ทันใดนั้น เสียงทุ้มลึกลับดังก้องขึ้นในห้วงสำนึกของเขา เป็นเสียงของซ่งเหยียนเฟยที่อยู่ในสร้อยคอ
“อวี้เหวิน เจ้าสังเกตหรือไม่? พยัคฆ์หางแมงป่องพวกนี้ผิดแผกจากธรรมชาติเดิมของมัน สติปัญญาของพวกมันสูงกว่าที่ควรเป็น อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ราวกับถูกแยกออกจากโลกภายนอก… บางที ราชันของพวกมัน อาจมิได้อ่อนแอเช่นที่เจ้าคิด”
อวี้เหวินขมวดคิ้วแน่น ในใจพลันรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ยังไม่ทันได้ขบคิดมากกว่านี้ ซ่งเหยียนเฟยก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าบาดเจ็บหนัก ข้าจะช่วยจัดการพวกมันเอง”
ทันใดนั้น ปราณสีแดงฉานดุจโลหิตพลุ่งพล่านออกมาจากสร้อยคอ มันแผ่กระจายไปทั่วถ้ำ ประหนึ่งดาบเทพสังหารที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกสิ่งให้แหลกสลาย พริบตาเดียว ปราณคมกริบดั่งคมมีดนับพันเส้นพุ่งออกไป เสียงแหวกอากาศดังสนั่น
ฉัวะ!
ร่างของพยัคฆ์หางแมงป่องระดับหลอมกายาที่ซุ่มมองอยู่ถูกปราณดาบสีโลหิตเฉือนขาดสะบั้น แขนขาขาดกระเด็น เลือดดำพุ่งกระจายราวกับสายฝนที่โรยตัวลงสู่พื้น เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องทั่วถ้ำ ก่อนร่างมหึมาจะระเบิดออกเป็นเศษเนื้อกระจายไปทั่วบริเวณ กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว อวี้เหวินเพ่งมองภาพนั้น พลันรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนแห่งความหวาดกลัวที่ไหลเวียนไปทั่วทั้งถ้ำ
ทว่า ขณะนั้นเอง ถ้ำทั้งถ้ำพลันสั่นสะเทือน อย่างรุนแรง ลมพัดกรรโชก แผ่ไอความร้อน ประหนึ่งเปลวเพลิงแผดเผา เงาร่างขนาดมหึมาค่อยๆปรากฏขึ้นในสายตา มันคือพยัคฆ์หางแมงป่องที่ใหญ่โตเกินกว่าจินตนาการ ดวงตาสี ทองแดงจ้องมองอวี่เหวินอย่างเย็นชา สายตาของมันลึกล้ำ ราวกับสามารถสั่นสะท้านถึงขั้วหัวใจ
เสียงกระแสจิตอันเกรี้ยวกราดดังขึ้นในห้วง สำนึกของอวี่เหวิน
“เป็นเจ้าใช่หรือไม่ ที่สังหารบุตรชายข้า!”
อวี้เหวินเบิกตากว้าง ดวงใจพลันสะท้านเฮือก ไม่เพียงเพราะสัตว์อสูรตรงหน้าสามารถเปล่งวาจาผ่านกระแสจิตได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือ มันสามารถระบุได้ว่าผู้ที่สิ้นชีพไปเมื่อครู่เป็นบุตรของมัน!
‘ข้าฆ่าบุตรมันงั้นหรือ? มิใช่สิ! พยัคฆ์หางแมงป่องพวกนั้นมีมากมาย จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนเป็นบุตรของมัน!’ เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ริมฝีปากจะทันได้เอื้อนเอ่ย คำพูดหนึ่งพลันดังขึ้น พร้อมกับอากาศที่เบื้องหน้าพลันสั่นสะท้าน เผยให้เห็นร่างของบุรุษร่างเล็กผู้หนึ่ง เขาสวมอาภรณ์สีแดงฉาน ประหนึ่งเปลวเพลิงลุกโชน สายตาเย็นเยียบประดุจน้ำแข็งที่กรีดแทงลงสู่จิตวิญญาณ
“ข้าเองที่สังหารบุตรชายเจ้า” ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ทว่าทรงอำนาจ ราวกับมิได้หวาดหวั่นแม้แต่น้อยต่อแรงกดดันอันมหาศาลของราชันอสูรเบื้องหน้า
ขณะเดียวกัน เสียงกระแสจิตของเขาก็ดังก้องในห้วงสำนึกของอวี้เหวิน “ใช่อย่างที่ข้าคาด เจ้าอสูรตนนี้อีกเพียงก้าวเดียวก็จะก้าวข้ามสู่ระดับก่อกำเนิดแล้ว หากปล่อยให้มันทะลวงผ่านไปได้ มันจักกลายเป็นหายนะที่มิอาจควบคุม”
คำกล่าวของซ่งเหยียนเฟยทำให้อวี้เหวินรู้สึกสะท้านในใจ สัตว์อสูรระดับหลอมกายาก็ร้ายกาจอยู่แล้ว หากมันก้าวข้ามสู่ระดับก่อกำเนิด พลังอำนาจของมันจะสูงส่งเพียงใดกัน!
พยัคฆ์หางแมงป่องมหึมาส่งเสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น แรงลมอันเกรี้ยวกราดพวยพุ่งออกมาจากร่างของมัน เศษหินรอบข้างปลิวกระจัดกระจาย ไอพิษสีม่วงแผ่กระจายออกจากปลายหางขนาดมหึมา สายตาของมันทอประกายโทสะอันลึกล้ำ ดั่งเปลวไฟแห่งความเคียดแค้นที่พร้อมเผาผลาญทุกสิ่งให้เป็นจุณ
“มนุษย์ต่ำช้า! บุตรข้าสิ้นชีพไปแล้ว ข้าจะสังหารพวกเจ้า เพื่อให้เจ้ารับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้นบ้าง!” กระแสจิตแห่งโทสะดังก้อง ก่อนที่ร่างมหึมาของมันจะพุ่งเข้าหาซ่งเหยียนเฟยอย่างเกรี้ยวกราด
อวี้เหวินรู้สึกถึงลมปราณมหาศาลที่กดทับร่างจนแทบหายใจไม่ออก แต่ซ่งเหยียนเฟยหาได้สะทกสะท้านไม่ เขายกมือขึ้นเบื้องหน้า พลังปราณสีแดงโลหิตพลุ่งพล่าน แผ่ซ่านออกไปทั่วอากาศ รัศมีแห่งการสังหารคละคลุ้ง ราวกับเทพสงครามที่ยืนอยู่ท่ามกลางสมรภูมิเลือด!
“มาดูกันเถอะ ว่าผู้ใดจักเป็นผู้กำหนดชะตากรรมในศึกนี้!” ซ่งเหยียนเฟยกล่าวเสียงเย็นชา ก่อนที่มือขวาจะสะบัดออก กระบี่ไร้สภาพก่อเกิดจากปราณโลหิต แสงกระบี่สีแดงฉานพุ่งออกไปพร้อมกับเสียงแหวกอากาศดังกึกก้อง!!
สายลมอันกราดเกรี้ยวพวยพุ่ง แรงปะทะจากพลังของทั้งสองฝ่ายทำให้ถ้ำทั้งหลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รอยร้าวแผ่ขยายออกไปทั่วโถง ราวกับมังกรดินกำลังตื่นจากนิทรา ซ่งเหยียนเฟยยืนหยัดประดุจขุนเขา ม่านพลังสีแดงโลหิตปกคลุมร่างอวี้เหวินเอาไว้ มิให้โดนแรงกระแทกจากการปะทะของพยัคฆ์หางแมงป่องมหึมา
เสียงคำรามของราชันอสูรดังกึกก้อง มันโถมเข้าใส่ซ่งเหยียนเฟยด้วยกรงเล็บอันทรงพลัง ทว่าชายหนุ่มเพียงเบี่ยงกายหลบ พริบตานั้น แสงกระบี่สีแดงฉานฟาดลง ปราณกระบี่แหวกผ่านอากาศ ทิ้งรอยแผลลึกบนร่างของสัตว์อสูร
“มนุษย์ชั่วช้า! เจ้ากล้าดีอย่างไร!” พยัคฆ์หางแมงป่องคำราม กระแสจิตแห่งโทสะกระจายออกมา มันแกว่งหางที่ปกคลุมด้วยไอพิษสีม่วงเข้าหา ทว่าสิ่งที่พบกลับเป็นเพียงเงาหลอกลวง ซ่งเหยียนเฟยพลันปรากฏขึ้นด้านข้าง ฝ่ามือหนึ่งฟาดออกพร้อมกับพลังปราณมหาศาล พยัคฆ์หางแมงป่องถูกซัดกระเด็นไปชนผนังถ้ำอย่างรุนแรง
ดวงตาคมกล้าของซ่งเหยียนเฟยมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ‘พลังปราณของมันถึงขีดสุดแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะก้าวข้ามไปสู่ระดับก่อกำเนิด... จึงไม่แปลกที่อาณาเขตของมันเริ่มแปรเปลี่ยน หากมันสามารถหลอมรวมอาณาเขตแยกมิติได้สมบูรณ์เมื่อใด มันจักก้าวพ้นขีดจำกัดแห่งสัตว์อสูร ไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งกว่า’
อาณาเขตของพยัคฆ์หางแมงป่องเริ่มขยายตัว ความผิดเพี้ยนแห่งมิติเกิดขึ้นโดยรอบ พื้นดินบิดเบี้ยว ประหนึ่งโลกภายนอกกำลังแยกออกจากกัน นี่คือจุดเริ่มต้นของการก้าวข้ามระดับก่อกำเนิด!
ซ่งเหยียนเฟยหัวเราะเย็น “น่าเสียดาย เจ้าคงไม่มีโอกาสนั้น!”
เขากระโจนขึ้นกลางอากาศ พลังปราณแดงฉานปกคลุมทั่วร่าง กระบี่ไร้สภาพแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างสาดประกายไปทั่วถ้ำ จากนั้นพุ่งลงมาราวกับสายฟ้า พยัคฆ์หางแมงป่องคำรามกึกก้อง มันสะบัดหางหมายต้านทาน ทว่ากลับสายเกินไป แสงกระบี่ฟาดฟันลงพร้อมเสียงคำรามสะเทือนฟ้า ร่างมหึมาถูกฟันเป็นแนวยาว โลหิตพุ่งกระฉูด ไอพิษที่คละคลุ้งในอากาศกลับถูกเผาผลาญจนจางหายไป
ผนังถ้ำด้านบนพังทลาย ซากหินถล่มลงมาราวกับสายฝน ทว่าซ่งเหยียนเฟยสะบัดแขนเสื้อพลังปราณแผ่ซ่าน ขับไล่ซากหินที่กำลังร่วงหล่นมิให้แตะต้องร่างของอวี้เหวิน
“พยัคฆ์หางแมงป่อง เจ้าถึงวาระสุดท้ายแล้ว” ซ่งเหยียนเฟยยืนนิ่ง ร่างของเขายังคงไร้รอยขีดข่วน
พยัคฆ์หางแมงป่องหอบหายใจโลหิตอาบร่าง สายตาที่เคยเปี่ยมด้วยโทสะบัดนี้เริ่มแฝงแววหวาดหวั่น ทว่าแม้มันจะเจ็บปวดเพียงใด ก็ยังแสยะเขี้ยวคำรามไม่ยอมศิโรราบ
ทันใดนั้น พยัคฆ์หางแมงป่องกลับนำสิ่งหนึ่งออกมานำเข้าปาก มันคือผลพืชบางอย่างที่แผ่กลิ่นอายประหลาด พลังของมันพลันเปลี่ยนไป ความดุดันดิบเถื่อนพวยพุ่ง พลังปราณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ซ่งเหยียนเฟยเบิกตากว้าง “มิใช่ว่า...นี่คือผลจันทราทมิฬงั้นหรือ?!” เขาตะโกนลั่น “มิได้การ! หากให้มันหลอมรวมสำเร็จ ขึ้นเป็นขั้นก่อกำเนิด การจะสังหารมันก็ยิ่งยากขึ้นเท่าตัว!” ดวงตาเขาฉายแววกังวล สภาพปัจจุบันของตนเองคงมิใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ เขารีบโคจรพลัง พุ่งเข้าโจมตีหมายขัดขวางการหลอมรวมพลังของพยัคฆ์หางแมงป่องทันที
ขณะเดียวกัน อีกฟากของภูเขาสูงตระหง่าน ป่ารกครึ้มปกคลุมไปด้วยเงามืด ภายใต้ราตรีมีกลุ่มบุรุษลึกลับห้าคนกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังเสาะหาสิ่งใดบางอย่าง
พลัน เสียงระเบิดดังก้องมาจากอีกฟากของภูเขา ทั้งหมดชะงักกึก หันมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่หัวหน้ากลุ่มจะกล่าวเสียงหนักแน่น “ไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น!”
เมื่อพวกเขาใกล้ถึงจุดเกิดเหตุ แรงกดดันมหาศาลก็แผ่ซ่านออกมา จนทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงัก ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด มองเห็นเพียงร่างของพยัคฆ์มหึมาและชายผู้หนึ่งที่ปกคลุมด้วยฝุ่นควัน รัศมีของทั้งสองเต็มไปด้วยความลึกลับเกินหยั่งถึง
“นี่...เป็นศึกของยอดฝีมือระดับสูงเกินไป” หนึ่งในพวกเขากระซิบเสียงแผ่ว หัวหน้ากลุ่มเพียงพยักหน้า ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวต่อ
ตัดกลับมาที่สนามรบ ซ่งเหยียนเฟยกำลังปลดปล่อยพลังเพื่อขัดขวางการหลอมรวมพลังของพยัคฆ์หางแมงป่อง พลันเขาสังเกตเห็นความมุ่งมั่นอันโหดเหี้ยมของมัน มันถึงขั้นเผาผลาญลมปราณและชีวิตตนเองเพื่อเร่งให้การหลอมรวมเสร็จสมบูรณ์!
แม้แต่ซ่งเหยียนเฟยเองก็อดไม่ได้ที่จะเผยความเคร่งเครียดออกมาสองส่วน!
เสียงคำรามกึกก้องของพยัคฆ์หางแมงป่องสะท้อนก้องไปทั่วขุนเขา มันยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงโลหิตที่โหมกระหน่ำ ร่างกายของมันแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ลวดลายอัคคีโลหิตเรืองแสงวาบทั่วกาย ดวงตากลายเป็นสีแดงฉานดังโลหิตเดือดพล่าน พลังปราณที่แผ่ออกมารุนแรงเกินกว่าจะประเมินได้ เพียงแค่ยืนอยู่ในรัศมีของมัน ผืนดินก็ยังสั่นสะเทือนอย่างมิอาจหยุดยั้ง
ซ่งเหยียนเฟยมองภาพนั้นพลางพึมพำ "สุดท้ายก็ไม่ทันเสียแล้ว…" แม้คำพูดจะแฝงความเสียดาย ทว่าดวงตาของเขายังคงแน่วแน่ไร้ความหวาดหวั่น ใบหน้านิ่งสงบประหนึ่งผืนน้ำไร้คลื่น "แต่แล้วอย่างไรเล่า? ไม่ว่ามันจะบรรลุระดับก่อกำเนิดหรือไม่ การสังหารมันก็เป็นสิ่งที่ข้าตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว!"
พยัคฆ์หางแมงป่องที่บัดนี้กลายเป็นอสูรโลหิตสมบูรณ์แบบ คำรามลั่นสร้างคลื่นลมอันรุนแรงโหมกระหน่ำไปทั่ว พื้นที่โดยรอบปั่นป่วนระส่ำระสาย แม้แต่กลุ่มชายลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ยังต้องรีบรวมพลังต้านทาน ทว่าแม้จะร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังถูกแรงลมอันดุดันซัดกระเด็นไปหลายก้าว ดวงหน้าฉายแววตระหนก ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นเสียงสั่น "พลังระดับนี้… หากพวกเราเข้าไปใกล้กว่านี้ คงมีเพียงความตายเป็นแน่แท้!"
ซ่งเหยียนเฟยมองอสูรตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น "ดูท่าข้าจะต้องออกแรงเสียแล้ว" กล่าวจบ มือขวาของเขาสะบัดเบาๆ พลันปรากฏดาบยาวเล่มหนึ่งที่ดูราวกับหลอมจากแสงดาว ดาบทลายฟ้า!
เมื่อดาบเล่มนี้ปรากฏ กาลอากาศพลันสั่นสะเทือน สายลมบ้าคลั่งพัดกรรโชก ท้องฟ้าสีดำมืดราวพายุคลั่ง เมฆดำลอยตัวต่ำดุจพร้อมจะทลายลงมา ฟ้าร้องคำรามก้องสะท้าน พื้นแผ่นดินแตกร้าวเป็นรอยลึก เศษหินลอยขึ้นสู่ท้องนภาดุจไร้แรงโน้มถ่วง
แรงกดดันอันมหาศาลแผ่ขยายไปไกลสุดขอบฟ้า ไม่เพียงแต่บริเวณภูเขานี้เท่านั้น แม้แต่หมู่บ้านรอบขุนเขายังรู้สึกได้ถึงความอึดอัดราวถูกภูผาทับร่าง ผู้คนต่างทรุดตัวลง หอบหายใจหนัก บางคนถึงกับหมดสติไปด้วยซ้ำ!
ภายในคฤหาสน์หลังหนึ่ง นายน้อยหวังผู้สวมอาภรณ์ฟ้าจางถึงกับเซถอยหลัง ดวงตาเบิกกว้าง "นี่มัน… พลังอันใดกัน!?" เสียงของเขาสั่นเครือ เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
ณ ดินแดนอันห่างไกล สำนักใหญ่ทั้งห้าต่างสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนนี้
ภายในพรรคมารสวรรค์แห่งแดนประจิม ผู้อาวุโสสูงสุดเงยหน้าขึ้นจากสมาธิ ดวงตาเรืองรองด้วยความตื่นตระหนก "พลังนี้…มาจากทิศใต้! ใครกันที่ปลดปล่อยพลังนี้ออกมา!?"
ที่สำนักกระบี่เหินฟ้าแห่งแดนบูรพา เจ้าสำนักกำลังประลองกระบี่กับศิษย์เอก ทันทีที่พลังมหาศาลนี้แผ่ขยายมา เขากลับต้องชะงัก ดวงตาจับจ้องไปยังทิศใต้ "เป็นไปไม่ได้… จะมีผู้ใดมีพลังระดับนี้ได้?"
ณ วังหิมะเก้าชั้นฟ้าแห่งทิศอุดร สตรีนางหนึ่งในอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ยืนบนยอดหิมะ พลางขมวดคิ้ว "นี่มัน… น่าหวาดหวั่นนัก ข้าไม่เคยสัมผัสถึงพลังเช่นนี้มาก่อน"
ที่สุสานดาบทลายสวรรค์แห่งแดนใต้ ผู้อาวุโสสูงสุดลืมตาขึ้นช้าๆ จากสมาธิ เสียงของเขาแฝงแววลึกล้ำ "พลังนี้… มิใช่ของโลกนี้กระมัง?"
สุดท้าย ณ ตระกูลเฉินแห่งภาคกลาง เฉินเหลียนประมุขตระกูล กำลังสนทนาอยู่กับเหล่าผู้อาวุโส ทว่าทุกคนพลันเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เฉินเหลียนจะกล่าวเสียงหนัก "ดินแดนภาคใต้… ที่แท้เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?"
ทั่วทั้งแผ่นดินล้วนตกอยู่ในความสั่นสะเทือน มิอาจมีผู้ใดล่วงรู้ว่าพลังนี้เป็นของผู้ใด หรือจะนำพาสิ่งใดมาให้โลกใบนี้!