บทที่11 "สองบุรุษ" หนึ่งหิน...วุ่นวายยกใหญ่!

ยามเมื่อสุริยันเยื้องย่างลงจากนภา โลกธาตุพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มชาด แสงสุดท้ายสาดส่องทาบทาทิวเมฆราวกับผ้าไหมปักลาย เด็กหนุ่มนามว่าอวี้เหวินก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทอดฝีเท้าหนักแน่นแต่มิได้เร่งรีบ จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังน้อย แสงไฟสลัวริบหรี่ลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ในอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้า

ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดวันเกาะกุมหัวใจ ทว่าเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือน ได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา ความอ่อนล้าทั้งมวลก็มลายหายสิ้นดุจไอหมอกยามรุ่งอรุณ

หลังจากอวี้เหวินและบิดาได้ร่วมโต๊ะทานอาหารค่ำ พูดคุยสารทุกข์สุกดิบจนกระทั่งราตรีเริ่มย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด อวี้เหวินจึงนั่งลงขัดสมาธิ สงบจิตใจปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน

ณ ห้วงความมืดมิดภายในเม็ดหินอัญมณีสีดำสนิทที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน ปรากฏร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง

“สามสิบสี่… สามสิบห้า… เวลาล่วงเลยมาเกือบเดือน ข้ากลับเคลื่อนกายมาได้เพียงสามสิบห้าก้าวเท่านั้น เบื้องหน้าจักมีสิ่งใดซ่อนอยู่อีกเล่า?” ซ่งเหยียนรำพึงรำพันกับตนเอง พลางหายใจหอบถี่ราวกับคนจมน้ำ

เขานั่งลง หลับตาลงเพื่อสัมผัสถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบ อาการบาดเจ็บภายในร่างดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ยังไม่ถึงสองในสิบส่วน จัดว่ามิได้รวดเร็วนัก ทว่าก็มิได้เชื่องช้าจนเกินไป พลังทมิฬสายหนึ่งไหลวนเข้าสู่ร่างของเขาอย่างรวดเร็ว

“ยิ่งก้าวลึกเข้าไป พลังทมิฬยิ่งหนาแน่นเข้มข้น นับว่าช่วยเสริมกำลังให้ข้าได้มากโข”

“ผู้ใดกัน… เป็นเจ้าของหินวิเศษเม็ดนี้ หรือว่าจะเป็นผู้อาวุโสท่านใดแห่งเผ่าทมิฬ?” คิ้วของซ่งเหยียนขมวดเข้าหากัน ดวงตาฉายแววครุ่นคิด พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ครู่ต่อมาจึงสั่นศีรษะเบาๆ ใบหน้ากลับมาเคร่งขรึมขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสูดซับไอพลังสีดำเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง

ยามล่วงเลยไปดุจสายธารเนิ่นนาน ในความมืดมิดอันไร้ซึ่งแสงใด สองดวงเนตรดุจดาราพร่างพรายค่อยๆ เปิดเปลือกขึ้นอย่างเชื่องช้า

"หึๆ ด้วยเร็วดั่งสายลมพัดผ่าน อีกมิช้านานบาดแผลของข้าคงจักสมานหาย หากมีซึ่งโอสถทิพย์และสภาพแวดล้อมอันเหมาะสม ข้าจักต้องคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างแน่นอน" ซ่งเหยียนเฟยรำพึงในใจด้วยความยินดี ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังร่างของตนเองที่เริ่มกลับมามีเรี่ยวแรง

ร่างนั้นค่อยๆ พยุงตนลุกขึ้นจากหินประหลาดอันเย็นเยียบ ทันทีที่ก้าวพ้นออกมา แสงอรุณยามเช้าที่สาดส่องลอดรอยร้าวของผนังห้องเข้ามา ราวกับคมกระบี่แทงทะลวงนัยน์ตา จนซ่งเหยียนเฟยต้องยกมือขึ้นป้องปัดความเจิดจ้าแห่งแสงนั้น

เมื่อหันกายไปทางขวา พลันปรากฏร่างหนึ่งนอนหลับใหลมิได้สติ ดุจดั่งตายไปแล้วก็มิปาน มิรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวใดๆ ในโลกภายนอก

"เจ้านี่... สุริยันฉายแสงขึ้นสู่ขอบฟ้าแล้ว เหตุใดจึงยังมิรีบลุกขึ้นมาอีกเล่า?" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความไม่ใส่ใจ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเตะไปยังร่างนั้นอย่างมิลังเล

ตูม! เสียงกึกก้องดังก้องกังวาน ราวกับอสนีบาตฟาดผ่า ร่างหนึ่งกระเด็นออกมาจากกองตู้เสื้อผ้าที่ล้มระเนระนาดอย่างทุลักทุเล มือสั่นเทายื่นออกไปชี้ยังเตียงนอนของตนเอง

"เ..เจ้า!" ก่อนที่สติจะดับวูบลงไปอีกครั้ง ทางด้านซ่งเหยียนเฟยที่ยืนอยู่บนเตียงสูงเบื้องบน มองลงไปยังภาพเบื้องหน้าด้วยอาการตกตะลึงจนมิอาจหุบปากลงได้ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างราวกับจะถลนออกมา ความคิดในสมองว่างเปล่า ราวกับสิ่งที่เห็นมิใช่เรื่องจริง หากแต่เป็นเพียงภาพมายาที่ลวงตาเท่านั้น

ครู่ใหญ่ ซ่งเหยียนเฟยจึงค่อยเรียกสติกลับคืนมา ทว่าในขณะที่ริมฝีปากกำลังจะขยับเปล่งวาจา เสียงหนึ่งพลันดังสนั่น

"เหวินเออร์! เกิดสิ่งใดขึ้น?" พร้อมกับร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง พุ่งทะยานเข้ามาในห้องด้วยความรวดเร็วประดุจสายลม

ซ่งเหยียนเฟยเห็นดังนั้น จึงรีบเร้นกายกลับเข้าไปในหินลึกลับอีกครา

โครม! เสียงประตูถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรง ชายวัยกลางคนผู้นั้นก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือร่างของบุตรชายนอนจมกองซากตู้เสื้อผ้าที่แตกหักยับเยิน

ใบหน้าของเขาบัดนี้เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและตกใจระคนกัน มือทั้งสองข้างยกขึ้นราวกับคนทำสิ่งใดไม่ถูก ทว่าเพียงชั่วพริบตา เขาก็พุ่งตัวเข้าไปราวกับลูกธนู ปัดป่ายเศษไม้ที่ทับถมร่างของอวี้เหวินออกอย่างรวดเร็ว แล้วอุ้มร่างบุตรชายออกมาวางลงบนเตียงไม้ มือแกร่งคว้าข้อมือของอวี้เหวินขึ้นมาตรวจชีพจร

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนแรงแต่ยังคงมีชีวิตอยู่ ทั้งยังไร้ร่องรอยบาดแผลภายนอก ชายวัยกลางคนจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ภายในหินลึกลับ ซ่งเหยียนเฟยยังคงมีสีหน้าประหลาดใจมิคลาย เขาครุ่นคิดในใจอย่างสับสน

"เกิดอันใดขึ้นกันแน่? ข้าเพียงแค่เตะเขาเบาๆ เท่านั้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้?" เขาพยายามรวบรวมสติอีกครั้ง ดวงตาคมกริบกวาดมองไปยังร่างกายของตนเอง สัมผัสถึงพลังภายในที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง เขาทำเช่นนี้อยู่สามอึดใจ ก่อนจะตระหนักถึงความผิดปกติบางอย่าง

"นี่มัน... ร่างกายของข้าฟื้นฟูได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ? เพียงชั่วข้ามคืน อาการบาดเจ็บก็กลับมาดีขึ้นถึงสามส่วน มิหนำซ้ำพลังบ่มเพาะยังฟื้นคืนกลับมาอีก เพียงก้าวเดียวก็เข้าสู่ช่วงกลางของขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว!" ใบหน้าของซ่งเหยียนเฟยปรากฏความตะลึงงันกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะค่อยๆ เข้าใจถึงเหตุผลว่าเหตุใดเพียงแค่เขาเตะอวี้เหวินเบาๆ กลับทำให้บาดเจ็บได้ถึงเพียงนี้

หลังจากนั้น เขาจึงส่งกระแสจิตไปตรวจสอบร่างกายของอวี้เหวินอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าอวี้เหวินเพียงแค่สลบไปเนื่องจากแรงปะทะที่รุนแรงเกินไปเท่านั้น ภายในร่างกายมีเพียงรอยฟกช้ำเล็กน้อย มิได้บาดเจ็บร้ายแรงอันใด สีหน้าของซ่งเหยียนเฟยจึงค่อยๆ คลายความกังวลลง

ยามสุริยันเคลื่อนคล้อยสู่กึ่งกลางนภา แสงทองส่องจ้าลงมายังพื้นพิภพ บ่งบอกถึงเวลาเที่ยงวัน ร่างที่นอนสงบนิ่งดุจหลับใหลในห้วงนิทราอันแสนหวาน พลันปรากฏร่องรอยแห่งการเคลื่อนไหว เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ชายวัยกลางคนที่กำลังงีบหลับด้วยอาการศีรษะผงกขึ้นลงอยู่เป็นระยะ พลันรู้สึกตัวขึ้น ดวงตาที่ปรืออยู่เมื่อครู่กลับมาสว่างใสในทันที

"เจ้าตื่นแล้วหรือ เหวินเออร์? มีอาการบาดเจ็บที่ใดหรือไม่?" ชายวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย

ร่างที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆ ขยับกายไปมาด้วยความยากลำบาก

"แค่กๆๆ โอ๊ย... ปวดร้าวไปทั่วทั้งร่าง ท่านพ่อ" อวี้เหวินนิ่วหน้าแสดงความเจ็บปวดออกมา

"เจ้าอย่าได้รีบร้อน เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? ข้าพิเคราะห์ดูแล้ว มิปรากฏร่องรอยว่าจะมีผู้ใดบุกรุกเข้ามาทำร้ายในเรือนของเรา"

"เอ่อ..." อวี้เหวินหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ความขุ่นเคืองพลันก่อตัวขึ้นในใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความไม่พอใจ "เป็นเพราะความประมาทของข้าเอง ท่านพ่อ ข้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาใหม่ เพียงแต่ใจร้อนอยากจะเห็นผลลัพธ์ในทันที จึงเกิดการปะทะกันของพลังภายใน พลังทั้งหมดจึงถาโถมเข้าใส่ร่างของข้า จนเป็นดังที่เห็น" เขาเค้นเสียงกล่าวออกมาพร้อมกับกัดฟันแน่น

ชายวัยกลางคนถอนหายใจยาวเหยียด พร้อมกับส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ

"เหวินเออร์ การบ่มเพาะพลังมิอาจเร่งรัด หากรากฐานมิได้มั่นคงแล้วไซร้ จะก้าวไปสู่จุดสูงสุดได้อย่างไร ทุกสิ่งล้วนต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน ค่อยเป็นค่อยไปจึงจะเกิดผลดีในระยะยาว"

อวี้เหวินยกมือขึ้นประสานคารวะ "ขอรับ ท่านพ่อ ลูกเข้าใจแล้ว"

ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อย

"เจ้านอนพักผ่อนเถิด ยังดีที่มิได้เป็นอันใดมากนัก คราหน้าอย่าได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก"

อวี้เหวินน้อมรับคำสั่ง หลังจากที่บิดาเดินออกจากห้องไปแล้ว เขาก็เริ่มตรวจสอบสภาพร่างกายของตนเอง เมื่อพบว่ามีเพียงรอยฟกช้ำเล็กน้อยสองสามแห่ง ซึ่งคงจะหายดีได้ภายในสองสามวัน หากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ทว่าเมื่อตระหนักว่าตนเองบาดเจ็บเช่นนี้ คงมิสามารถขึ้นไปฝึกฝนวิชาบนยอดเขาได้ ความเศร้าสร้อยจึงบังเกิดขึ้นในใจ ทว่าอวี้เหวินมิปล่อยให้ความคิดด้านลบล่องลอยอยู่ในห้วงสมองนานนัก

'ผู้ฝึกตนย่อมต้องมีช่วงเวลาพักผ่อนบ้าง การหักโหมเกินไปย่อมมิเป็นผลดีต่อรากฐาน' เขาคิดปลอบประโลมตนเอง พลางพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นด้วยกับความคิดของตน

จากนั้นดวงตาคมกริบก็จับจ้องไปยังหินลึกลับที่ห้อยอยู่บนคอ พร้อมกับเอ่ยนามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความตั้งใจ "ซ่งเหยียนเฟย!!!"

ฉับพลัน! ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า พร้อมกับยกมือขึ้นเกาศีรษะของตนเองขึ้นลงซ้ำๆ ด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน

"แฮะๆๆ ข้าขออภัย ข้ามิได้ตั้งใจจริงๆ ข้าคาดมิถึงว่ามันจะรุนแรงถึงเพียงนั้น ข้าเพิ่งจะรู้สึกได้ถึงพลังที่เริ่มฟื้นคืนกลับมาพอสมควรก็ตอนที่เตะเจ้าไปนั่นแหละ" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด

"เช่นนั้นเจ้าก็มิคิดจะชดใช้ให้ข้าเลยหรือ?" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย

"มิใช่ๆ ชดใช้ๆ แน่นอน เจ้าปรารถนาสิ่งใดหรือ?" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวด้วยท่าทางเอาอกเอาใจอย่างยิ่ง

อวี้เหวินเห็นสีหน้าประจบประแจงของซ่งเหยียนเฟยแล้ว ก็แอบยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ด้วยนานทีปีหนจึงจะได้เห็นท่าทางเช่นนี้จากอีกฝ่าย

"ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก หากคิดออกแล้ว ข้าจะบอกเจ้าก็แล้วกัน" อวี้เหวินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยดุจสายลม

"ย่อมได้ สุดแต่ท่านจะประสงค์ คุณชายอวี้" ซ่งเหยียนเฟยพยักหน้าขึ้นลงถี่ๆ ยิ้มแย้มยอมรับแต่โดยดี ทว่าภายในจิตใจกลับขุ่นเคืองเล็กน้อยกับท่าทางโอ้อวดของอวี้เหวิน จนต้องกัดฟันเน้นย้ำคำสุดท้ายออกมาอย่างแฝงความไม่พอใจ

---

ภายในห้องโถงอันโอ่อ่าตระการตา ชายร่างสูงในชุดคลุมสีดำสนิทกำลังคุกเข่าลงเบื้องหน้าบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งมีเส้นผมสีแดงเพลิงราวกับเปลวสุริยาที่พร้อมจะแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้

"เรียนนายท่าน พวกเราได้สืบสวนตามบัญชาแล้วขอรับ" ชายชุดดำประสานมือคารวะ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

"ว่ามา" บุรุษผมแดงที่ประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงสง่าดุจบัลลังก์แห่งจักรพรรดิ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบไร้ซึ่งความรู้สึกใด

"ผู้ที่ลงมือต่อท่านประมุขน้อย เป็นไปตามที่ท่านคาดการณ์ไว้มิมีผิดเพี้ยน สองคนมาจากตระกูลเหลียนและเจิน ส่วนอีกหนึ่งเป็นคนจากตระกูล...ซ่ง ขอรับ รายละเอียดอื่นๆ ก็เป็นไปตามที่ท่านได้ล่วงรู้แล้วเช่นกันขอรับ"

เมื่อได้ยินคำรายงาน บุรุษผมแดงจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ในดวงเนตรสีชาดคู่นั้นราวกับห้วงอเวจีเพลิงที่พร้อมจะกลืนกินและเผาผลาญทุกสิ่งที่มองเห็น แววตาคมกริบดุจใบมีดจ้องมองไปยังชายชุดดำ

"มันเป็นผู้ใด?!"

"จากตระกูลเหลียน น่าจะเป็นนายน้อยแห่งตระกูลเหลียน เหลียนตงเยว่ ส่วนจากตระกูลเจิน คือนายน้อยแห่งตระกูลเจิน เจินเหยียนขอรับ นายท่าน" ชายชุดดำก้มหน้าลงรายงานสิ่งที่ตนได้สืบมา

"หึ เหลียนคุน กับ เจินหมิง มิคิดจะควบคุมดูแลบุตรชายของตนเองเลยรึอย่างไร จึงปล่อยให้เที่ยวอาละวาดได้ถึงเพียงนี้"

เปรี้ยง! บุรุษผมแดงทุบลงบนที่พักแขนของเก้าอี้อย่างรุนแรง พลังอำนาจแผ่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง แม้มิได้ตั้งใจจะทำลาย เพียงแต่ระบายโทสะออกมาตามอารมณ์ ทว่าด้วยระดับการบ่มเพาะที่สูงส่ง แม้เพียงเล็กน้อย ผลลัพธ์ที่ตามมากลับมิได้น้อยตามไปด้วย เกร็ก! รอยร้าวเริ่มปรากฏขึ้นบริเวณที่ถูกทุบ แม้ว่าเก้าอี้ตัวนี้จะถูกสร้างขึ้นจากวัสดุล้ำค่าในตำนานมากมาย ก็ไม่อาจทานทนต่อพลังของบุรุษผมแดงผู้นี้ได้

"อีกคนเล่า?" บุรุษผมแดงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจดุดัน

"คือ...คือว่า..." ชายชุดดำเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก อ้ำอึ้งมิกล้าที่จะเปล่งวาจาออกมาโดยง่าย

"มีสิ่งใดกัน? เหตุใดจึงไม่กล่าวออกมาให้กระจ่าง ข้าสั่งสอนเจ้าให้เป็นคนเช่นนี้รึ?" บุรุษผมแดงจ้องมองไปยังชายชุดดำด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความกริ้วโกรธ

"มิใช่ๆ ขอรับ ท่านมิได้สั่งสอนข้าเยี่ยงนั้น" เขาลอบเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผมแดงเพียงแวบเดียว ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ หลับตาแน่น

"อีกผู้หนึ่งที่ร่วมลงมือทำร้ายท่านประมุขน้อยคือ... นายน้อยซ่ง...ซ่งเหว่ยหนานขอรับ" เขาตัดสินใจกล่าวออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด ราวกับได้ปลดปล่อยภาระหนักอึ้งที่กดทับอยู่ในอกจนหมดสิ้น

ทางด้านบุรุษผมแดง ร่างกายของเขาพลันหยุดนิ่งราวกับต้องมนต์กาล ชื่อนั้นดังก้องอยู่ในห้วงความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประหนึ่งตอกย้ำให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่มิได้ผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ บุรุษผมแดงจึงเริ่มขยับกายอีกครั้ง

"เป็นความจริงหรือ?" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ

"เป็นความจริงขอรับ ท่านประมุข พวกเราได้สืบสวนและตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครา แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงชี้ชัดไปในทิศทางเดียวกันว่าเป็นนายน้อยซ่งเหว่ยหนานขอรับ"

"บัดนี้เขาอยู่ที่ใด?" บุรุษผมแดงเอ่ยถามอีกครั้ง น้ำเสียงยังคงแฝงไว้ด้วยความกดดัน

"จากการสืบสวน ทราบว่านายน้อยซ่งได้ออกจากจวนไปเมื่อสองราตรีที่แล้ว โดยมีจุดประสงค์เพื่อล่าสัตว์อสูรขอรับ" ชายชุดดำก้มหน้าตอบตามความเป็นจริง

"อืม เจ้าไปได้" บุรุษผมแดงโบกมือเป็นสัญญาณให้ชายชุดดำถอยออกไป

"น้อมรับบัญชา นายท่าน" ชายชุดดำประสานมือคารวะ ก่อนจะลุกขึ้นและก้าวถอยหลังออกไปจากห้องโถงอย่างเงียบเชียบ

หลังจากที่ชายชุดดำลับหายไปจากสายตา

บุรุษผมแดงผู้นั้นจึงค่อยๆ หลับเปลือกตาลงอีกครั้ง ปล่อยให้ห้วงความคิดจมดิ่งสู่เรื่องราวที่เพิ่งได้รับรู้ ในบางห้วงขณะ ใบหน้าคมสันของเขากลับปรากฏร่องรอยแห่งความเจ็บปวดระคนความเสียใจ ความตกตะลึง และความผิดหวังฉายชัดออกมาอย่างมิอาจปิดบังได้...