหลั่นลงมาจากผาสูงชัน ราวกับสายสร้อยแก้วที่ประดับประดาอยู่กลางผืนป่าเขียวขจีแทนที่
อวี้เหวินทอดสายตามองไปยังภาพเบื้องหน้า ดวงตาเป็นประกายวาววับด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง ราวกับผู้หลงทางในป่าลึกได้พบพานดินแดนสุขาวดี
"ช่างคุ้มค่ากับการเสี่ยงภัยล่วงล้ำเข้ามาในเขตหวงห้ามแห่งนี้โดยแท้! ธารน้ำตกที่งดงามถึงเพียงนี้ สายน้ำใสกระจ่างราวกับผลึกแก้ว เหตุใดข้าจึงไม่เคยล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของมันมาก่อนเล่า"
แต่แล้วสติที่กำลังล่องลอยไปตามความงามของธรรมชาติ ก็พลันถูกกระชากกลับคืนมา เมื่อตระหนักได้ว่ามิได้มีเพียงตนเองที่อยู่ในสถานที่อันเงียบสงบแห่งนี้ จากนั้นเขาจึงหันหน้าขวับไปยังทิศทางด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกกระแสลมเย็นยะเยือกพัดผ่านด้วยความตกใจ
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของอวี้เหวินในยามนี้ ทำเอาโลหิตในกายหนุ่มแทบจะหยุดไหลเวียน หัวใจเต้นระรัวราวกับกลองศึก หญิงสาวสองนางกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์เนื้อละเอียดออกจากร่างอย่างมิมีพิธีรีตอง
ท่ามกลางแสงสนธยาที่สาดส่องลงมาเป็นสีทอง หญิงสาวที่ดูมีอายุมากกว่ากำลังหันแผ่นหลังขาวเนียนละเอียดราวกับหยกเนื้อดีที่ไร้ตำหนิมาทางด้านที่อวี้เหวินยืนซุ่มอยู่ เอวคอดกิ่วราวกับเอวของนางพญาผึ้ง ภายใต้ร่มผ้าที่นางกำลังปลดออก เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งอันเย้ายวนเพียงเล็กน้อย ราวกับบุปผาแรกแย้มที่กำลังเบ่งบาน ก็สามารถก่อให้เกิดความร้อนรุ่มในหัวใจของบุรุษผู้ใดก็ตามที่ได้พบเห็นจนแทบจะลืมหายใจ
อีกฝั่งหนึ่งเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้ม ผิวพรรณเปล่งปลั่งราวกับกลีบดอกท้อในยามเช้า กำลังจะดึงผ้าเนื้อบางเบาที่ปกปิดทรวงอกลงต่ำ เผยให้เห็นร่องรอยแห่งเนินเนื้อสีขาวอมชมพูระเรื่อที่กำลังผลิบานตามวัย ราวกับผลท้ออ่อนสองผลที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยว รอคอยผู้มาสัมผัส
"ส...สตรี... ถึงสองนาง!" อวี้เหวินอุทานออกมาด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงราวกับเห็นภาพมายา ใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นราวกับผลตำลึงสุกที่ต้องแสงตะวัน ก่อนที่เท้าข้างหนึ่งของเขาจะพลั้งก้าวถอยหลังไปโดยมิได้ตั้งใจ ราวกับถูกแรงดึงดูดอันลึกลับ
"แกร๊ก!" เสียงกิ่งไม้แห้งเล็กๆ ที่ถูกเหยียบหักดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของป่า ราวกับเสียงฟ้าผ่าที่ทำลายความเงียบลงในพริบตา
"ผู้ใด!!" สาวน้อยนามซินซินร้องตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจปนความโกรธเคือง พลางยกมือเรียวเล็กขึ้นปิดบังทรวงอกอวบอิ่มที่เพิ่งจะเผยให้เห็นเพียงเล็กน้อยของตน นางเบิกตากลมโตดุจดวงดาว จับจ้องไปยังทิศทางของต้นเสียงอย่างระมัดระวัง ราวกับลูกแมวที่กำลังขู่ฟ่อ
วูบ! ร่างกายที่กำลังเลือนหายไปราวกับหมอกควันยามเช้าของอวี้เหวิน พลันปรากฏร่างขึ้นมากลางอากาศอย่างฉับพลัน ราวกับภาพลวงตาที่จู่ๆ ก็กลับกลายเป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
"บัดซบ! เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้!" อวี้เหวินสบถออกมาด้วยเสียงต่ำอย่างหัวเสีย ดวงตาคมกริบเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เขาพยายามรวบรวมสมาธิทั้งหมด ส่งกระแสจิตอันแรงกล้าเข้าไปควบคุมลูกแก้วสีดำสนิทอีกครั้ง แต่ทว่าส่งไปเท่าไรก็ไร้ผล ราวกับลูกแก้วนั้นดื้อรั้นไม่ยอมตอบสนองต่อคำสั่งของเขา
เป็นเพียงว่าขีดจำกัดในการใช้ลูกแก้ววิเศษเม็ดนี้ของเขายังมีอยู่มากนัก อีกทั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขาใช้มันอย่างจริงจังในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ ไหนเลยจะล่วงรู้ได้ว่าจะสามารถควบคุมมันไว้ได้นานเพียงใด ผลลัพธ์จึงเป็นอย่างที่เห็น ร่างของเขาปรากฏขึ้นต่อหน้าสตรีทั้งสองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ท่ามกลางความเงียบงันที่น่าอึดอัด ราวกับเวลาได้หยุดนิ่งลงในชั่วขณะนั้นเอง