ยามรุ่งอรุณสาดส่องแสงทองอ่อนๆ ลงบนพื้นดิน พร้อมกับเสียงนกร้องเบาๆ ในยามเช้า อวี้เหวินรับประทานอาหารเช้าร่วมกับบิดาเสร็จสิ้น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงปรารถนาในการเดินทาง ครั้งนี้เขาตั้งใจเร่งมุ่งหน้าไปยังร้านค้าของชายหนุ่มนามหวังหลิน
ล้วนเกิดจากที่อวี้เหวินเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของภาระที่ต้องพกพาไว้กับตัวเสมอ กระเป๋าที่เก็บของส่วนตัวกลายเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวัน เขาต้องพกพาสิ่งของมากมายไม่ว่าจะเป็นเเก่นพลังของอสูร สมุนไพร หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝน และทุกครั้งที่ต้องออกเดินทาง การบรรทุกสิ่งเหล่านั้นไปด้วยก็ย่อมสร้างความลำบากให้แก่เขา ความหนักหน่วงของสัมภาระทำให้เขาหยุดคิดและตระหนักถึงความจำเป็นของการมีที่เก็บของที่สะดวกและปลอดภัย จึงเป็นเหตุให้เขาเริ่มค้นหาวิธีการที่จะทำให้การเดินทางของเขาสะดวกสบายยิ่งขึ้น จึงได้ไปปรึกษาซ่งเหยียนเฟย ผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในวงการปราณยุทธ์ จนได้รู้จักกับสิ่งมหัศจรรย์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เก็บของที่ไม่ธรรมดา มันคือ "แหวนมิติ" ที่สามารถบรรจุสิ่งของไว้ได้ในช่องว่างของมิติ เหมือนกับการมีห้องส่วนตัวอยู่ท่ามกลางอากาศโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาสถานที่หรือที่เก็บอื่นใด
แหวนมิตินั้น เป็นของที่เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่มันกลับหายากและมีมูลค่าสูงยิ่งนัก จนมีแต่ตระกูลใหญ่หรือผู้ที่มีพลังฝีมือสูงล้ำถึงจะสามารถครอบครองได้ ถึงแม้อวี้เหวินจะมิได้คาดหวังว่าจะพบมันในการเดินทางไปยังร้านค้าครั้งนี้ แต่เขาก็ยังคงหวังว่าอย่างน้อย เขาจะรับข่าวสารเกี่ยวกับมัน
เมื่ออวี้เหวินเดินเข้าไปในร้านค้าของหวังหลิน ความเงียบสงบของร้านก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรและสิ่งของที่มีค่ามากมาย ว่ากันว่าหวังหลินเป็นผู้มีความรู้ในด้านสมุนไพรและสิ่งของล้ำค่า จึงไม่แปลกที่ร้านนี้จะเต็มไปด้วยบรรยากาศลึกลับและบ่งบอกถึงความมั่งคั่ง
หวังหลินนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ตรงกลางร้าน มือกำลังพลิกสมุนไพรบางชนิดไปมาด้วยท่าทางสงบ เมื่อเห็นอวี้เหวินเดินเข้ามา เขาก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่เหมือนจะรู้จักกันดี
"น้องชาย... มีอะไรให้ข้าช่วยหรือ?" หวังหลินกล่าวถามด้วยเสียงที่นุ่มนวล แต่กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกที่แหลมคมไม่เหมือนใคร
อวี้เหวินยิ้มตอบ ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องที่เขาหวังจะได้ข้อมูลจากหวังหลิน "ข้ามีเรื่องที่อยากถามท่าน... เรื่องแหวนมิติ" เขาพูดอย่างระมัดระวัง
หวังหลินยิ้มขึ้นเล็กน้อย ราวกับจะรู้ว่าอวี้เหวินจะถามถึงสิ่งนี้ เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นมาไพล่หลังแล้วพูดอย่างมีน้ำหนัก "แหวนมิติ... มันเป็นของที่มีค่าไม่ใช่เพียงแค่ในเรื่องของการใช้ประโยชน์ แต่มันยังเป็นของที่หายากยิ่งนัก จอมยุทธ์หลายคนที่มีพลังสูงก็ต้องการมัน แต่ราคานั้นไม่ใช่ราคาที่ใครก็จะสามารถจ่ายได้"
อวี้เหวินพยักหน้า เขาเข้าใจดีว่าแหวนมิติเป็นสิ่งที่มีมูลค่าสูง แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะหามัน แต่ก็ยังคงหวังว่าในร้านนี้อาจจะมีแหวนมิติที่หวังหลินจะเสนอให้
"ท่านคิดว่าราคาของมันจะเป็นอย่างไร?" อวี้เหวินถามอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
หวังหลินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยเสียงที่อ่อนโยนแต่มากด้วยความหมาย "ราคามันจะสูงกว่าของที่เจ้าเคยเจอแน่นอน... แต่มันก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าหากเจ้าต้องการแหวนมิติที่สมบูรณ์และใช้งานได้ดี ราคาของมันจะไม่ต่ำกว่า1เหรียญทอง หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพของแหวนด้วย"
**1เหรียญทอง=1000เหรียญเงินเเละมีค่า 1,000,000เหรียญทองเเดง**
อวี้เหวินรู้สึกถึงความยากลำบากในการเจรจาเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะแลกเเก่นพลังของอสรพิษหางแมงป่องไปจนหมดสิ้น แต่ก็ยังมีอีกมากมายที่ต้องสะสมกว่าจะถึงหนึ่งพันเหรียญเงิน แต่ก็ไม่ย่อท้อ เขาตัดสินใจแล้วว่าถึงแม้มันจะมีราคาสูง เขาก็ต้องได้มันมา
"ข้าพร้อมจะต่อรองราคา หากท่านมีสิ่งที่ดีที่สุด" อวี้เหวินกล่าวอย่างมั่นใจ
หวังหลินพยักหน้า ก่อนจะยิ้มบางๆ "ในโลกนี้ ทุกสิ่งล้วนมีราคา น้องชาย ข้าจะนำแหวนมิติที่เจ้าต้องการมาให้ดู แต่เจ้าต้องพร้อมสำหรับราคาที่มันจะต้องจ่าย"
การเจรจานี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และอวี้เหวินรู้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความต้องการที่จะได้แหวนมิตินั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะถอยหลังกลับ
หวังหลินลุกขึ้นจากโต๊ะไม้ แล้วเดินไปที่หิ้งไม้สลักลวดลายซับซ้อนที่ตั้งอยู่ในมุมห้อง หลังจากที่เขาเปิดตู้เก็บของที่ถูกล้อมรอบด้วยเกราะโลหะบุกัดกร่อนด้วยเวลา มือเขาจับแหวนมิติที่ส่องประกายวับแวมและดูเหมือนมีความลับซ่อนอยู่ภายใน มันเป็นแหวนที่มีเส้นสายลายละเอียดอย่างประณีต และที่สำคัญคือภายในแหวนสามารถเก็บของได้มากมายเหมือนกับการเปิดมิติส่วนตัว
หวังหลินหยิบแหวนมิติขึ้นมาและกลับมานั่งที่โต๊ะ เขาวางแหวนไว้กลางโต๊ะก่อนจะมองไปยังอวี้เหวินด้วยสายตาที่เยือกเย็น
"นี่คือแหวนมิติที่ข้าพูดถึง มันสามารถเก็บของได้มากมาย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยสิ่งที่มีค่า หากเจ้าต้องการมัน เจ้าต้องมีกำลังพอสมควรในการแลกเปลี่ยน" หวังหลินกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลึกลับ
อวี้เหวินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถามออกไป "ท่านพูดถึงการแลกเปลี่ยน... ข้าเข้าใจว่าราคาของมันสูง แต่หากข้าใช้เม็ดแก่นพลังพยัคฆ์หางแมงป่องเป็นการแลกเปลี่ยน ท่านคิดว่ามันจะเพียงพอหรือไม่?"
หวังหลินยิ้มเล็กน้อย ค่อยๆ ส่ายหัว "เม็ดแก่นพลังพยัคฆ์หางแมงป่องเป็นสิ่งที่มีค่าในหมู่ผู้ฝึกปราณ แต่การจะแลกกับแหวนมิติอันนี้ จำเป็นต้องมีจำนวนที่ไม่น้อยเลย เจ้าต้องมีเม็ดแก่นพลังพยัคฆ์หางแมงป่องอย่างน้อย 300 เม็ด"
"300 เม็ด?" อวี้เหวินถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ในใจของอวี้เหวินยามนี้คล้ายกับเสียงดั่งฟ้าผ่าฝ่ากลางใจของเขา ภาพของถ้ำ ลึกลับที่เต็มไปด้วยพยัคฆ์หางแมงป่องปรากฏขึ้น เขาครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่าจะมีจำนวนถึงสามร้อยตัวจริงหรือไม่ แต่แม้ว่าจะมีพยัคฆ์หาง แมงป่องมากมายเพียงใด ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ไม่อาจวัดได้จากเพียงแค่สภาพภายนอก
หวังหลินมองเขาด้วยสายตาที่นิ่งสงบ ก่อนจะกล่าวว่า "การเจรจาไม่ใช่เรื่องง่าย น้องชาย หากเจ้าต้องการสิ่งที่มีค่ามากมาย เจ้าต้องพร้อมที่จะสูญเสียบางสิ่งไป แต่ถ้าเจ้ามีความตั้งใจจริง ข้าจะพิจารณาการต่อรอง"
อวี้เหวินหยุดคิดไปชั่วขณะ ใจของเขาครุ่นคิดถึงทางเลือกต่างๆ ที่มีอยู่ แต่ความปรารถนาในการได้แหวนมิตินั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะทนทานต่อการลังเล เขารู้ดีว่าไม่สามารถปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไปได้
"ข้ารับปาก" อวี้เหวินกล่าวเสียงแข็งแต่มั่นใจ ดวงตาของเขาส่องประกายวาววับ "ข้าจะนำเม็ดแก่นพลังพยัคฆ์หางแมงป่องจำนวน 300 เม็ดมาแลกเปลี่ยน ก่อนที่ขบวนสินค้าของท่านจะออกไปยังที่อื่น ข้าจะกลับมาหาท่านแน่นอน"
หวังหลินพยักหน้าช้าๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบแหวนมิติมาวางตรงหน้าของอวี้เหวิน "ข้าหวังว่าคำมั่นนี้ของเจ้าจะเป็นจริง อย่าลืมว่าเวลาไม่คอยท่า การต่อรองย่อมมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง"
อวี้เหวินไม่ตอบอะไร เขาหยิบแหวนมิติขึ้นมาอย่างระมัดระวัง รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่หล่อหลอมและซ่อนเร้นภายในแหวน เขารู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ง่าย แต่ก็เป็นโอกาสที่เขาจะไม่ยอมปล่อยผ่านไป
"ขอบคุณพี่ชายหวัง ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง" เขากล่าวด้วยเสียงมั่นคงก่อนที่จะเดินออกจากห้องนั้นไป ทิ้งไว้แต่เพียงความลึกลับและความเงียบที่ลอยค้างในอากาศ
...............................................................................
อวี้เหวินเดินทางลึกเข้าไปในถ้ำพยัคฆ์หางแมงป่อง ท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนระอุและลมร้อนที่พัดหอบเขาไปข้างหน้า เสียงกรอบแกรบของพื้นหินทำให้เขารู้สึกถึงความเงียบสงัดอันแปลกประหลาดในความมืดสลัวภายในถ้ำ เพียงแค่การเคลื่อนไหวของเขา ทำให้หินและทรายรอบตัวส่งเสียงดังก้องไปทั่ว
ในวันนี้ ต่างจากเมื่อวานที่อสรพิษหางแมงป่องตายไปจนหมด ปากถ้ำจึงผ่านไปได้อย่างราบรื่น ไม่ต้องพบเจอกับอันตรายใดๆ และในที่สุดเขาก็ได้พบกับพยัคฆ์หางแมงป่องตัวใหญ่ มันยืนนิ่งอยู่ในเงามืด มองมาที่อวี้เหวินด้วยดวงตาที่เปล่งประกายราวกับมีไฟในตัว
อวี้เหวินยืนจ้องมันไม่หลบสายตา ร่างของเขากลายเป็นภาพเงาดำขนาดยักษ์ในความมืด หน้าตาของเขาไม่แสดงความกลัวแม้แต่น้อย เสียงของเขาดังก้องไปทั่วถ้ำ "พยัคฆ์หางแมงป่อง! วันนี้เจ้าจะต้องตายที่นี่"
คำพูดของเขาหมุนไปในอากาศร้อนแรง ก่อนที่พยัคฆ์หางแมงป่องจะสะบัดหางสูงขึ้น สะท้อนแสงมืดผ่านทางพลังอันลึกลับของมัน เสียงฟึ่บฟับของหางแหลมคมทำให้การต่อสู้เริ่มขึ้นทันที
"ฮึ!" อวี้เหวินคำรามออกมา ข้อมือขวาของเขากระตุก สายตาจดจ่อไปที่พยัคฆ์หางแมงป่องข้างหน้า ร่างของเขาพุ่งเข้าหามันอย่างรวดเร็ว เขาไม่ต้องพึ่งพาอาวุธหรือสิ่งใดที่สะดวกสบาย เขาเพียงแค่ใช้หมัดอัคนีสังหารที่พึ่งเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นขั้นกลางเมื่อไม่นานมานี้
ร่างของอวี้เหวินปลดปล่อยพลังแห่งอัคนี ท่ามกลางความร้อนที่ระอุเหมือนภูเขาไฟที่ระเบิด มือขวาของเขาลุกโชนไปด้วยเปลวไฟที่ลุกท่วม มือข้างนี้พุ่งไปข้างหน้า โดยมีพลังรุนแรงแผ่ออกมาอย่างไม่มีหยุดยั้ง
"หมัดอัคนีสังหาร!" เสียงอัดแน่นของหมัดพุ่งตรงไปที่ร่างของพยัคฆ์หางแมงป่อง
พยัคฆ์หางแมงป่องหันหางไปป้องกัน แต่ไม่ทันเวลา พลังไฟของหมัดอัคนีแตกกระจายออกมาทำให้ร่างของมันสั่นสะเทือน แรงระเบิดที่แผ่ออกมาเปลวไฟอย่างรุนแรง ทำให้พยัคฆ์หางแมงป่องถูกโจมตีจนร่างขาดกระจาย กลายเป็นแค่เศษซาก
อวี้เหวินถอนหายใจยาว ๆ เห็นแสงไฟจากมือขวาของเขาค่อยๆ สลายไปตามลม มือของเขาที่มีพลังแกร่งกล้าก็ค่อยๆ กลับสู่สภาพปกติ
“แค่เพียงชั่วพริบตา… ก็เสร็จสิ้น” อวี้เหวินกล่าวในใจ ก่อนที่จะเดินเข้าไปเก็บเม็ดแก่นพลังพยัคฆ์หางแมงป่องที่ตกอยู่บนพื้นหิน
เขารู้ว่าเวลาของเขาไม่มากนัก ต้องรีบเก็บเม็ดแก่นพลังให้ครบ 300 เม็ด ก่อนที่ขบวนสินค้าจะออกไปยังที่อื่น เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่พลาดโอกาสนี้ แม้ว่าการเดินทางจะเต็มไปด้วยอันตรายและความลึกลับมากมาย
อวี้เหวินเก็บเม็ดแก่นพลังพยัคฆ์หางแมงป่องอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายเย็นเยียบ เขาไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย เพราะรู้ดีว่ายิ่งลึกเข้าไป อันตรายย่อมเพิ่มมากขึ้น
เขาก้าวเดินเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ ความร้อนเริ่มแผ่ซ่านออกมาจากผนังหิน ลมหายใจของเขาหนักขึ้น อากาศร้อนระอุจนเหมือนจะเผาไหม้ทุกสรรพสิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าคือความกว้างใหญ่ที่เปิดออกตรงหน้า
"นี่มัน... โลกอีกใบงั้นหรือ?" อวี้เหวินพึมพำ ดวงตาจับจ้องไปเบื้องหน้า
ภายในถ้ำที่ควรจะมืดมิดกลับมีแสงสีแดงส่องสว่าง มันคือแสงจากธารลาวาที่ไหลรินอยู่ใต้แผ่นดิน เปลวเพลิงลุกโชติช่วงราวกับทะเลเพลิงแห่งอสูร บรรยากาศร้อนแรงจนเงื่อนผมของเขาแทบลุกไหม้ ทุกย่างก้าวที่เขาเดินไปเหมือนถูกโบกด้วยเปลวไฟที่มองไม่เห็น
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นรอบทิศ ก่อนที่เงาทะมึนจำนวนมากจะปรากฏออกมา พยัคฆ์หางแมงป่องกลุ่มใหม่เผยร่างออกจากซอกหิน พวกมันไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสองตัว แต่กลับมีนับสิบ นับร้อย!
ดวงตาของพวกมันเป็นสีแดงฉาน แผ่จิตสังหารอันดุร้าย ร่างกายของมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิม หนามปลายหางแหลมคมเป็นประกายราวกับอาวุธเทพอสูร อากาศรอบตัวสั่นสะเทือนด้วยกลิ่นอายของสัตว์อสูรระดับสูง
"ฮึ! พวกเจ้าคิดว่าข้าจะถอยงั้นหรือ?" อวี้เหวินกล่าวเสียงเย็นชา
แทนที่เขาจะหวาดกลัว เขากลับรู้สึกโลหิตเดือดพล่านขึ้นมาแทน ความรู้สึกกระหายการต่อสู้เริ่มปะทุขึ้นจากภายในร่าง ราวกับสัตว์ป่าที่ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ!
พยัคฆ์หางแมงป่องตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่ ร่างมันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หางพิษฟาดลงมาหมายสังหาร!
ปัง!
อวี้เหวินใช้กำปั้นขวาอัดใส่หางของมันโดยตรง หมัดอัคนีสังหารระเบิดพลังออกมา เผาไหม้หางพิษจนแหลกสลาย พยัคฆ์หางแมงป่องกรีดร้องก่อนจะล้มลง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หยุดพัก พยัคฆ์ตัวอื่นก็พุ่งเข้ามาพร้อมกัน!
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
อวี้เหวินเคลื่อนกายอย่างรวดเร็ว ใช้หมัดอัคนีโจมตีต่อเนื่อง หมัดของเขารวดเร็วจนเหลือเพียงเงาพลิ้วไหว เปลวเพลิงกระจายออกทุกครั้งที่หมัดกระทบ ร่างของพยัคฆ์หางแมงป่องถูกทำลายลงทีละตัว ทีละตัว
แต่ศัตรูก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ!
ยิ่งต่อสู้ ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น อวี้เหวินเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงจากรอบทิศ ทางเดียวที่จะรอดคือต้องทะลวงฝ่าไปข้างหน้า!
"ถ้าหากมัวแต่ตั้งรับ ข้าคงได้เป็นศพอยู่ที่นี่แน่!"
เขากัดฟันแน่น เปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้จากการตั้งรับเป็นการจู่โจมดุดัน! ร่างของเขาพุ่งเข้าไปกลางฝูงศัตรู ปลดปล่อยพลังอย่างบ้าคลั่ง หมัดของเขาหนักหน่วงขึ้น แรงทำลายล้างเพิ่มขึ้นทุกขณะ
หมัดอัคนีสังหารที่เคยเพียงแค่เผาไหม้ ตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงอสูรที่สามารถระเบิดได้ในพริบตา!
เสียงคำรามของพยัคฆ์หางแมงป่องดังกึกก้อง บรรยากาศภายในถ้ำสั่นสะเทือน พื้นหินแตกร้าวไปทั่ว แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาหยุด เขากลับรู้สึกว่าความดิบเถื่อนของตนเองเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย
มือที่เคยว่องไว กลับกลายเป็นมือสังหารที่เปื้อนโลหิต เปลวไฟในดวงตาของเขาลุกโชนขึ้นทุกขณะ!
"มาอีก! ข้ายังไม่พอ!"
เสียงของอวี้เหวินดังก้องไปทั่วถ้ำ การต่อสู้อันดุเดือดเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น!
ในขณะที่อวี้เหวินกำลังต่อสู้จนเปลวเพลิงปกคลุมไปทั่วถ้ำพยัคฆ์หางแมงป่อง
ณ ห้องรับรองแขก ภายในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ตีนเขา ไอชาหอมระเหยจากน้ำชาชั้นดีลอยอ้อยอิ่งไปทั่วห้อง เครื่องเรือนล้วนทำจากไม้หอมเนื้อดี จัดวางอย่างประณีต ประดับด้วยภาพวาดขุนเขาตระหง่านและสายน้ำทอดยาวราวมังกรเลื้อย สรรพสิ่งภายในห้องล้วนให้บรรยากาศสงบนิ่ง ประหนึ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันลึกล้ำ
กลางห้องนั้น ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงสวมอาภรณ์สีฟ้าจางๆ นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลัก เขามีโครงหน้าธรรมดาแต่แฝงด้วยความลึกลับ แววตาล้ำลึกราวกับสามารถมองทะลุทุกสิ่ง สองนิ้วของเขาหยิบถ้วยชาขึ้นมา หมุนไปรอบๆ อย่างเชื่องช้า ท่าทีของเขาสงบนิ่ง แต่ในความนิ่งนั้นกลับแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่ยากจะหยั่งถึง
เบื้องหน้าของเขา ชายวัยกลางคนร่างกำยำ สวมเกราะอ่อนสีดำหมอบคุกเข่าลงต่ำ ดวงตาของเขาแฝงด้วยความนอบน้อมและความเคารพอย่างยิ่ง
"นายท่าน ต้องการให้ข้าลงมือเมื่อใด?" องครักษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเบา แต่แฝงไปด้วยความเคร่งขรึม
ชายหนุ่มวางถ้วยชาลงกับโต๊ะเบาๆ เสียงกระทบของถ้วยกับโต๊ะไม้ดังแผ่วเบา ทว่าสร้างความกดดันอย่างประหลาดไปทั่วห้อง
"คืนนี้" เขากล่าวเรียบๆ น้ำเสียงมั่นคง "เจ้าจงนำคนของเราไปยังภูเขาด้านทิศตะวันออก ตรวจสอบสิ่งที่เราต้องการให้แน่ชัด"
"รับทราบ นายท่านต้องการให้ข้านำคนไปกี่คน?"
ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิด
"ห้าคนก็เพียงพอ อย่าให้เป็นที่สะดุดตา"
"ห้าคน?" องครักษ์ชะงักไปเล็กน้อย "นายท่าน ที่นั่นขึ้นชื่อว่ามีสัตว์อสูรดุร้าย หากเราพบเจอสิ่งไม่คาดคิด อาจทำให้แผนการล่าช้าได้"
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าจางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาอีกครั้ง ลิ้มรสช้าๆ ก่อนกล่าวขึ้น
"หากเจ้าพบสิ่งที่ข้าต้องการจริงๆ แล้วจะพบว่าสัตว์อสูรพวกนั้น... ก็หาใช่ปัญหาไม่"
องครักษ์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง "ข้าจะทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด นายท่านโปรดวางใจ"
ชายหนุ่มผู้นั้นมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงจันทร์เริ่มทอประกายเหนือขุนเขา เสียงลมพัดผ่านยอดไม้ดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบงัน แต่ในความเงียบนั้นกลับเหมือนซ่อนเร้นพายุร้ายที่กำลังจะปะทุ
"อย่าทำให้ข้าผิดหวัง" น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา ทว่ามันแฝงไปด้วยความเย็นเยียบที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสะท้านไปถึงกระดูก
องครักษ์ก้มศีรษะต่ำลง "ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง"
จากนั้นเงาร่างของเขาก็เลือนหายไปในความมืด เหลือไว้เพียงชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าจาง ที่ยังคงนั่งจิบชาเงียบๆ รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้า แต่ดวงตากลับลึกซึ้งดั่งมหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้ง...
..................................................................................
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน บ่งบอกว่าตะวันกำลังลอยต่ำลงสู่ขอบฟ้า กลางถ้ำพยัคฆ์หางแมงป่อง กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่ว อวี้เหวินยืนหอบหายใจหนักหน่วง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลลึกและตื้น เสื้อผ้าขาดวิ่นราวกับเศษผ้าขี้ริ้ว แต่ดวงตายังคงลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งการต่อสู้
ซากศพของพยัคฆ์หางแมงป่องกองระเกะระกะ เปลวเพลิงยังคงลุกไหม้อยู่รอบกาย แต่มันไม่อาจข่มขวัญเหล่าสัตว์อสูรที่เหลืออยู่ได้ ตอนนี้ พยัคฆ์หางแมงป่องที่ยังยืนหยัดต่อสู้นั้น ต่างเป็นตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในฝูง ระดับขอบเขตกำเนิดกาย ซึ่งเหนือกว่าอวี้เหวินถึงหนึ่งขั้น พวกมันมีเกราะหนา แววตาเย็นเยียบและเจตนาฆ่าฟันที่ไม่ลดละ
แว่วเสียงคำรามต่ำจากเงามืดลึกเข้าไปในถ้ำ อวี้เหวินกวาดตามอง รู้สึกถึงจิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัว สัตว์อสูรที่อยู่ในระดับหลอมกายากำลังซุ่มมอง ไม่รีบเร่งลงมือประหนึ่งผู้ล่าเฝ้ารอให้เหยื่ออ่อนแรงลงจนไม่อาจขัดขืน
“หึ... ข้าเองก็ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้วสินะ” อวี้เหวินพึมพำเบาๆ เขาแนบฝ่ามือลงบนบาดแผลที่อกข้างซ้าย ความเจ็บแปลบซึมลึกเข้าไปถึงกระดูก เลือดที่ไหลซึมออกมาเปื้อนเต็มฝ่ามือ
พยัคฆ์หางแมงป่องสามตัวที่อยู่ในขอบเขตกำเนิดกายโถมเข้ามาพร้อมกัน เขารู้ดีว่าไม่อาจต้านรับพลังของพวกมันได้โดยตรง จึงใช้ฝีเท้าอันรวดเร็ว กระโดดลอยตัวไปด้านหลัง ร่างพลิ้วไหวราวกับเงาเคลื่อนผ่าน เปลวเพลิงที่ปกคลุมร่างยังลุกโชติช่วง ประหนึ่งเทพอัคคีที่กำลังโลดแล่นอยู่ท่ามกลางสมรภูมิ
กำปั้นของอวี้เหวินเปรอะไปด้วยโลหิตแดงฉาน เขากระชับหมัดแน่นก่อนพุ่งทะลวงไปข้างหน้า ท่วงท่ารวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด หมัดอัคนีสังหารแหวกผ่านอากาศ ประทับลงบนเกราะของพยัคฆ์หางแมงป่องตัวหนึ่ง แรงระเบิดจากพลังอัคคีพุ่งทะลวงทำให้เกราะแข็งแกร่งแตกกระจาย เลือดสีดำสาดกระเซ็น มันคำรามก้องก่อนร่างจะทรุดฮวบลงกับพื้น
แต่ในชั่วพริบตานั้น พยัคฆ์หางแมงป่องอีกตัวฉวยโอกาสฟาดหางแหลมคมเข้าใส่ ชั่วขณะหนึ่ง อวี้เหวินบังคับร่างให้เบี่ยงหลบ แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมด ปลายหางกรีดผ่านไหล่ขวาของเขา เสื้อผ้าขาดวิ่นอีกครั้ง เลือดสดๆ สาดกระจายไปทั่วอากาศ
อวี้เหวินกัดฟันกรอด เขาเริ่มรู้สึกถึงความชาที่แผ่ซ่านจากบาดแผล นี่คงเป็นพิษของพยัคฆ์หางแมงป่อง แม้มันจะไม่รุนแรงพอจะสังหารเขาในทันที แต่ก็ค่อยๆ บั่นทอนพลังของเขาลงเรื่อยๆ
“ต้องรีบจัดการก่อนที่พิษจะเล่นงานข้ามากกว่านี้” เขาคิดพลางเริ่มหมุนเวียนวิชาเตาอัสนีวิบัติ พลังอันร้อนแรงเริ่มปะทุขึ้นภายในร่าง เปลวเพลิงรอบตัวถูกดูดซับเข้ามา หลอมรวมเข้ากับกล้ามเนื้อ เพิ่มพละกำลัง ขจัดของเสีย และเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายอย่างมหาศาล
แสงสีแดงทองเรืองรองจากร่างของอวี้เหวิน เปลวเพลิงพลุ่งพล่านรอบกาย ประหนึ่งมังกรเพลิงที่ตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา เขาเร่งฝีเท้า พุ่งเข้าใส่พยัคฆ์หางแมงป่องที่เหลืออยู่อย่างไม่ลังเล ราวกับต้องการปิดฉากการต่อสู้นี้ให้จบสิ้นลงโดยเร็วที่สุด
แต่ในขณะที่เขากำลังจะฟาดฟันหมัดลงไป เสียงคำรามหนักแน่นก็ดังขึ้นจากส่วนลึกของถ้ำ เงาทะมึนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ทั่วทั้งถ้ำสั่นสะเทือนด้วยแรงกดดันมหาศาล อวี้เหวินชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาหรี่ลงด้วยความระแวดระวัง
สัตว์อสูรระดับหลอมกายาที่เฝ้ารอดูสถานการณ์มาโดยตลอด บัดนี้... ได้ตัดสินใจลงมือแล้ว!