บทที่12 ขบวนสินค้าตระกูลหวัง

เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วค่อยๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ยังคงพร่าเลือนและง่วงงุน ร่างกายที่อ่อนล้าประหนึ่งถูกบั่นทอนเรี่ยวแรงของอวี้เหวินค่อยๆ ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เนื้อดี มือเรียวลูบไล้ใบหน้าของตนเองเบาๆ เพื่อขับไล่ความง่วงงุนให้จางหายไป

หลังจากเหตุการณ์พลิกผันเมื่อสามราตรีล่วงผ่าน อาการบาดเจ็บของอวี้เหวินก็สมานหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รุ่งอรุณแห่งวันนี้ เขาตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปฝึกฝนวิชาอีกครั้ง อวี้เหวินเริ่มบริหารร่างกายด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคยเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนจะจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ สำหรับการเดินทาง ในขณะที่เขากำลังตรวจตราสิ่งของภายในห่อผ้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในห้วงความคิด

"วันนี้เป็นวันที่จะต้องบุกเข้าไปในเขตแดนของพยัคฆ์หางแมงป่อง ซึ่งด้วยพละกำลังของเจ้าในยามนี้ ยังมิอาจบุกเข้าไปโดยลำพังได้ จำเป็นต้องมีสิ่งป้องกันไอความร้อนอันร้อนระอุจากรังของพวกมัน"

อวี้เหวินแสดงสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัย

"อย่าว่าแต่สิ่งใดใช้ป้องกันเลย แม้แต่ชื่อของมัน ข้ายังไม่เคยได้ยินมาก่อน ของหายากเช่นนี้ เราจะหามาจากที่ใดกัน?"

"มิต้องกังวลไป ฮ่าๆ มีนายน้อยผู้นี้อยู่ทั้งคน สิ่งวิเศษป้องกันความร้อนมีอยู่มากมายในโลกหล้า ทว่าสิ่งของเหล่านั้นกลับหาได้ยากยิ่งในดินแดนทุรกันดารเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้น เจ้ากลับมีโชคอยู่บ้าง"

"ในเขตแดนของพยัคฆ์หางแมงป่อง กลับมีพืชชนิดหนึ่งเติบโตอยู่ พืชชนิดนี้มีนามว่า กระบองเพชรลิ้นอสรพิษ!! น้ำค้างที่เกาะกุมบนกลีบของมันสามารถนำมาใช้ป้องกันไอความร้อนที่สูงเกินบรรยายได้" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

"เป็นเช่นนั้น... พืชพรรณสามารถเติบโตบนผืนดินที่ร้อนระอุเช่นนั้นได้จริงหรือ?" อวี้เหวินพึมพำกับตนเองเบาๆ ใบหน้าของเขาปรากฏความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

"ฮ่าๆ เจ้าหนู ธรรมชาติย่อมมีความสมดุลในตัวของมันเอง ไม่มีสิ่งใดที่จะอยู่เหนือกว่าสิ่งใดได้อย่างแท้จริง ทุกสรรพสิ่งต่างค้ำจุนและคานอำนาจซึ่งกันและกัน ท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ กลับมีโอเอซิสอันชุ่มฉ่ำ มีพืชพรรณที่ช่วยคลายความร้อนจากไอแดดอันแผดเผา ท่ามกลางดินแดนน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ กลับมีต้นเหมยเพลิงเหมันต์ ซึ่งเป็นพืชธาตุร้อนชนิดหนึ่งเติบโตอยู่" ซ่งเหยียนเฟยแสดงสีหน้าภาคภูมิใจในความรู้ของตนขณะกล่าวอธิบาย

อวี้เหวินผงกศีรษะเล็กน้อย แสดงความเข้าใจในสิ่งที่ซ่งเหยียนเฟยกล่าว นั่นทำให้เขาเข้าใจถึงความลี้ลับและความสมดุลของโลกใบนี้มากยิ่งขึ้น

หลังจากที่จัดการความคิดทั้งหมดในหัวของตนเองเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตรวจตราสัมภาระอีกครั้ง ก่อนจะสะพายห่อผ้าและออกเดินทางในทันที

เมื่ออวี้เหวินก้าวพ้นธรณีประตูเรือน ก็เอ่ยคำลาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"ท่านพ่อ ลูกขอลาไปก่อน"

"อืม ดูแลตนเองให้ดี จงแคล้วคลาดปลอดภัย" เสียงทุ้มนุ่มของชายวัยกลางคนดังแว่วออกมาจากเรือนไม้หลังน้อยของอวี้เหวิน

อวี้เหวินหันกลับไปมองบิดา พลางผงกศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ก่อนจะก้าวเดินออกจากประตูเรือนไปอย่างเด็ดเดี่ยว

ชายวัยกลางคนภายในเรือน

เมื่อเห็นบุตรชายลับสายตาไปแล้ว จึงทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำคร่า พร้อมกับถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ทว่าบนใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ

"หนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยอุปสรรคและภยันตราย หากแต่พ่อเห็นเจ้ามีความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง เพียงเท่านี้พ่อก็เป็นสุขแล้ว" เขาพึมพำกับตนเอง ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง หวนรำลึกถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นในปีนี้

ทว่าครู่ต่อมา ใบหน้าของเขากลับฉายแววโศกเศร้า เสียใจ และความเคียดแค้นออกมาอย่างมิอาจปกปิด

"ตระกูลเฉิน!! พวกเจ้าจะต้องได้รับผลกรรมในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำลงไปอย่างแน่นอน..."

ขณะที่อวี้เหวินกำลังก้าวเท้าไปตามทางเดินดินลูกรังภายในหมู่บ้านเล็กๆ สองข้างทางเรียงรายไปด้วยบ้านไม้หลังคามุงจาก บางหลังมีดอกไม้เล็กๆ บานสะพรั่งอยู่ริมรั้ว แสงแดดยามเช้าส่องลอดใบไม้ลงมาเป็นเงาพาดผ่านพื้นดิน

กุบกับๆๆ เสียงเกือกม้าดังก้องกังวานมาจากทางโค้งเบื้องหน้า ขบวนรถม้าที่ยาวเหยียดค่อยๆ ปรากฏสู่สายตา แวดล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งที่นั่งอยู่ภายในเกวียนที่ตกแต่งอย่างดี และบางส่วนเดินเท้าเคียงข้างขบวน เบื้องหน้าสุดของขบวน มีบุรุษวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ ผิวสีแทนจากการตากแดด สวมเสื้อผ้าหนังสีน้ำตาลเข้มดูทะมัดทะแมง กำลังนั่งหลังตรงอยู่บนหลังอาชาตัวมหึมา มันมีขนสีขาวราวกับปุยเมฆลอยล่องในท้องฟ้า ยามเมื่อก้าวเดินแต่ละครั้งก็ดูราวกับเหาะเหินไปบนพื้นดินด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง

"หรือว่าจะเป็น... อาชาเมฆา...?" อวี้เหวินพึมพำกับตนเองอย่างแผ่วเบา ดวงตาจับจ้องไปยังลักษณะอันสง่างามและพลังที่แผ่ออกมาจากม้าตัวนั้นอย่างไม่ละสายตา

อาชาเมฆาเป็นสัตว์อสูรที่มีชื่อเสียงในด้านความเร็วเหนือใคร มักถูกนำมาใช้เป็นพาหนะสำหรับผู้ฝึกตนและขบวนสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเดินทางระยะไกล เนื่องจากมันมีพละกำลังแข็งแกร่ง วิ่งได้ทนทาน และยังสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ดี ทว่าอาชาเมฆากลับเป็นสัตว์หายาก และยังมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนในขอบเขตหลอมรวมกายชั้นต้น ด้วยเหตุนี้ จึงมีเพียงตระกูลใหญ่ หรือสำนักที่มีอำนาจเท่านั้น ที่สามารถครอบครองอาชาเมฆาไว้ในครอบครองได้เป็นจำนวนมาก

"เจ้าหนุ่มเบื้องหน้า หากยังอยากมีชีวิตอยู่ จงหลีกทางไปเสีย!" บุรุษวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนหลังอาชาเมฆาตัวหน้าสุด ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงห้าวหาญ ดวงตาคมกริบมองลงมายังอวี้เหวินด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนัก

ในขณะที่อวี้เหวินกำลังครุ่นคิดถึงที่มาและพลังของม้าตัวนั้น เสียงตะโกนที่ดังขึ้นก็กระชากความคิดของเขากลับมาสู่ปัจจุบัน ทำให้ตระหนักได้ว่าตนเองกำลังยืนขวางอยู่กลางทาง เขาจึงรีบก้าวเท้าหลีกทางให้กับขบวนอย่างรวดเร็ว ใบหน้ายังคงฉายแววครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งได้เห็น

ฮึ่ม! เมื่อเห็นว่าอวี้เหวินหลีกทางให้แต่โดยดีแล้ว ชายผู้นั้นก็แค่นเสียงออกมาจากลำคอเบาๆ พร้อมกับกระตุกบังเหียนให้อาชาเมฆาทะยานต่อไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงฝุ่นคลุ้งเล็กน้อยบนทางเดิน

บรรดาชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นต่างพากันออกมาจากเรือน มองดูขบวนเกวียนขนาดมหึมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ และเริ่มซุบซิบนินทากันเบาๆ

"หมู่บ้านอันเงียบสงบของเรา เหตุใดจึงมีขบวนใหญ่โตเช่นนี้เข้ามาได้เล่า?" ชาวบ้านผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย

"พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าเป็นขบวนของตระกูลใด หรือเป็นของผู้ใดกัน?" ชายอีกคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความอยากรู้

"ข้าเองก็สงสัยเช่นเดียวกับท่าน ข้าไม่เคยเห็นขบวนใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลย แม้เมื่อห้าปีก่อนที่ข้าเคยเดินทางไปยังเมืองใหญ่" ชายอีกผู้หนึ่งส่ายศีรษะด้วยความฉงน

"นี่คงจะเป็นขบวนสินค้ากระมัง..." ชายชราผู้หนึ่งกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก

หลังจากเวลาผ่านไปเพียงครู่ ขบวนเกวียนยาวเหยียดก็ค่อยๆ หยุดลง พร้อมกับรถม้าอีกหลายสิบคันจอดเรียงราย

"ขบวนสินค้าของตระกูลหวังได้มาถึงแล้ว พวกเราจะหยุดพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาห้าวัน ก่อนจะเดินทางไปยังเมืองต่อไป ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านสามารถเข้ามาเลือกชมและเลือกซื้อสินค้าได้ตามอัธยาศัยนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป" เสียงก้องกังวานดังขึ้นมาจากกลางขบวน ก่อนที่จะปรากฏร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวลงมาจากรถม้าคันหรู

ชายผู้นี้สวมใส่เสื้อผ้าไหมสีฟ้าอ่อน เนื้อผ้าละเอียดประณีต รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวผ่อง ใบหน้าคมคายแต่ดูอ่อนเยาว์ ดวงตามีประกายสดใส บ่งบอกถึงความเป็นทายาทของตระกูลร่ำรวย แม้จะยังเยาว์วัยเพียงยี่สิบต้นๆ แต่กลับมีท่าทางสง่างามเกินวัย เขาก้าวลงมาจากรถม้าอย่างนุ่มนวล พร้อมกับยกมือขึ้นประสานคารวะต่อผู้คนที่ยืนอยู่โดยรอบ

"ข้าน้อยหวังหยวน เป็นผู้นำและหัวหน้าขบวนสินค้าในครั้งนี้ หากท่านใดมีข้อสงสัยหรือประสงค์สิ่งใดเกี่ยวกับสินค้า การซื้อขาย หรือเรื่องราวอื่นๆ ท่านสามารถแจ้งแก่ข้าน้อยได้ทุกเมื่อ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน พร้อมกับฉีกยิ้มอย่างจริงใจ แสดงถึงความเป็นมิตรและพร้อมให้ความช่วยเหลือ

"ตระกูลหวัง... ช่างเป็นชื่อที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน" เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มชาวบ้านเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ ดวงตาเป็นประกายวาววับ

"กบในกะลาครอบที่ไม่เคยได้ออกไปสัมผัสโลกภายนอกกว้างใหญ่เช่นเจ้า จะรู้จักตระกูลหวังได้อย่างไร? ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นทางใต้แห่งนี้ รองลงมาจากสุสานกระบี่ทลายสวรรค์ พวกเขาโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งในด้านการค้า ขบวนสินค้าของพวกเขามีชื่อเสียงขจรขจายในเรื่องของความซื่อตรงสุจริต สินค้าก็มีหลากหลายครบครัน ทั้งยังมีบริการที่เป็นเลิศ" ชายศีรษะโล้น รูปร่างสูงใหญ่กำยำราวกับหมีป่า กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ดวงตาเล็กเรียวเหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยาม

"เจ้า..." เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ โพล่งออกมาด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นรูปร่างที่ใหญ่โตและดุดันของชายศีรษะโล้นผู้นั้น คำพูดทั้งหมดที่เตรียมจะกล่าวก็พลันจุกอยู่ที่ลำคอ เขาได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคือง

ทางด้านชายศีรษะโล้น เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงอดกลั้นมิได้แสดงอาการโต้ตอบออกมา ก็ปรากฏร่องรอยแห่งความเสียดายเล็กน้อยบนใบหน้าเหี้ยมเกรียมของเขา เขาจึงแค่นเสียงออกมาเบาๆ

"หึ" หากเด็กหนุ่มมิได้ลงมือก่อน เขาก็ไม่อาจหาเรื่องได้โดยง่าย มิเช่นนั้นคงถูกตราหน้าว่ารังแกเด็กและผู้อ่อนแอกว่า แต่หากเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เขาก็จะมีข้ออ้างกับผู้คนได้ว่า 'ข้าเพียงแค่ป้องกันตนเองเท่านั้น'

ในขณะนั้นเอง กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็เร่งรีบเดินตรงเข้ามายังขบวนสินค้า มุ่งหน้าไปยังนายน้อยหวังด้วยท่าทางกระตือรือร้น ผู้นำของกลุ่มคือชายชราผมขาวโพลนผู้หนึ่ง ร่างกายซูบผอมแต่ยังคงมีแววตาที่กระตือรือร้น เขารีบเร่งฝีเท้าเข้ามาเพื่อคารวะนายน้อยหวัง

เมื่อเข้ามาใกล้ถึงระยะหนึ่ง องครักษ์สองนายที่ยืนอยู่ข้างกายนายน้อยหวังก็ก้าวออกมาขวางหน้ากลุ่มคนเหล่านั้น พร้อมกับมือที่แตะไปยังด้ามกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอว

ชายชราเห็นดังนั้นจึงรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

"ข้าน้อยหลิวเหวินหง เป็นผู้ดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ ขอคารวะนายน้อยหวัง" เขายกมือขึ้นประสานคารวะอย่างนอบน้อม พร้อมกับกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ทำตาม

เมื่อได้ยินคำกล่าวของชายชรา นายน้อยหวังจึงก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อย พร้อมกับยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้องครักษ์และผู้ติดตามถอยกลับไป

องครักษ์ทั้งสองมีสีหน้าเรียบเฉย เก็บกระบี่เข้าฝักแล้วเดินถอยกลับไปยังตำแหน่งเดิมอย่างเป็นระเบียบ

"คารวะท่านผู้อาวุโสหลิว พวกเราจะหยุดพักและทำการค้าขายที่นี่เป็นเวลาห้าวัน รบกวนท่านผู้อาวุโสแล้ว" นายน้อยหวังเดินเข้าหาชายชราพร้อมกับประสานมือคารวะตอบด้วยความสุภาพและมีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า

"มิกล้าๆ เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับพวกเราที่ได้ต้อนรับขบวนสินค้าอันยิ่งใหญ่ของนายน้อยหวังหยวน หากท่านมีสิ่งใดที่ต้องการ หรือประสงค์ความช่วยเหลือประการใด โปรดแจ้งแก่ข้าน้อยได้ทันที ข้าน้อยยินดีจัดหาให้ท่านโดยเร็วที่สุด" ชายชราแซ่หลิวรีบส่ายหน้าปฏิเสธคำกล่าว ก่อนจะประสานมือคารวะพร้อมกับโค้งกายลงเล็กน้อยแสดงความเคารพต่อนายน้อยหวัง

จากนั้นเขาก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเอาใจ

"นายน้อยเดินทางมาไกล ย่อมต้องมีความเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา ข้าน้อยได้จัดเตรียมที่พัก อาหาร และเครื่องดื่มไว้พร้อมสรรพแล้ว บางที..." เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็ชะเง้อศีรษะมองนายน้อยหวังหยวนเล็กน้อยอย่างมีความหมาย

นายน้อยหวังหยวนเดินทางรอนแรมไปทั่วแคว้นใต้ พบปะผู้คนมามากมาย ย่อมเจนจัดต่อการประจบสอพลอเอาใจ ไม่ว่าจะเยือนเมืองใด แคว้นใด ย่อมมีผู้คนเข้ามาตีสนิท หวังผูกมิตรกับหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล และเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดรายหนึ่งของแคว้นใต้ ผลประโยชน์ที่ได้รับนั้นมากมายมหาศาล ยากที่จะมีผู้ใดปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้หลุดลอยไป

และหวังหยวนผู้นี้ก็มิได้โง่เขลา เขาย่อมล่วงรู้ถึงความปรารถนาเหล่านั้นเป็นอย่างดี จึงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างเข้าใจ

"รบกวนท่านผู้อาวุโสหลิวแล้ว"

ชายชราเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มแห่งความสุขอย่างปิดไม่มิด

"เป็นเกียรติแก่ข้าน้อยยิ่งนัก นายน้อยหวัง เชิญทางนี้" เขากล่าวพร้อมกับผายมือไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความนอบน้อม

ในโลกแห่งการค้า ผลประโยชน์ย่อมมาเป็นอันดับแรก ทุกผู้คนล้วนคำนึงถึงสิ่งนี้ ต่างเข้าหากันด้วยผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง 'หากท่านมีผลประโยชน์ ข้าก็จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือท่าน' น้อยนักที่จะมีการช่วยเหลือกันด้วยใจบริสุทธิ์ในแวดวงนี้ นายน้อยหวังหยวนค้าขายมาหลายปี แม้ประสบการณ์อาจจะยังไม่เจนจัดเท่าผู้เฒ่าผู้แก่ แต่เขาก็เข้าใจถึงหลักการสำคัญข้อนี้เป็นอย่างดี

นายน้อยหวังหยวนพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินนำไปในทิศทางที่ชายชราชี้ พร้อมด้วยผู้ติดตามของตนเอง จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบดังเดิม

"ในที่สุดตาเฒ่าผู้นั้นก็ยอมออกมาเสียที นานนับร้อยพันราตรี ข้ามิเคยเห็นเงาของเขาเลยด้วยซ้ำ"

เสียงกระซิบกระซาบพลันดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่ยืนมองขบวนสินค้า

"เฮ้ย! เจ้าจงระวังวาจา หากเจ้ามิใคร่มีชีวิตอยู่ ก็อย่าได้ลากผู้อื่นไปสู่ความตายด้วยกัน" เสียงอีกผู้หนึ่งตอบกลับมาด้วยความหวาดหวั่น

"ใช่ๆๆ ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านของเราอยู่ดี" เสียงพูดคุยของชาวบ้านเริ่มดังกระหึ่มขึ้น

"พวกเจ้าควรจะหุบปากเสีย มิเช่นนั้นเกรงว่าศีรษะของพวกเจ้าจะหลุดออกจากบ่าโดยมิรู้ตัว"

"............"

เมื่อประโยคสุดท้ายนี้ถูกกล่าวขึ้น ความเงียบงันก็กลับคืนมาอีกครั้ง หลังจากเสียงซุบซิบนินทาได้เริ่มต้นขึ้นเพียงครู่

เป็นที่รู้กันว่าชายชราแซ่หลิวผู้นี้คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ ทว่าเขากลับเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง แม้จะอ้างตนว่าเป็นผู้นำหมู่บ้าน แต่เขากลับมิเคยกระทำสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ หรือสร้างคุณงามความดีให้กับชาวบ้านหรือหมู่บ้านแห่งนี้เลย เขามักจะเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน มิเคยสนใจความเป็นตายของผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อใดที่มีผู้มีอำนาจจากตระกูลใหญ่ หรือมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตน ชายชราผู้นี้จะรีบปรากฏตัวออกมาเป็นคนแรกเสมอไป

เมืองเทียนฟูแห่งนี้มีขนาดเล็กเสียจนแทบมิอาจเรียกว่าเมืองได้ การขนานนามว่าเป็นหมู่บ้านก็คงมิผิดอันใดนัก สำหรับชายชราผู้นั้น การเรียกว่าผู้นำหมู่บ้านนั้นดูจะสูงส่งเกินไปนัก หากจะกล่าวให้ถูกถ่อง คงต้องเรียกว่าเป็นอันธพาลครองถิ่นแห่งหมู่บ้านกระมัง มีเพียงพละกำลังและความเหี้ยมหาญ มิเคยคิดกระทำการใดเพื่อประโยชน์สุขของชาวบ้านแม้แต่น้อย

หมู่บ้านแห่งนี้ แม้จะมีขนาดเล็กกระจ้อยร่อย ทว่ากลับมีลักษณะบางประการที่คล้ายคลึงกับเมืองใหญ่ในแคว้นอย่างน่าประหลาด สิ่งที่คล้ายกันนั้นมิใช่ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ หรือความเป็นอยู่ของประชาชนที่สะดวกสบาย หากแต่เป็นความสัมพันธ์ของผู้คนที่จืดจางและเหินห่างกันอย่างยิ่ง ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาม มุ่งสนใจแต่เรื่องราวของตนเองเพียงเท่านั้น สิ่งนี้ประจักษ์ชัดจากเหตุการณ์เมื่อคราที่มารดาของอวี้เหวินถูกคนจากตระกูลเฉินจับตัวไป แม้จะมีผู้คนมายืนมุงดูมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้าให้ความช่วยเหลือแม้แต่ผู้เดียว...

"ขบวนสินค้า..." อวี้เหวินทอดสายตามองไปยังขบวนเกวียนยาวเหยียด พลางพึมพำกับตนเองเบาๆ

"นับแต่ข้าจำความได้ มิเคยปรากฏขบวนสินค้าเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อน เหตุใดวันนี้จึงมี..." อวี้เหวินรู้สึกประหลาดใจระคนสงสัย

"เฮ้อ ต่อให้มีขบวนสินค้ามาแล้วอย่างไร ต่อให้มีสิ่งของที่ข้าปรารถนา แล้วข้าจะเอาเงินทองจากที่ใดมาจับจ่ายซื้อหา" เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงท้อแท้ ดวงตาฉายแววเศร้าสร้อยเล็กน้อย ก่อนจะหันกายกลับ เตรียมเดินผ่านฝูงชน มุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่ตั้งใจไว้ต่อไป

"อันที่จริงเรื่องนี้ย่อมมีทางออก ข้าสังเกตเห็นว่าเจ้ามีกลิ่นอายของผู้ฝึกตน น้องชาย หากเจ้าต้องการเงินทอง เพียงเจ้าออกล่าสัตว์อสูร หรือเก็บเกี่ยวพืชสมุนไพรที่มีคุณค่าต่อการบ่มเพาะ นำมาขายให้แก่ข้า ข้าจะให้ราคาที่เจ้าพึงพอใจอย่างแน่นอน" เสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้นข้างกายอวี้เหวิน พร้อมกับรอยยิ้มที่แสนเป็นมิตร ในขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านกลุ่มผู้คนไป

อวี้เหวินพลันสะดุ้งตกใจ หัวใจเต้นระรัวด้วยความประหลาดใจ ที่มิรู้ว่าผู้ใดมาปรากฏกายอยู่ข้างกายเขาโดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว เขาจึงรีบหันขวับไปยังทิศทางของเสียงนั้น

ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือชายหนุ่มวัยราวยี่สิบปี สวมชุดยาวสีเขียวอ่อน เนื้อผ้าลื่นไหล กำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ ชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าหมดจดราวกับสตรีถึงห้าส่วน ทำให้หวี้เหวินรู้สึกขนลุกซู่เล็กน้อยเมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาที่อ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความลึกลับ

"ท่าน...ท่านคือ?" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนระแวง

ชายหนุ่มผู้นั้นแย้มยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

"ข้าหวังหลิน เป็นเจ้าของร้านที่รับซื้อและจำหน่ายของดีจากสัตว์อสูรและสมุนไพรต่างๆ ของขบวนสินค้าแห่งนี้ ดังนั้นน้องชาย หากเจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการขายและแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา สามารถมาพบข้าได้ทุกเมื่อ" เขากล่าวพร้อมกับประสานมือคารวะอย่างสุภาพ

อวี้เหวินจึงรีบประสานมือตอบด้วยความเคารพ

"เป็นเช่นนั้นเอง... พี่ชายหวัง ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่าน ซึ่งทำให้ข้ามองเห็นทางออก ข้ากำลังจะออกไปล่าสัตว์อยู่พอดี หากมีสิ่งใดที่สามารถนำมาขายได้ ข้าจะมาหาท่านในทันที" เขาแสดงสีหน้าเข้าใจพร้อมกับกล่าวรับคำด้วยความยินดี

"ฮ่าๆ น้องชาย เจ้ามิต้องเกรงใจ มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะให้ราคาแก่เจ้าอย่างงามแน่นอน" ชายหนุ่มหวังหลินโบกมือเบาๆ แสดงออกถึงความไม่ถือสา

"ขอบคุณท่าน ข้าจำเป็นต้องไปแล้ว พี่ชายหวัง แล้วพบกันใหม่" อวี้เหวินประสานมือคารวะอีกครั้ง

"โอ้ ข้ารบกวนเวลาของเจ้าเสียแล้ว ขออภัยน้องชาย ไว้พบกันใหม่" เขาประสานมือตอบกลับด้วยรอยยิ้ม หลังจากทั้งสองกล่าวลาซึ่งกันและกันเรียบร้อยแล้ว อวี้เหวินจึงรีบก้าวเท้าเดินผ่านฝูงชน มุ่งหน้าไปยังทิวเขานอกเมืองโดยมิรอช้า...