ผ่านไปหลายชั่วยาม ท่ามกลางสายลมราตรีอันเงียบสงัด เงาหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือปากปล่องลาวา ลมวูบหนึ่งพัดไอร้อนให้กระจายออก เผยให้เห็นร่างของชายชราในอาภรณ์ดำหม่น เส้นผมสีเทาแซมขาวปล่อยยาวถึงกลางหลัง ดวงตาเรียวเล็กเป็นประกายเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มมุมปากฉายความเจ้าแผนการอันลึกล้ำ ชายชราผู้นี้ดูคล้ายเร่ร่อนไร้หลักแหล่ง แต่ทุกอากัปกิริยากลับเต็มไปด้วยพลังอันลึกล้ำ และแฝงกลิ่นอายของพรรคมารอย่างเด่นชัด
เขากวาดตามองร่องรอยพลังที่ยังคงหลงเหลืออยู่ บ่อลาวาที่ยังคงเดือดพล่าน และเศษซากของแรงระเบิด ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเคราของตนพลางถอนหายใจเบา ๆ
“มาสายไปงั้นรึ?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย ราวกับพลาดโอกาสสำคัญไปเสียแล้ว
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นเรียบเฉย แต่ในดวงตากลับฉายแววครุ่นคิด คำนวณกลอุบายภายในใจ
“ภูเขาแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง… บางทีที่นั่นอาจมีเบาะแสที่ข้าต้องการ” เขาพึมพำกับตนเอง ก่อนจะกระตุกยิ้มบาง ๆ อย่างมีเลศนัย
แล้วในชั่วพริบตา ร่างของเขาก็พลันเลือนหายไปพร้อมกับสายลม ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายแห่งความลึกลับ และแรงลมที่พัดกระพือรอบพื้นที่นั้น
---
ภายในหมู่บ้านเทียนฟู ยามรุ่งอรุณ อวี้เหวินทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ทาบทับพื้นดินไล่ความเย็นของราตรี ความคิดของเขาล่องลอยกลับไปสู่เหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา...
เมื่อคืน... หลังจากที่เขากลับมาถึงบ้าน ทั่วหมู่บ้านยังคงเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบถึงแรงสั่นสะเทือนและเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพียงแต่พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังอันกดดันแปลกประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่ว
บิดาของเขา อวี้หลาน เต็มไปด้วยความกังวลเพราะรู้ว่าบุตรชายของตนเข้าภูเขาไปและยังไม่กลับมา แม้จะรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นอวี้เหวินกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ความโกรธและความห่วงใยก็ปะปนกันจนอดมิได้ที่จะดุด่าบุตรชายไปยกใหญ่
อวี้เหวินพยายามเกลี้ยกล่อมบิดา ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้รับอันตรายใด ๆ แถมยังแสดงให้เห็นถึงร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นจนสามารถแผ่ความกดดันออกมาได้ นั่นเองจึงทำให้บิดาของเขาค่อย ๆ ใจเย็นลงและเริ่มรู้สึกยินดีที่บุตรชายก้าวหน้าถึงเพียงนี้ ในที่สุด อวี้เหวินจึงรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างหวุดหวิด...
---
อวี้เหวินพลิกฝ่ามือ เบื้องหน้าคือเถาวัลย์โลกันตร์ ดอกเพลิงอมฤต หยกสุริยันผลึกเพลิง และเม็ดแก่นพลังพยัคฆ์หางแมงป่องกว่า 100 เม็ด สมบัติล้ำค่าที่เขาได้มาจากถ้ำของอสูรพยัคฆ์หางแมงป่องเมื่อคืน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบอันหาได้ยากยิ่งและเต็มไปด้วยพลังอันบริสุทธิ์
“แหวนมิติ… หากมีแหวนมิติ ข้าก็จะสามารถเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้โดยไม่ต้องกังวล” อวี้เหวินพึมพำเบา ๆ ความตั้งใจแน่วแน่พลันฉายชัดในแววตา
เขาลุกขึ้น ก่อนจะก้าวออกจากห้องไปยังร้านค้าของหวังหลิน สถานที่เดียวที่เขาคิดว่าสามารถแลกเปลี่ยนของล้ำค่าเหล่านี้เป็นแหวนมิติได้ เขายังจำได้ดีถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับหวังหลินเมื่อวานนี้ วันนี้เป็นเวลาที่เขาจะทำตามสัญญานั้น
เมื่ออวี้เหวินก้าวเข้าสู่ร้านค้าของหวังหลิน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรวิถีเซียนอบอวลอยู่ในอากาศ ภายในร้านตกแต่งเรียบง่าย ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของพลังปราณ บนชั้นไม้เก่าแก่เรียงรายไปด้วยขวดหยกและห่อสมุนไพรสีทอง บางชิ้นยังคงเปล่งแสงจาง ๆ ราวกับมีชีวิต
กลางห้อง หวังหลินกำลังตรวจสอบโอสถเม็ดหนึ่งอยู่ ทว่าทันทีที่เงาของอวี้เหวินปรากฏที่หน้าประตู รอยยิ้มบางเบาก็แต้มขึ้นบนริมฝีปากของเขา ดวงตาเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ปนความสนใจ เขาวางโอสถลงอย่างแช่มช้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"น้องอวี้... พร้อมแล้วหรือไม่?"
อวี้เหวินยิ้มบาง เดินเข้ามานั่งตรงข้ามโดยไม่รอให้เชื้อเชิญ ดวงตาของเขาฉายแววแน่วแน่ก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่น
"พี่หวัง ข้าได้นำสิ่งของมาแลกเปลี่ยนตามที่เราตกลงกันไว้เมื่อวานนี้... เพียงแต่ ข้าไม่มีแก่นพลังพยัคฆ์หางแมงป่องครบสามร้อยเม็ดตามที่ท่านเรียกร้อง ข้าหามาได้เพียงร้อยกว่าเม็ดเท่านั้น แต่... ข้ามีบางสิ่งที่อาจทำให้ท่านสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน"
ดวงตาของหวังหลินฉายแววสนใจ มือข้างหนึ่งยกถ้วยชาขึ้นจิบ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความอยากรู้อยากเห็น "โอ้? เช่นนั้น เจ้าคิดจะเสนอสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนกับแหวนมิติของข้า?"
อวี้เหวินยกมือขึ้น พลิกฝ่ามืออย่างแช่มช้า เบื้องหน้าเขาปรากฏเถาวัลย์โลกันตร์สีแดงฉาน ดอกเพลิงอมฤตที่แผ่กลิ่นหอมรัญจวน หยกสุริยันผลึกเพลิงที่เปล่งแสงราวอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ และแก่นพลังพยัคฆ์หางแมงป่องร้อยกว่าเม็ด สิ่งเหล่านี้วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ราวกับเป็นขุมสมบัติที่เพิ่งขุดขึ้นมาจากแผ่นดินสวรรค์
ดวงตาของหวังหลินเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มือที่ถือถ้วยชาอยู่หยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะวางลงอย่างระมัดระวัง เขาโน้มตัวมาด้านหน้า สายตากวาดมองสมบัติตรงหน้าพลางพึมพำเบา ๆ
"เถาวัลย์โลกันตร์... ดอกเพลิงอมฤต... หยกสุริยันผลึกเพลิง... ของเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นยอดที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะระดับสูงยังต้องแย่งชิงกัน นี่มัน... น้องชาย เจ้าไปเสาะหาสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใดกัน?"
อวี้เหวินยิ้มบาง "เพียงโชคช่วยเท่านั้น ข้าพบมันในถ้ำของพยัคฆ์หางแมงป่องเมื่อคืน"
หวังหลินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแววจริงจัง "น้องชาย ของเหล่านี้มีค่ามากกว่าแหวนมิติของข้าเสียอีก ข้ายินดีจะแลกแหวนมิติให้เจ้าโดยไม่ต้องใช้แก่นพลังพยัคฆ์หางแมงป่องเลยแม้แต่เม็ดเดียว"
อวี้เหวินหัวเราะเบา ๆ "พี่หวัง ท่านคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือ? ข้าอาจต้องการแหวนมิติ แต่ข้าย่อมรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าข้าเช่นกัน ข้าจะไม่มอบทั้งหมดให้ท่านแน่นอน"
หวังหลินหลุบตาลงครุ่นคิดก่อนจะยิ้มออกมา "เช่นนั้น เจ้าต้องการแลกเปลี่ยนอย่างไร?"
อวี้เหวินยกมือขึ้น หยิบหยกสุริยันผลึกเพลิงและดอกเพลิงอมฤตออกมาครึ่งหนึ่ง พร้อมกับเถาวัลย์โลกันตร์จำนวนหนึ่งก่อนจะกล่าว "ของเหล่านี้ควรเพียงพอสำหรับแหวนมิติของท่าน แต่ถ้าท่านยังคิดว่าไม่คุ้มค่า... ข้าอาจต้องนำของเหล่านี้ไปแลกเปลี่ยนกับร้านอื่นแทน"
หวังหลินหัวเราะออกมา "เจ้าช่างเจรจาได้แยบยลนักน้องชาย ดี! ข้าตกลงแลกเปลี่ยน แต่หากเจ้าได้สิ่งของเช่นนี้มาอีกในอนาคต จงมาหาข้าเป็นคนแรก ข้ายินดีจะให้ราคาสูงกว่าผู้อื่นเป็นแน่"
อวี้เหวินพยักหน้า "ตกลง ท่านส่งแหวนมิติให้ข้าได้แล้วหรือยัง?"
หวังหลินหยิบแหวนมิติออกมา วางลงบนโต๊ะเบื้องหน้า ก่อนจะคว้าสมบัติเหล่านั้นขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ และอวี้เหวินเองก็ลอบยิ้มอย่างพึงใจเช่นกัน การเจรจานี้... ถือเป็นผลลัพธ์ที่เขาต้องการโดยแท้
หวังหลินนิ่งไปชั่วขณะ แววตาที่ฉายประกายความคิดลึกล้ำฉายแววครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่รอยยิ้มบาง ๆ จะผุดขึ้นบนริมฝีปากของเขา แฝงไปด้วยความล้ำลึกและความตระหนักรู้ เขาพลันเงยหน้าขึ้น มองอวี้เหวินด้วยแววตาแน่วแน่ น้ำเสียงหนักแน่นเปี่ยมอำนาจเอื้อนเอ่ยออกมา
"น้องอวี้ จงรอข้าสักครู่"
กล่าวจบ ร่างสูงสง่าภายใต้ชุดยาวสีเข้มสะบัดชายแขนเสื้อพริ้วไหว ก่อนจะหมุนกายเดินลึกเข้าไปยังห้องด้านในของร้าน ราวกับเงาแห่งสายลมที่เลือนหายไปในม่านหมอกปราณ ภายในห้องบรรยากาศนิ่งสงบ มีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านหน้าต่าง ทำให้ม่านผ้าบางพลิ้วไหวไปมา อวี้เหวินนั่งรออยู่ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง แม้ปากจะแย้มรอยยิ้มบาง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นแผ่วเบาดังก้องขึ้นอีกครั้ง หวังหลินกลับออกมา ในมือของเขาถือกล่องไม้โบราณสลักลวดลายอักขระวิญญาณลึกลับ กล่องไม้ชิ้นนี้เป็นไม้หอมดำสนิท ราวกับกลั่นจากแก่นแท้ของพงไพรศักดิ์สิทธิ์ ลวดลายที่แกะสลักไว้เรืองรองระยับ แฝงกลิ่นอายแห่งกาลเวลาที่แสนยาวนาน ทั่วทั้งกล่องมีหมอกปราณจาง ๆ หลั่งไหลวนเวียนอยู่ไม่ขาดสาย ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามดั่งสมบัติล้ำค่าที่ซุกซ่อนความลี้ลับแห่งสวรรค์
หวังหลินก้าวมาถึงโต๊ะก่อนจะวางกล่องไม้นั้นลงเบื้องหน้าอวี้เหวิน ดวงตาของเขาทอดมองอีกฝ่ายด้วยความจริงจัง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความลึกล้ำ
"สิ่งที่เจ้ามอบให้ข้านั้นหาใช่ของธรรมดาไม่ หากข้ารับไปโดยมิได้ตอบแทนให้สมค่า เกรงว่าจิตใจของข้าคงมิอาจสงบนิ่งได้ ของสิ่งนี้...จงรับมันไป"
เขาค่อย ๆ ผลักกล่องไม้ไปตรงหน้าอวี้เหวิน ราวกับเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงผู้ถูกเลือกเท่านั้นจะมีวาสนาได้ครอบครอง
อวี้เหวินทอดมองกล่องไม้ตรงหน้าด้วยแววตาเคร่งขรึม ลมหายใจแผ่วเบาอย่างระมัดระวังขณะเอื้อมมือไปแตะลงบนฝากล่อง พื้นผิวไม้เรียบลื่นดุจหยกเย็น มือของเขาค่อย ๆ เปิดกล่องออกอย่างเชื่องช้า
ทันทีที่ฝากล่องแง้มออก แสงสีทองอ่อน ๆ พลันสาดส่องออกมาเป็นประกายอบอุ่น ลำแสงนั้นราวกับเป็นสุริยันที่ทอแสงทาบทอลงบนปุยเมฆในยามรุ่งอรุณ พร้อมกันนั้น กลิ่นหอมเย็นเยือกแต่เปี่ยมไปด้วยพลังลึกล้ำก็พลันแผ่กระจายออกมา ส่งผลให้พลังปราณโดยรอบพลันหวั่นไหว ดุจสรรพชีวิตต่างโค้งคำนับต่อความยิ่งใหญ่ของมัน
ภายในกล่อง บรรจุไข่มุกเม็ดหนึ่งซึ่งเปล่งแสงเรืองรอง มันคือไข่มุกสีทองที่งดงามยิ่งนัก ประกายเรืองรองราวกับเป็นหยาดหยดแห่งสุริยัน ถูกหลอมรวมและกลั่นออกมาจนกลายเป็นแก่นแท้แห่งแสงสว่างที่สมบูรณ์แบบ ลำแสงอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากไข่มุกนี้มิใช่เพียงแสงสว่างธรรมดา หากแต่เป็นพลังปราณที่บริสุทธิ์ ล้ำลึก และเปี่ยมด้วยพลังแห่งมหาสมุทรหยาง
หวังหลินเผยรอยยิ้มบาง ๆ ขณะกล่าวเสียงเนิบนาบ "นี่คือ 'ไข่มุกสวรรค์สุริยัน' หนึ่งในสมบัติแห่งตำนาน ว่ากันว่าถูกกลั่นขึ้นจากแก่นแท้แห่งดวงตะวัน สามารถดูดซับพลังจากแสงอาทิตย์และแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณบริสุทธิ์อันไร้ขอบเขต ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างร่างกายและเพิ่มพลังบ่มเพาะ แต่หากเจ้าตกอยู่ในภาวะคับขัน เพียงกระตุ้นพลังของไข่มุกนี้ มันจะสร้างเกราะสุริยันคุ้มครองเจ้าจากอันตราย อาจเป็นเสี้ยววินาทีที่ชี้ชะตาความเป็นความตายของเจ้าได้เลยทีเดียว"
ดวงตาของอวี้เหวินสั่นไหวด้วยความตื่นตะลึง สมบัติระดับนี้...หาได้ยากยิ่งในใต้หล้า แม้แต่ผู้บ่มเพาะระดับสูงก็ต้องหมายตา ความสำคัญของมันเทียบเท่ากับสมบัติวิเศษที่สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของผู้ครอบครองได้โดยแท้
เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้น สัมผัสไข่มุกสวรรค์สุริยัน พลังอันยิ่งใหญ่ที่ไหลเวียนอยู่ภายในมันทำให้เขารู้สึกถึงความสงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจอันมหาศาลราวกับมหาสมุทรแห่งพลังหยางที่มิอาจหยั่งถึง
อวี้เหวินสูดหายใจลึก เงยหน้ามองหวังหลินด้วยแววตาขอบคุณ "พี่หวัง ของสิ่งนี้ล้ำค่าเกินไปนัก ข้ามิอาจรับไว้โดยปราศจากสิ่งตอบแทน..."
หวังหลินหัวเราะเบา ๆ ยกมือขึ้นปราม "อย่ากังวลไป น้องชาย ของสิ่งนี้ข้าเก็บรักษาไว้เนิ่นนาน แต่ไม่เคยมีวาสนาใช้อย่างแท้จริง ข้าคิดว่าเจ้าคือผู้ที่เหมาะสมกับมันที่สุด หากเจ้าใช้มันได้เกิดประโยชน์สูงสุด นั่นย่อมดีกว่าปล่อยให้มันถูกเก็บไว้โดยไร้ค่า"
อวี้เหวินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ก้มศีรษะลงต่ำ เอ่ยเสียงหนักแน่น "เช่นนั้น ข้าขอรับไว้ด้วยใจซาบซึ้ง หากวันใดข้ามีโอกาส ข้าย่อมตอบแทนท่านเป็นแน่"
หวังหลินยิ้มบาง "ในอนาคต เส้นทางของผู้บ่มเพาะยังอีกยาวไกล ข้าเชื่อว่าเจ้าจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด และเมื่อวันนั้นมาถึง บางที...อาจเป็นข้าที่ต้องมาพึ่งพาเจ้าก็เป็นได้"
ทั้งสองสบตากัน ก่อนที่เสียงหัวเราะเบา ๆ จะดังขึ้น บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเป็นมิตร แม้จะเป็นการแลกเปลี่ยนสมบัติ แต่แท้จริงแล้ว...สิ่งที่พวกเขาแลกเปลี่ยนกันมากกว่านั้น คือมิตรภาพที่เกิดขึ้นบนเส้นทางอันยากลำบากของเหล่าผู้บ่มเพาะ
อวี้เหวินยืนสงบนิ่งเบื้องหน้าหวังหลิน ก่อนจะค่อย ๆ หยิบแหวนมิติขึ้นมาพินิจพิเคราะห์ แสงเรืองรองจาง ๆ แผ่กระจายออกมาจากแหวน มันเป็นแหวนที่ดูธรรมดาหากมองเผิน ๆ แต่แท้จริงแล้ว ภายในกลับกักเก็บพื้นที่อันกว้างใหญ่เอาไว้ ราวกับจักรวาลที่ถูกบรรจุลงในสิ่งเล็กจ้อย
เขาล้วงเอากริชเล่มเล็กออกมา แล้วค่อย ๆ กรีดปลายนิ้วของตนเองให้หยดโลหิตหยดหนึ่งไหลรินลงบนผิวแหวน โลหิตซึมซาบเข้าสู่แหวนทันที ราวกับสายน้ำที่ถูกผืนดินดูดซับ และในชั่วพริบตา อักขระโบราณบางอย่างพลันปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนจะจางหายไป แหวนมิติบัดนี้ได้กลายเป็นของเขาโดยสมบูรณ์แล้ว
อวี้เหวินมิได้ลังเล เขาใช้พลังปราณกระตุ้นแหวนมิติ พลันสมบัติและวัตถุอันล้ำค่าทั้งหมดเบื้องหน้าก็ถูกดูดเข้าไปในแหวนอย่างรวดเร็ว ราวกับสายลมที่พัดพาใบไม้ร่วงไปตามแรงลม ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง
เขาเงยหน้าขึ้น สบตากับหวังหลินด้วยสายตาแน่วแน่ ก่อนจะประสานมือคารวะ "พี่หวัง ข้ารู้ซึ้งถึงน้ำใจของท่านในครั้งนี้ยิ่งนัก มิว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร หากมีโอกาส ข้าย่อมตอบแทนท่านแน่นอน"
หวังหลินหัวเราะเบา ๆ พลางโบกมือ "มิจำเป็นต้องพูดเช่นนั้น เส้นทางแห่งการบ่มเพาะยังอีกยาวไกล เมื่อถึงวันนั้น บางทีข้าอาจต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าเสียเองก็เป็นได้"
อวี้เหวินยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหมุนกายเดินออกจากร้าน ฝีเท้าของเขาหนักแน่นมั่นคง ราวกับไร้ความลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อก้าวออกมายังถนนใหญ่ ขบวนร้านค้าของตระกูลหวังยังคงคึกคัก ผู้คนสัญจรไปมา เสียงพ่อค้าเร่เรียกลูกค้าดังระงม ทว่าขณะที่เขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน จู่ ๆ ความรู้สึกเย็นเยียบพลันแทรกซึมเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง ขนลุกชันโดยไม่ทราบสาเหตุ
สายตาของเขาเหลือบไปเห็นชายชราผู้หนึ่งเดินสวนผ่านมา
บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์สีดำหม่น เส้นผมสีเทาแซมขาวปล่อยยาวถึงกลางหลัง ดวงตาเรียวเล็กแฝงประกายเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มที่มุมปากของเขาชวนให้รู้สึกประหลาดใจ ชายชราดูคล้ายกับนักเดินทางไร้หลักแหล่ง หากแต่ทุกอากัปกิริยากลับแฝงไปด้วยพลังอันลึกล้ำ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาเต็มไปด้วยพลังมารที่เด่นชัด
ชายชราหันมามองอวี้เหวิน แววตาของเขาจับจ้องไปที่แหวนมิติบนมือของอวี้เหวิน ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมายังบริเวณลำคอของเขา แล้วจึงสบตากับอวี้เหวินโดยตรง แววตาคู่นั้นล้ำลึกราวกับห้วงเหวไร้ก้น รอยยิ้มประหลาดที่มุมปากของเขาดูราวกับว่าซ่อนแผนการบางอย่างเอาไว้
อวี้เหวินรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ชอบมาพากล ความรู้สึกไม่สบายใจคืบคลานเข้ามาโดยมิทราบสาเหตุ เขาสูดลมหายใจลึก พยายามรักษาความสงบของจิตใจ ทว่าภายในใจกลับคล้ายคลื่นใต้น้ำที่ปั่นป่วน
ขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในห้วงจิต
"คนผู้นี้ฝึกฝนวิชาสายมาร มิจำเป็นต้องกลัว หากเขากล้าทำร้ายเจ้า ข้าจะสังหารเขาแน่นอน"
อวี้เหวินรับรู้ได้ถึงกระแสพลังอันหนักแน่นที่ส่งผ่านมาจากสร้อยคอของเขา ซ่งเหยียนเฟย ผู้ที่อยู่ร่วมกับเขามาโดยตลอดกำลังกล่าววาจาอย่างมั่นใจ ราวกับเป็นโล่กำบังที่ปกป้องเขาจากเงามืดที่แฝงตัวอยู่
เขาเงยหน้ามองชายชราอีกครั้ง แต่ครานี้สายตาของเขาแน่วแน่ขึ้น ไม่หวั่นไหวเหมือนก่อนหน้า ชายชรายังคงแสยะยิ้ม ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงเงาหลังที่ชวนให้รู้สึกไม่วางใจ
อวี้เหวินเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะพึมพำในใจ "ข้าเองก็อยากรู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่กำลังจ้องมองข้าอยู่..."
หลังจากยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วออกเดินต่อไป ไม่นานนัก เขาก็เดินพ้นเขตหมู่บ้าน มุ่งหน้าสู่เทือกเขาเบื้องหน้า ทิ้งเรื่องราวเบื้องหลังไว้เบื้องหลังชั่วคราว แต่ลึกลงไปในใจ เขารู้ดีว่าภัยเงามืดยังคงติดตามมา และไม่ช้าก็เร็ว การเผชิญหน้าที่แท้จริงย่อมต้องมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงมิได้