บทที่17 เลื่อนระดับอีกครั้ง!

เมื่อดาบทลายฟ้าปรากฏขึ้น อำนาจอันลี้ลับราวสวรรค์สั่นสะเทือนดุจพายุคลั่ง แรงกดดันอันมหาศาลปกคลุมไปทั่วทั้งผืนพสุธา เงาดาบสะท้อนอยู่ในดวงเนตรแห่งพยัคฆ์หางแมงป่อง อสูรยักษ์ที่ครองพงไพรมายาวนานกลับเผยอาการหวาดหวั่นออกมาอย่างมิอาจปิดบัง มันตระหนักในบัดดลว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหน้านี้มิใช่อาวุธธรรมดา หากแต่เป็นอาญาสิทธิ์แห่งสวรรค์ อันสามารถดับลมหายใจของมันได้เพียงชั่วพริบตา

ทว่า แม้ความหวาดกลัวจะแล่นพล่านไปทั่วกาย พยัคฆ์หางแมงป่องหาได้ยอมศิโรราบไม่ มันคำรามก้องสะท้อนสะท้านฟ้า พลันพุ่งทะยานเข้าหาซ่งเหยียนเฟยด้วยพลังเฮือกสุดท้าย ปราณอสูรพวยพุ่งออกมาราวกับทะเลเพลิง เปลวไฟสีดำสนิทลุกโชนทั่วร่าง กลิ่นกำมะถันแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ราวกับจะเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้ มันแผดเสียงกึกก้อง ก่อนสะบัดกรงเล็บอันแหลมคม พุ่งทะลวงเข้าหาชายหนุ่มเบื้องหน้า

ซ่งเหยียนเฟยก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างสงบนิ่ง คมดาบในมือสะท้อนประกายแห่งความตาย เขาหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงเย็นเยียบ “เจ้ากล้าหือกับข้าทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งใดอยู่ในมือข้า?”

พยัคฆ์หางแมงป่องแยกเขี้ยว คำรามสะท้านสะเทือนปฐพี “เพียงเพราะดาบเล่มเดียว เจ้าคิดว่าข้าจะหวาดหวั่นรึ? อสูรเช่นข้าย่อมมิอาจศิโรราบต่อศาสตราของมนุษย์!”

ซ่งเหยียนเฟยหัวเราะเบา ๆ ทว่าฝ่ามือที่กำด้ามดาบกลับแน่นขึ้น “เจ้าช่างโง่เขลานัก นี่มิใช่เพียงอาวุธของมนุษย์ หากแต่เป็นอานุภาพแห่งเผ่ามังกร ศาสตราอันเป็นศักดิ์ศรีแห่งยุคสมัย!”

สิ้นคำ ดาบทลายฟ้าสะบัดผ่านอากาศ พลังดาบอันเกรี้ยวกราดพุ่งออกไปเป็นลำแสงสีทองแดงฉาน เสียดแทงผ่านอากาศจนเกิดเสียงหวีดหวิวราวเสียงคร่ำครวญแห่งสวรรค์และปฐพี แรงกดดันมหาศาลทำให้พื้นดินแตกร้าว รอยแยกกระจายออกเป็นใยแมงมุม

พยัคฆ์หางแมงป่องรับรู้ถึงภัยคุกคามอย่างแจ่มชัด มันแผดเสียงกึกก้อง ก่อนสะบัดหางอันแหลมคมเคลือบพิษสีม่วงเข้มหวังทะลวงร่างศัตรูให้ดับดิ้น ซ่งเหยียนเฟยมิได้แสดงความหวาดหวั่นใด ๆ เขาสะบัดดาบตวัดเป็นวงกลม ต้านรับการโจมตีด้วยปราณที่หนาแน่น ดาบและหางอสูรปะทะกันเสียงดังสนั่น เกิดประกายไฟพวยพุ่งกลางอากาศ พายุปราณระเบิดออกไปโดยรอบ กวาดเศษหินและซากต้นไม้ปลิวกระจัดกระจาย

พยัคฆ์หางแมงป่องฉวยโอกาสนี้ใช้กรงเล็บมหึมาสะบัดฟาดลงจากด้านบนอย่างสุดแรงหวังฉีกกระชากร่างของซ่งเหยียนเฟยให้แหลกเป็นชิ้น ๆ ทว่าเพียงพริบตาเดียว ร่างของซ่งเหยียนเฟยกลับเลือนหายไปดุจมายา ก่อนปรากฏอีกครั้งเบื้องหลังของมัน ดาบในมือของเขาเปล่งประกายราวดาวตกที่กำลังจะสังหารมารภูติ

“ดาบทลายฟ้า มิใช่สิ่งที่เจ้าจะต่อต้านได้” เขากล่าวเบา ๆ

สิ้นคำ ดาบตวัดลง เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง พื้นดินเบื้องล่างถูกกรีดจนเป็นร่องลึก พยัคฆ์หางแมงป่องร้องคำราม ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วร่าง เพียงพลังแค่ปลายคมดาบ กลับทำให้มันได้รับบาดแผลสาหัสถึงเพียงนี้

ความสิ้นหวังสาดสะท้อนในดวงเนตรอสูร พลันตัดสินใจเผาผลาญปราณของตน จุดประกายพลังทำลายล้างหวังลากซ่งเหยียนเฟยไปสู่ห้วงนรกพร้อมกัน

“หากข้าจะตาย เจ้าก็มิอาจรอดไปได้!” มันคำรามสุดเสียง

ซ่งเหยียนเฟยมิอาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้น เขาสูดลมหายใจลึก กระชับดาบมั่น กล่าวเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์เช่นนั้นรึ?”

เงียบงัน...

ประหนึ่งสรรพสิ่งหยุดนิ่ง กาลเวลาถูกแช่แข็ง ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ทว่าดาบในมือซ่งเหยียนเฟยกลับแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าฟาด ทะลวงผ่านร่างมหึมาแห่งอสูรดุจพายุที่สวรรค์ส่งลงมา

ร่างพยัคฆ์หางแมงป่องกระอักโลหิต กรีดร้องดังก้อง ก่อนร่างของมันจะถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ พลังอสูรอันบ้าคลั่งที่กำลังจะระเบิดพลันถูกพลังปราณสีโลหิตของซ่งเหยียนเฟยกลืนกินจนหมดสิ้น ซากแห่งอสูรอันยิ่งใหญ่ลับหายไปจากโลกนี้ ราวกับไม่เคยดำรงอยู่

ซ่งเหยียนเฟยสะบัดดาบในมือเบา ๆ พลังปราณอันเกรี้ยวกราดที่ปะทุอยู่รอบกายค่อย ๆ หดหายกลับเข้าสู่ร่าง ประหนึ่งพายุร้ายที่พลันสงบลงฉับพลัน บรรยากาศโดยรอบซึ่งเคยปั่นป่วนกลับคืนสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

เขาเหลือบมองไปยังอวี้เหวิน ซึ่งซ่อนกายอยู่ท่ามกลางม่านฝุ่นที่ยังไม่ทันจางหาย ก่อนสะบัดแขนเสื้อ ดึงร่างของอีกฝ่ายออกมาอย่างแผ่วเบา ดวงตาคมดุจศาสตราไร้ความผันผวน

“ยังมีเรื่องที่ต้องสะสางก่อน” เสียงของซ่งเหยียนเฟยเยียบเย็นดุจสายน้ำใต้ธารน้ำแข็ง เขาถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่สร้อยคอบนร่างอวี้เหวิน เพียงพริบตา สร้อยเส้นนั้นพลันเรืองแสงวูบวาบก่อนจะหายลับเข้าสู่มิติของมัน อวี้เหวินเปลี่ยนสวมชุดคลุมยาวสีดำสนิท ปิดบังรูปลักษณ์และตัวตนตามคำบอกกล่าวของซ่งเหยียนเฟย จากนั้นจึงขับเคลื่อนพลังที่อีกฝ่ายส่งมาให้ พุ่งทะยานด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ มุ่งตรงไปยังกลุ่มบุรุษลึกลับที่แอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด

บุรุษทั้งห้าต่างอยู่ในสภาพอเนจอนาถ สามคนหมดสติไปแล้ว ส่วนอีกสองคนที่เหลือแม้ยังพอมีสติสัมปชัญญะ ทว่าร่างกายกลับสั่นเทา มิอาจยืนหยัดได้เต็มที่ อวี้เหวินซึ่งยืนตระหง่านอยู่ภายใต้ชุดคลุมดำจ้องมองพวกมันด้วยแววตาเย็นชา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำลึก

“พวกเจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้?”

หัวหน้ากลุ่มซึ่งยังเหลือสติถึงกับสะดุ้งเฮือก รีบก้าวออกมาค้อมกายต่ำลง สีหน้าฉายแววหวาดหวั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความนบนอบ “ท่านผู้อาวุโส ข้าและสหายเพียงเดินทางผ่านมาโดยมิได้มีเจตนาแอบแฝงใด ๆ ขอสาบานต่อพระเจ้าว่า พวกเรามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศึกเมื่อครู่ เพียงบังเอิญผ่านมาและพบเห็นเข้าเท่านั้น”

เขาก้มศีรษะลงต่ำ ก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงสั่นเครือ “หากท่านไม่โปรดให้พวกเราอยู่ต่อ ข้าพร้อมจะนำสหายที่หมดสติออกจากที่นี่โดยพลัน ขอท่านได้โปรดเมตตา”

อวี้เหวินเหลือบมองอีกฝ่าย สายตาเยียบเย็นประดุจคมกระบี่ที่ส่องสะท้อนแสงจันทร์ กลิ่นอายอันกดดันแผ่ซ่านออกจากร่างของเขา แม้มิได้เผยพลังใด ๆ ออกมาโดยตรง แต่แรงกดดันนั้นกลับหนักหน่วงราวขุนเขา

“จงจำไว้ให้ขึ้นใจ ที่แห่งนี้มิใช่สถานที่ที่พวกเจ้าจะมาเพ่นพ่านโดยพลการ หากวันนี้พวกเจ้ายังมีชีวิตรอด จงถือเสียว่าพระเจ้ายังเมตตา”

เขาสะบัดแขนเสื้อเบา ๆ ปราณอันลี้ลับแล่นแผ่ออกมาเป็นระลอกคลื่น บุรุษที่เหลือต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันน่าสะพรึง หัวหน้ากลุ่มถึงกับตัวสั่นระริก ก่อนก้มค้อมลงต่ำกว่าเดิม

“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่เมตตา พวกเราจะจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”

อวี้เหวินมองตามแผ่นหลังของพวกมันที่ค่อย ๆ ลับหายไปในม่านรัตติกาล ก่อนจะหันกลับเข้าสู่ความมืดดำ มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไปโดยไร้ร่องรอย ประหนึ่งเงาอันไร้ตัวตน ที่มีเพียงความว่างเปล่าเป็นสหายแห่งรัตติกาล

อวี้เหวินเคลื่อนกายฝ่าซากปรักหักพังของถ้ำอันพังทลาย สายตาคมกริบจับจ้องไปยังความมืดเบื้องหน้า ความเงียบงันครอบคลุมทั่วบริเวณ มีเพียงเสียงลมหายใจที่สงบลึกของเขาก้องสะท้อนอยู่ในความว่างเปล่า

เมื่อมาถึงที่พำนักของพยัคฆ์หางแมงป่อง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือบัลลังก์หินขนาดใหญ่ที่ถูกตัดแต่งอย่างวิจิตรตระการ สลักลวดลายเก่าแก่แฝงกลิ่นอายของพลังอสูรอันน่าหวั่นเกรง มิไกลจากบัลลังก์นั้น บ่อน้ำลาวาเรืองแสงสีแดงฉานเดือดพล่านราวอเวจีแห่งเปลวเพลิง รอบข้างล้อมรอบด้วยพืชวิเศษอันหาได้ยาก ดอกไม้เพลิงผลิบานด้วยสีสันเจิดจ้า รากพฤกษาลี้ลับแผ่กลิ่นอายร้อนระอุ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยพลังปราณธาตุไฟอันเข้มข้น

อวี้เหวินกวาดตามองไปรอบบริเวณอย่างละเอียด ซากของอสูรยังหลงเหลือเถ้าถ่านของพลังปราณ บ่งบอกถึงความรุนแรงของศึกเมื่อครู่ หินรอบ ๆ มีรอยแตกร้าว ลาวาเดือดพล่านเป็นฟองปุด ๆ ราวกับยังไม่อาจสงบลงได้ กลิ่นของกำมะถันเข้มข้นแผ่กระจายไปทั่ว อวี้เหวินรู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้มิใช่พำนักของพยัคฆ์หางแมงป่องเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนแหล่งพลังที่อสูรใช้ในการหล่อหลอมพลังของมัน

ขณะที่อวี้เหวินเพ่งพินิจพืชสมุนไพร พลันเสียงของซ่งเหยียนเฟยก็ดังก้องขึ้นในห้วงสำนึก

“ต้นเพลิงคราม กลีบของมันช่วยเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย เพิ่มพลังต้านทานเพลิงได้หลายเท่า

เถาวัลย์โลกันตร์ หากสกัดเป็นโอสถจะช่วยกระตุ้นเส้นปราณให้ดูดซับพลังไฟได้ดีขึ้น

ดอกเพลิงอมฤต เป็นยอดสมุนไพรที่ช่วยหลอมรวมพลังเพลิงเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ทำลายชีพจร เพียงแต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง

และสุดท้าย หยกสุริยันผลึกเพลิง ก้อนแร่ธาตุพิเศษที่สามารถเร่งการฝึกฝนให้ก้าวหน้าขึ้นได้หากใช้ในบ่อน้ำลาวานี้”

อวี้เหวินพยักหน้ารับคำกล่าวของซ่งเหยียนเฟย ดวงตาเปล่งประกายความมุ่งมั่น ก่อนจะรวบรวมพืชสมุนไพรที่จำเป็น จากนั้นจึงก้าวเข้าไปยังริมขอบบ่อน้ำลาวา ลมร้อนระอุแผดเผาทั่วทั้งร่าง แต่เขาหาได้สะทกสะท้านไม่

“หากเจ้าต้องการพัฒนาเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติไปสู่จุดที่สูงขึ้น จงใช้พลังแห่งบ่อเพลิงนี้เป็นสื่อกลาง” เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นอีกครา

อวี้เหวินสูดลมหายใจลึก ดวงตาเปล่งประกายแน่วแน่ จากนั้นจึงพุ่งกายลงสู่บ่อน้ำลาวาโดยมิลังเล

ทันทีที่ร่างจมสู่ห้วงเพลิงอัคคี ความร้อนราวกับแผดเผาวิญญาณแล่นผ่านทั่วทั้งกาย ความเจ็บปวดแล่นลึกเข้าสู่กระดูกและเส้นปราณราวกับถูกเผาด้วยอัคคีสวรรค์ หากเป็นผู้ฝึกยุทธทั่วไปคงมอดไหม้ในพริบตา ทว่าอวี้เหวินมิใช่คนธรรมดา เขากัดฟันแน่น บีบเค้นพลังกายออกมาต้านทาน ขณะเดียวกันก็เริ่มเคลื่อนเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติ พลังเพลิงคุโชนหลั่งไหลผ่านเส้นลมปราณ เปลวอัคคีแปรเปลี่ยนเป็นคมศาสตรากำลังหลอมหล่อร่างกายของเขาให้บริสุทธิ์จากสิ่งสกปรกทั้งมวล

ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ปะทุเดือดพล่าน อวี้เหวินฝืนร่างกายดำดิ่งลงสู่บ่อลาวา ความร้อนแผดเผาราวกับเปลวเพลิงจากนรก เขารู้สึกได้ถึงพลังเผาผลาญที่ซึมลึกเข้าสู่เส้นเลือด กระดูก และอวัยวะภายใน ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วร่าง ราวกับถูกคมดาบนับพันเฉือนลงทุกขณะ เหงื่อของเขาระเหยไปทันทีที่ไหลออกมา ผิวหนังแดงก่ำราวกับเหล็กที่ถูกเผาจนร้อนจัด แต่แม้ร่างกายจะร้องคร่ำครวญด้วยความทรมาน อวี้เหวินกลับกัดฟันแน่น ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้

เขารวบรวมพลังปราณอัคคีจากบ่อลาวา หล่อหลอมร่างกายด้วยเปลวเพลิงดั่งการตีดาบ ปราณเพลิงจากลาวาหลั่งไหลเข้าไปในเส้นชีพจรทุกสาย ร่างกายของเขาราวกับจะฉีกขาดเป็นเสี่ยง ๆ แต่เขากลับแค่นเสียงคำราม ฝืนกล้ำกลืนต่อไป "ข้าย่อมต้องแข็งแกร่งขึ้น... จะต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้!" เขากระชับจิตมั่นคงแน่วแน่ ควบคุมลมหายใจให้สอดคล้องกับพลังลาวา อาศัยเพลิงอันร้อนแรงเผาผลาญสิ่งสกปรกในร่างกาย สร้างความบริสุทธิ์ให้แก่พลังลมปราณของตนเอง

ระลอกความเจ็บปวดพุ่งกระหน่ำเข้ามาไม่หยุดหย่อน แต่แล้วร่างของเขาก็ค่อย ๆ ปรับตัว ความร้อนที่เคยทรมานเริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเขา วิชาเตาอัสนีวิบัติของเขากำลังก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น...

---

ในขณะเดียวกัน ที่เรือนรับแขกของหมู่บ้านเชิงเขา ร่างขององครักษ์วัยกลางคนซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลก้าวเข้ามาในห้องอย่างยากลำบาก นายน้อยตระกูลหวังซึ่งนั่งอยู่ภายใน เหลือบมองเขาด้วยสายตาคมกริบก่อนเอ่ยขึ้น

“เกิดอันใดขึ้นกันแน่? เหตุใดเจ้าจึงมีสภาพเยี่ยงนี้?”

องครักษ์รีบค้อมกายต่ำก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ข้าและพรรคพวกได้รับคำสั่งจากท่านให้สืบหาสิ่งที่ต้องการ แต่พลันได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นจากทิศเหนือ เราจึงรีบรุดไปดู ก็พบกับการต่อสู้ที่เกินกว่าจินตนาการ...”

นายน้อยเลิกคิ้ว ดวงตาฉายแววสนใจ “การต่อสู้?”

“ใช่ขอรับ! มันมิใช่ศึกธรรมดา แต่เป็นการปะทะกันระหว่างอสูรพยัคฆ์หางแมงป่องกับบุคคลลึกลับที่ทรงพลังเกินหยั่งถึง” องครักษ์กลืนน้ำลายเล็กน้อย ราวกับยังรู้สึกถึงพลังสะท้านฟ้าที่ได้สัมผัส “พลังของผู้อาวุโสท่านนั้น... ข้าคาดคะเนว่าอาจอยู่ในระดับ ‘ก่อกำเนิด’ เป็นอย่างน้อย มิฉะนั้นคงมิอาจสังหารอสูรระดับนี้ลงได้โดยง่าย”

นายน้อยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าครุ่นคิด ก่อนเอ่ยช้า ๆ “เช่นนี้เองหรือ...”

องครักษ์สังเกตสีหน้าของนายน้อยก็พลันเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนของพลังเช่นกัน เขาจึงกล่าวต่อ “หลังการต่อสู้สิ้นสุด ข้ากับพรรคพวกคิดจะซ่อนตัวไม่ให้ถูกพบเห็น แต่สุดท้ายกลับไม่รอดพ้นจากสายตาของผู้อาวุโสท่านนั้น ทว่าด้วยความเมตตา ท่านผู้อาวุโสจึงปล่อยให้พวกเรารอดชีวิต ข้ามิกล้าพำนักอยู่ในที่แห่งนั้นอีกแม้เพียงลมหายใจเดียว จึงรีบกลับมารายงานท่านทันที”

นายน้อยพยักหน้า ดวงตาฉายแววลึกซึ้งราวกับกำลังขบคิดเรื่องราวบางอย่าง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “เจ้าไปพักรักษาตัวเถิด ข้าจะมีคำสั่งอีกครั้งในภายหลัง”

“ขอบพระคุณท่านนายน้อย” องครักษ์ค้อมกายคารวะก่อนถอยออกไป เหลือเพียงนายน้อยที่ยังคงนั่งนิ่ง สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นจนเห็นได้ชัด

---

หลายชั่วยามผ่านไป ท่ามกลางไอความร้อนที่คุกรุ่นจนบิดเบือนอากาศ อวี้เหวินยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางบ่อลาวา เปลวเพลิงสีแดงฉานแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา คลื่นพลังลุกโชนดุจเปลวอัคคีที่กำลังเต้นระริกรอบตัว ร่างของเขาสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดที่กัดกินไปทุกอณู ราวกับร่างกายกำลังถูกหล่อหลอมใหม่โดยคมคีมแห่งสวรรค์และเปลวเพลิงแห่งนรก

ผิวหนังของเขาแต่ก่อนแดงฉานดั่งเหล็กเผา ทว่าบัดนี้เริ่มเปลี่ยนไป เผยให้เห็นความเงางามดุจหยกเนื้อดี ทว่ายามสัมผัสกลับแข็งแกร่งดังเหล็กกล้าชั้นเลิศ ทุกเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อของเขาถูกอัคคีชำระล้างให้บริสุทธิ์ พลังกำจายไปทั่วทุกขุมขน ราวกับร่างกายทั้งร่างกลายเป็นเตาหลอมโลหะที่เก็บงำเปลวเพลิงแห่งพลังเอาไว้ พร้อมจะระเบิดออกเพื่อบดขยี้ศัตรูทุกผู้ทุกนาม!

อวี้เหวินกัดฟันแน่น ฝืนความทรมานที่ราวกับร่างกายกำลังถูกเผาผลาญและฉีกกระชากเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง แต่ดวงตากลับทอประกายแห่งความแน่วแน่ เขากระชับจิตมั่น ดำดิ่งเข้าสู่การบ่มเพาะพลังอย่างถึงที่สุด!

“ต้องก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ให้ได้!” เขาคำรามในใจ ก่อนเร่งเร้าพลังปราณอัคคีให้หมุนเวียนไปทั่วร่าง

ทันใดนั้นเอง คลื่นพลังมหาศาลก็ปะทุขึ้น! ลาวาโดยรอบปั่นป่วนเป็นเกลียวคลื่นราวกับถูกแรงบางอย่างดูดกลืนเข้าไป พลังอัคคีพรั่งพรูเข้าสู่ร่างของอวี้เหวินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับพายุเพลิงกำลังก่อเกิดขึ้นในร่างของเขา

ในชั่วพริบตา เสียงดังกัมปนาทสะท้อนก้องไปทั่วถ้ำ!

เปรี้ยง!

ร่างของอวี้เหวินพุ่งทะยานขึ้นจากบ่อลาวา ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ เปลวเพลิงโหมกระหน่ำเป็นวงแหวนรอบกายของเขา เส้นผมพลิ้วไหวท่ามกลางไอร้อนมหาศาล ดวงตาฉายแววคมปลาบดุจอสนีบาต เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล

“ก้าวข้ามขอบเขตก่อตั้งรากฐานขั้นกลาง... สู่กำเนิดกายขั้นต้นแล้ว!” อวี้เหวินกระซิบเบา ๆ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความปีติ วิชาเตาอัสนีวิบัติของเขาก็ทะยานสู่ขั้นแรกระดับสูงสุดแล้วเช่นกัน

นี่เป็นการเลื่อนระดับอันรวดเร็วถึงสามขอบเขตเล็กภายในพริบตาเดียว! เป็นสิ่งที่เหล่าผู้บ่มเพาะพลังต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะทำได้!

แม้แต่ซ่งเหยียนเฟยที่ซ่อนตัวเฝ้าดูอยู่จากเงามืดยังอดมิได้ที่จะพยักหน้าด้วยความชื่นชม "พรสวรรค์เหนือมนุษย์ ความกล้าหาญมิอาจเทียบเคียง... ช่างเป็นบุคคลที่น่าจับตามองจริง ๆ"

เมื่อทุกอย่างสงบลง อวี้เหวินสูดลมหายใจลึก ความกระหายในการทดสอบพลังพลันปะทุขึ้นในใจ เขาคลี่ยิ้มบางก่อนกำหมัดแน่น หมัดของเขาเปล่งประกายร้อนระอุ ราวกับหมัดแห่งเทพอัคคี!

“ลองดูสักหน่อยเถิด!” เขาแค่นเสียง ก่อนปล่อยพลังออกมาทันที!

ตูมมมมมม!!!

เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วถ้ำ หมัดเดียวของอวี้เหวินทำให้ผนังถ้ำด้านหนึ่งพังทลาย รอยร้าวแผ่กระจายไปเป็นวงกว้าง ฝุ่นควันลอยคลุ้ง พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม

อวี้เหวินจ้องมองผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น พลางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "เช่นนี้... ต่อให้ต้องประจันหน้ากับยอดฝีมือระดับหลอมรวมกาย ข้าก็ยังมิอาจพ่ายแพ้!"

สายลมอุ่นพัดแผ่วมา กระตุ้นให้อวี้เหวินตระหนักถึงความเงียบสงบของราตรี ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือฟากฟ้า นั่นเอง เขาจึงรับรู้ว่าบัดนี้เป็นยามค่ำคืนแล้ว

“สมควรแก่เวลา... ควรกลับบ้านเสียที” เขากล่าวเบา ๆ ก่อนสะบัดชายอาภรณ์ หันหลังเดินออกจากถ้ำด้วยท่วงท่าสง่างาม ความก้าวหน้าครั้งนี้เปลี่ยนเขาไปตลอดกาล!

จากนี้ไป... อวี้เหวินจะมิใช่คนเดิมอีกต่อไป!