ภายในเรือนรับรองแขกแห่งหมู่บ้านเทียนฟู บรรยากาศในห้องเจรจาคลุ้งไปด้วยกลิ่นชาอ่อน ๆ ควันจางลอยขึ้นจากกาน้ำชาเคลือบเงา หวังหยวนนั่งอยู่ ณ ที่นั่งอันสูงศักดิ์ เบื้องหน้าคือหัวหน้าหมู่บ้านเทียนฟู ผู้มีท่าทางสุขุมแต่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
"ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าได้ยินมาว่าเมื่อประมาณหนึ่งถึงสองเดือนก่อน มีแสงประหลาดดั่งดาวตกพุ่งลงมายังเขตเขาใกล้หมู่บ้านแห่งนี้ มิทราบว่ามีผู้ใดเห็นสิ่งนั้นอย่างชัดเจนบ้างหรือไม่" หวังหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความหมายล้ำลึก
หัวหน้าหมู่บ้านขยับกาน้ำชาช้า ๆ ก่อนถอนหายใจเบา ๆ "เรื่องนี้... ข้าเองก็ได้ยินมาอยู่บ้าง มีชาวบ้านบางคนอ้างว่าเห็นประกายสีแดงฉาน ตกลงยังหุบเขา แต่...หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปสำรวจด้วยตนเอง" เขาเว้นระยะไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบา "ท่านเองก็มาที่นี่เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่?"
หวังหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางจิบชาตรงหน้า สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง แต่ภายในดวงตา ทอแววพินิจครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ "ในเมื่อมีดาวตกปริศนา ตกลงในเขตนี้ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปตรวจสอบเลยแม้แต่ผู้เดียว? หรือว่า... มีบางสิ่งที่มิอาจเปิดเผยต่อคนนอก?"
หัวหน้าหมู่บ้านจ้องมองหวังหยวนอยู่ชั่วขณะก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล "ท่านนายน้อยกล่าวถูกต้องแล้ว คนของเราต่างหวาดกลัวสิ่งที่ไม่รู้แจ้ง โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับภูตผีปีศาจในป่าเขาแห่งนี้มาแต่โบราณกาล อีกทั้ง... หลังจากที่ดาวตกดวงนั้นตกลงมา ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในป่า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายที่เริ่มหายไปโดยไร้ร่องรอย หรือเงาปริศนาที่บางคนอ้างว่าเห็นแวบผ่านไปในยามราตรี"
หวังหยวนรับฟังพลางใช้นิ้วเคาะเบา ๆ ลงบนโต๊ะไม้เคลือบเงาอย่างครุ่นคิด แต่ก่อนที่เขาจะกล่าวสิ่งใด เสียงฝีเท้าฉับไวพลันดังขึ้นนอกประตู ก่อนที่องครักษ์ส่วนตัวของเขาจะผลักบานประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงพร้อมรายงาน "นายน้อย มีผู้หนึ่งมาขอพบ"
หวังหยวนหันขวับไปมอง สีหน้าเรียบเฉยของเขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย "ผู้ใดกัน?"
องครักษ์สบตาเขาเพียงชั่วพริบตา ก่อนกล่าวออกมา "เป็น... ผู้อาวุโสไป๋แห่งสำนักมารเงาหมอก"
สิ้นคำกล่าว บรรยากาศในห้องเงียบงันไปชั่วขณะ ร่างของหวังหยวนชะงักไปเล็กน้อย แต่ภายในจิตใจกลับพลันตื่นตัวขึ้นทันที นามของผู้อาวุโสไป๋หาใช่ชื่อที่เขาจะละเลยได้
สำนักมารเงาหมอก... หนึ่งในสี่สำนักใหญ่แห่งแดนใต้ อำนาจของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหวังแม้แต่น้อย แต่ที่น่าหวาดหวั่นกว่านั้นคือชื่อเสียงของชายชราผู้นี้ เขาเป็นยอดฝีมือผู้เร่ร่อนไร้หลักแหล่ง โหดเหี้ยมอำมหิต ดั่งพญามัจจุราชในร่างมนุษย์
'เหตุใดเขาจึงมาที่นี่...' ความคิดนี้แล่นวาบขึ้นมาในใจของหวังหยวนทันที หรือว่าเขาเองก็มาที่นี่เพราะดาวตกดวงนั้น? หากเป็นเช่นนั้นจริง... สถานการณ์คงมิอาจเรียบง่ายดั่งที่เขาคิดไว้แต่แรก
หวังหยวนสูดลมหายใจลึกข่มความเคร่งเครียดภายในใจ ก่อนจะละสายตาจากองครักษ์ กลับไปแสดงสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม เขาลุกขึ้นยืนพลางจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วพยักหน้าเล็กน้อย "ไปกันเถิด ไปรับผู้อาวุโสไป๋เข้ามา"
เขาก้าวออกจากห้องอย่างมั่นคง องครักษ์ก้าวตามหลังโดยมิอาจคาดเดาความคิดภายในของนายน้อยของตนได้ ภายนอก แม้หวังหยวนจะดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยกระแสความคิดซับซ้อน การพบกันครั้งนี้... อาจเป็นมากกว่าการทักทายระหว่างยอดฝีมือแห่งสองสำนักใหญ่ก็เป็นได้
เมื่อหวังหยวนก้าวออกจากห้องรับรอง พลันสายตาของเขาสบเข้ากับร่างของชายชราผู้หนึ่งซึ่งยืนรออยู่ตรงลานด้านหน้า
ผู้อาวุโสไป๋ ชายชราในอาภรณ์ดำหม่น เส้นผมสีเทาแซมขาวปล่อยสยายอย่างไม่เป็นระเบียบ ใบหน้าลึกซึ้งประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่ยากจะคาดเดา ดวงตาเรียวลึกเร้นแววเจ้าเล่ห์ แฝงกลิ่นอายแห่งประสบการณ์อันโชกโชน แม้ท่าทีดูผ่อนคลาย แต่ทุกอิริยาบถกลับเต็มไปด้วยอำนาจอันน่ากริ่งเกรง สายลมที่พัดผ่านทำให้ปลายอาภรณ์ของเขาสะบัดเล็กน้อย ราวกับเงาแห่งรัตติกาลที่ไร้หลักแหล่ง
หวังหยวนก้าวเข้าไปพลางประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม “ผู้เยาว์หวังหยวน คารวะผู้อาวุโสไป๋ มิคาดว่าท่านจะกรุณามาเยือนถึงที่นี้ ขอเชิญด้านในเถิดขอรับ”
ชายชรามองสำรวจหวังหยวนเล็กน้อยก่อนหัวเราะแผ่วเบา “ฮ่าฮ่า... นายน้อยหวังมีมารยาทดีสมกับเป็นทายาทแห่งตระกูลหวัง ข้าก็มิใช่คนนอกอันใด คงไม่เป็นการรบกวนกระมัง?”
“มิได้เป็นการรบกวนเลยขอรับ ผู้เยาว์กลับรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับท่านด้วยซ้ำ เชิญท่านด้านในเถิด” หวังหยวนกล่าวพลางเอียงกายหลีกทางเชื้อเชิญ
หัวหน้าหมู่บ้านเทียนฟูที่เฝ้ามองอยู่ข้าง ๆ พลันรู้สึกตัวว่าตนมิอาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก นายน้อยหวังถึงกับออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เช่นนั้นชายชราผู้นี้ย่อมมีสถานะมิใช่ธรรมดา เขาประสานมือคารวะ “นายน้อยหวัง แขกของท่านย่อมสำคัญ ข้าขอตัวลา หากมีสิ่งใดต้องการให้ข้ารับใช้ ขอเพียงส่งคนมาแจ้ง ข้าพร้อมช่วยเหลือเต็มกำลัง”
หวังหยวนพยักหน้ารับ “เช่นนั้นข้าคงมิได้รั้งท่านหัวหน้าหมู่บ้านไว้ ขออภัยที่มิอาจต้อนรับได้เต็มที่”
หัวหน้าหมู่บ้านรีบส่ายหน้า “มิได้ ๆ” พลางหันไปสบตากับชายชราผู้อาวุโสไป๋เพียงแวบหนึ่ง แต่กลับรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง กลิ่นอายที่ชายชราผู้นี้แผ่ออกมาแม้เพียงเล็กน้อย กลับทำให้ขนทั่วกายลุกชัน เขาก้มศีรษะรีบเร่งฝีเท้าจากไปทันที
หลังจากนั้น หวังหยวนพาผู้อาวุโสไป๋เข้าสู่ห้องรับรองรับแขกภายในเรือน บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นชาหอมกรุ่น หญิงรับใช้เดินเข้ามาพร้อมถ้วยชาเนื้อดี วางลงเบื้องหน้าทั้งสองอย่างประณีต ก่อนถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
หวังหยวนยกถ้วยชาขึ้นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “ชานี้เป็นชาพันปีจากยอดเขาหมื่นบุปผา หวังว่าท่านผู้อาวุโสจะพอใจ”
ชายชรายกถ้วยชาขึ้นช้า ๆ จิบเพียงเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าด้วยแววตาลึกล้ำ “ชาดี ชาดี... แต่ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อดื่มชาเพียงเท่านั้น”
หวังหยวนวางถ้วยชาในมือ ก่อนเอนกายเล็กน้อย “ขออภัยที่มิอาจหยั่งถึงเจตนาของท่านผู้อาวุโส ท่านมีสิ่งใดให้ผู้เยาว์รับใช้หรือขอรับ?”
ผู้อาวุโสไป๋เพ่งมองใบหน้าของหวังหยวน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความกดดัน “เมื่อคืน... ที่ภูเขาใกล้หมู่บ้านแห่งนี้ ดูเหมือนจะมีเรื่องราวน่าสนใจเกิดขึ้นใช่หรือไม่?”
หวังหยวนพลันรู้สึกโล่งใจ เรื่องที่ชายชราผู้นี้ถามมิใช่เรื่องที่เขากังวล เขายิ้มบาง ๆ พลางตอบด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “หากท่านกล่าวถึงการต่อสู้เมื่อคืน ผู้เยาว์เองก็ได้รับข่าวมาเช่นกัน ดูเหมือนจะเป็นการปะทะกันระหว่างผู้อาวุโสระดับก่อกำเนิด กับราชันพยัคฆ์หางแมงป่องที่ครองเขาลูกนั้นมาเนิ่นนาน และเท่าที่ได้ยินมา ดูเหมือนว่าจะมีการใช้อาวุธอันทรงพลังเข้าจัดการมันด้วย”
“โอ้...” ผู้อาวุโสไป๋แค่นเสียงในลำคอ “เช่นนั้น นายน้อยหวังคิดว่าอาวุธนั้นเป็นของผู้ใด?”
หวังหยวนแย้มยิ้มบาง “เรื่องนั้น ผู้เยาว์เองก็มิอาจคาดเดาได้ขอรับ”
ทั้งสองสนทนากันต่อไปเรื่อย ๆ เรื่องราวที่กล่าวถึงล้วนแต่ดูเหมือนเป็นเพียงบทสนทนาไร้พิษสง แต่แท้จริงแล้ว ทุกคำที่กล่าวออกล้วนมีความหมายเร้นลับ ต่างฝ่ายต่างระมัดระวังคำพูด มิให้เปิดเผยสิ่งที่ตนต้องการปิดบัง
จนกระทั่ง ผู้อาวุโสไป๋เอ่ยขึ้นพลางหรี่ตาลง “ปกติ ขบวนสินค้าของตระกูลหวัง มิเคยผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ เช่นนี้ เหตุใดครั้งนี้จึงมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้?”
หวังหยวนแย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างแยบยล “บังเอิญขอรับ เป็นเพียงเส้นทางที่เหมาะสมสำหรับขบวนสินค้าเท่านั้น หากท่านมิได้มาถามไถ่ เกรงว่าคงมิทราบว่าผู้เยาว์อยู่ที่นี่กระมัง?”
ผู้อาวุโสไป๋เพ่งมองหวังหยวนครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะแผ่วเบา “ฮ่าฮ่า... เช่นนั้นเองหรือ”
ในที่สุด หลังจากพูดคุยกันอยู่นาน ผู้อาวุโสไป๋จึงลุกขึ้นประสานมือคารวะ “ข้าคงมิรบกวนเจ้าต่อไปแล้ว นายน้อยหวัง”
หวังหยวนลุกขึ้นคารวะกลับ “ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ”
เมื่อร่างของชายชราจากไป หวังหยวนพลันถอนหายใจเบา ๆ ความกดดันที่อัดแน่นมาตลอดบทสนทนาเสมือนถูกปลดปล่อยออกไป เขายกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง พลางพึมพำกับตนเอง “เหนื่อยเสียยิ่งกว่าการต่อสู้เสียอีก...”
---
แสงสุริยันยามสายทอประกายอาบพื้นปฐพี รัศมีทองเรืองรองส่องลอดพฤกษานานาพันธุ์ พลิ้วไหวตามแรงลมดุจม่านไหมต้องปลายพู่กัน หมอกขาวบางเบาที่เคยลอยคลอขุนเขา มลายหาย ทิ้งไว้เพียงเวหาใสกระจ่างดั่งหยกน้ำหนึ่ง อากาศยามสายอบอุ่นปนเย็น ละอองไอแดดแผ่วเบาคล้ายแรงใจจากเทพสวรรค์ แว่วเสียงใบไม้ไหวสะท้อนความสงบแห่งธรรมชาติ หยาดน้ำค้างที่เคยพราวพร่างก็หลอมรวมสู่แผ่นดิน เฉกเช่นไข่มุกต้องแสงแล้วเลือนหายสู่ภวังค์
อวี้เหวินทะยานไปเบื้องหน้า ฝีเท้ากระแทกพื้นดินหนักแน่น ทิ้งรอยลึกเป็นหลุมตื้น ๆ ตามรายทาง ขณะร่างกำยำพุ่งขึ้นกิ่งไม้ ทว่ากิ่งไม้อันแข็งแกร่งยังมิอาจทานทนต่อแรงมหาศาลของเขา แหลกหักลงด้วยเสียงสะท้อนในพงไพร กายเนื้อของเขากลับแกร่งกล้าเหนือมนุษย์ทั่วไปหลายเท่า แม้ยังมิอาจสำแดงพลังปราณอันลึกล้ำเฉกเช่นยอดยุทธ์ แต่กำลังภายในอันมหาศาลของเขาก็เพียงพอจะสังหารสัตว์อสูรระดับต่ำกว่าขั้นหลอมรวมกายได้โดยง่ายดาย
สายลมแผ่วโบกสะบัด ใบไม้ปลิดปลิวเสมือนม่านหมุนวนแห่งธรรมชาติ กระนั้นความเงียบงันภายในป่าลึก กลับมิได้สงบเยี่ยงภาพลวงตา ดวงตาคมกริบของอวี้เหวินเหลือบมองเงาสีดำที่ซ่อนเร้นหลังแนวพฤกษ์ เงาร่างของอสูรร้าย!
ทันใดนั้น! คำรามสนั่นสะท้านป่า เงาทะมึนพุ่งทะยานออกจากแนวไม้ด้วยความเร็วปานพายุพิโรธ ร่างสูงใหญ่ล่ำสันเผยให้เห็น “เสือเขี้ยวเงิน” สัตว์อสูรดุร้ายเขี้ยววาววับดุจเหล็กกล้า พิษร้ายไหลซึมจากปลายเขี้ยวขบกระทบกันจนเกิดเสียงแหลมคมสะท้านโสต มันคำรามก้อง ก่อนแผ่รังสีสังหาร พุ่งทะยานเข้าจู่โจม!
อวี้เหวินหาได้หวั่นเกรงไม่ เขาตั้งหลักมั่นคง ดวงตาทอประกายแน่วแน่ กำหมัดแน่นขณะพลิกกายฉีกกระแสลมอันกราดเกรี้ยว
“หมัดอัคนีสังหาร!”
ตูม! เปลวเพลิงแดงฉานปะทุขึ้นจากกำปั้น ดั่งเปลวอัคคีที่สามารถเผาผลาญทุกสรรพสิ่งในคราเดียว กำปั้นที่อาบไปด้วยเพลิงพิโรธพุ่งกระแทกสีข้างของเสือเขี้ยวเงินเต็มแรง ร่างมหึมาของมันปลิดปลิวกระแทกต้นไม้ใหญ่ เปลือกไม้แตกร้าวสะท้อนเสียงสะเทือนขุนเขา เปลวไฟลุกท่วมทั่วลำตัว มันกระอักโลหิตออกมา ก่อนที่ดวงตาจะมืดดับลงชั่วนิรันดร์
อวี้เหวินสาวเท้าเข้าไป มือคว้ามีดสั้นออกมา แยกชิ้นส่วนอันล้ำค่า ดึงเอาแก่นพลังบริสุทธิ์ออกมา เก็บลงสู่แหวนมิติพลัน
ระหว่างที่เขาย่ำเดินต่อไปในหุบเขา อวี้เหวินครุ่นคิด ‘แม้ระดับพลังของข้าก้าวล้ำเกินกว่าที่บิดาคาดหวัง เดิมทีเขาหมายพาข้าเข้าสำนักที่ตำหนักเจ้าเมือง ทว่าข้ากลับสำเหนียกตนเสมอว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า หากมัวหลงระเริงอยู่กับความก้าวหน้าเพียงนี้ วันหนึ่งข้าย่อมตกเป็นเหยื่อแห่งผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ข้าต้องลับคมฝีมือให้คมกริบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน’
สายตาแกร่งกล้าทอดมองแนวไม้รกทึบเบื้องหน้า ประกายดวงตาส่องประกายดุจเพลิงอัคคี ‘หุบเขานี้เต็มไปด้วยทรัพยากรล้ำค่า ข้าต้องใช้โอกาสนี้เก็บเกี่ยวของวิเศษให้มากที่สุด ของเหล่านี้ล้วนจำเป็นต่อการบ่มเพาะ อีกทั้งยังสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา ก่อนที่ขบวนสินค้าตระกูลหวังจะออกจากหมู่บ้าน’
ขณะเขาก้าวเดินต่อ เสียงกระพือปีกดังขึ้นเหนือศีรษะ ดั่งเสียงกระพือปีกแห่งความตาย อวี้เหวินเงยหน้าขึ้นมอง "อสรพิษปีกคราม" สัตว์อสูรพิษร้ายทะยานโฉบลงมา พิษสีเขียวเข้มไหลซึมจากเขี้ยว หยดลงสู่พื้นป่าจนเกิดเสียงฟองฟู่กัดกร่อน!
“เจ้าสัตว์อสูรไร้ปัญญา กล้าบังอาจขวางทางข้าหรือ?”
อวี้เหวินตวาดเสียงเย็น ร่างพุ่งทะยานขึ้นกลางเวหา สองมือกำหมัดแน่นเร่งเร้าพลังมหาศาล
"หมัดอัคนีสังหาร!"
ตูม! ตูม! ตูม! เปลวอัคคีพวยพุ่ง กำปั้นที่อาบไปด้วยเพลิงสีแดงฉานพุ่งกระแทกอสรพิษร้าย ร่างของพวกมันแหลกสลายเป็นเถ้าธุลี พิษสังหารมิอาจระคายเคืองผิวกายของเขาได้
หลังจากสะสางเสร็จสิ้น อวี้เหวินร่อนลงสู่พื้น เก็บหญ้าทมิฬพิรุณจากเงาพฤกษา สายตาทอดมองไปยังแนวเขาเบื้องหน้า เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังก้องจากสร้อยคอหินดำที่เขาสวมใส่ “เจ้าใกล้เข้าไปยังจุดหนึ่ง... ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอันแปลกประหลาด มันมิใช่สิ่งชั่วร้าย ทว่าให้ความรู้สึกน่าเกรงขามยิ่ง ข้าเองก็มิอาจแน่ใจว่ามันคือสิ่งใด แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัด มันย่อมเป็นของล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง”
อวี้เหวินแสยะยิ้ม มุมปากกระตุกเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายเจิดจรัส
“เช่นนั้นข้าคงต้องลองดูสักครั้ง!”
ว่าจบ ร่างของเขาพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ป่าใหญ่ทอดเงาลึกลับประหนึ่งห้วงพิภพต้องมนต์ดำ แต่กลับมิอาจขวางกั้นเส้นทางของอวี้เหวินได้ เพราะเบื้องหน้าของเขา ยังมีอีกหลายสิ่งรอให้ค้นพบ!
กลางป่าลึกที่ถูกโอบล้อมด้วยเงาไม้สูงตระหง่าน อวี้เหวินยืนแน่วนิ่งเบื้องหน้าพืชสมุนไพรวิเศษล้ำค่าบางอย่างที่หาเจอได้ยากยิ่ง ใบของมันเปล่งแสงเรืองรองราวอัญมณีต้องแสงจันทร์ ลำต้นบิดเกลียวประหนึ่งถูกสวรรค์บรรจงสร้างขึ้นโดยเฉพาะ แสงสีทองบางเบาฉาบทาบลงบนผิวของมัน ราวกับอัญมณีจากแดนสวรรค์ที่ถูกปกปักรักษามาเนิ่นนาน
กลิ่นหอมหวนของมันอบอวลอยู่โดยรอบ คล้ายเป็นการกระจายพลังปราณเข้มข้นออกมาให้แก่ผู้บ่มเพาะเพียงแค่ได้สูดดม ทุกอณูกลิ่นนั้นแฝงไว้ด้วยความเย็นเยือกและศักดิ์สิทธิ์ ราวกับมันมิใช่พืชสมุนไพรธรรมดา แต่เป็นของล้ำค่าที่ถูกสรรค์สร้างจากพลังแห่งมหาเวท สมุนไพรนี้มิใช่เพียงช่วยกระตุ้นพลังลมปราณให้แก่ผู้บ่มเพาะ แต่ยังสามารถใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในการหลอมโอสถวิเศษระดับสูงซึ่งหาได้ยากยิ่งในใต้หล้า!
ขณะที่อวี้เหวินก้าวเข้าไปใกล้ ทันใดนั้น เสียงของซ่งเหยียนเฟยพลันดังขึ้นในห้วงสำนึกของเขา
เสียงนั้นเจือด้วยความตื่นตัวและเคร่งขรึม
“เจ้าหนู ระวังตัวให้ดี... มีผู้แอบติดตามเจ้า!”
หัวใจของเขากระตุกวูบ สัญชาตญาณแห่งการต่อสู้พลันถูกจุดขึ้น สายตาคมกริบเหลือบมองโดยรอบ พลันเงาทะมึนแฝงเร้นอยู่ท่ามกลางร่มไม้ไหววูบ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาราวสายลมกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา
แล้วเสียงหัวเราะเยียบเย็นพลันดังขึ้นจากเบื้องหลัง!
“หึหึ มิคาดว่าการตามเจ้าเพียงเพราะความสนใจ จะพาข้ามาพบสมบัติล้ำค่าเช่นนี้!”
อวี้เหวินพลันหันขวับไปเบื้องหลัง ดวงตาเปล่งประกายแห่งความระแวดระวัง สิ่งที่เขาเห็นทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น
ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาจากเงาไม้ กิริยาท่าทางของเขาดูเชื่องช้า หากแต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจแฝงเร้น อาภรณ์ดำหม่นที่เขาสวมใส่ดูเก่าโทรม ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดลดทอนบรรยากาศอันเย็นเยียบที่แผ่ซ่านออกมา เส้นผมสีเทาแซมขาวปล่อยยาวจรดกลางหลังพลิ้วไหวตามสายลม ดวงตาเรียวเล็กเป็นประกายเจ้าเล่ห์ แฝงไว้ด้วยความลึกล้ำและคาดเดาได้ยาก รอยยิ้มที่ฉายอยู่บนมุมปากเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม หากไม่รู้ที่มา อาจหลงคิดว่าเขาเป็นเพียงชายชราผู้เร่ร่อนไร้หลักแหล่ง แต่แท้จริงแล้ว บรรยากาศที่โอบล้อมร่างของเขากลับเต็มไปด้วยพลังอันเร้นลับ แฝงกลิ่นอายของพรรคมารอย่างเด่นชัด!
‘ชายชราผู้นี้...!’ อวี้เหวินเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะบีบมือแน่น เขาจำได้ว่าเคยพบชายชราผู้นี้มาก่อน ขณะเดินผ่านขบวนสินค้าก่อนเข้าหุบเขา ตอนนั้นทั้งสองเพียงเดินสวนกัน แต่สิ่งที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา คือดวงตาเจ้าเล่ห์ที่มองตรงมาพร้อมรอยยิ้มแสยะอันเย็นเยียบ ราวกับมองเหยื่อที่กำลังเดินเข้าสู่ข่าย
‘ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้พบมันอีก... และมันกลับเป็นฝ่ายติดตามข้ามาด้วย!’ อวี้เหวินขบกรามแน่น หัวใจเต้นแรงด้วยความตึงเครียด คำถามมากมายแล่นวาบขึ้นในห้วงความคิด ‘เหตุใดมันถึงตามข้ามา? มันรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่? หรือแท้จริงแล้ว มันเล็งข้าไว้ตั้งแต่แรก!?’
ชายชรากวาดตามองอวี้เหวิน ก่อนจะแสยะยิ้มกว้างขึ้นอีก “เด็กน้อยเอ๋ย สมุนไพรนี้สมควรเป็นของผู้ที่คู่ควร เจ้าเองก็เข้าใจดีมิใช่หรือ?” เสียงของเขาเนิบช้า ทว่ากลับดังก้องสะท้อนในบรรยากาศโดยรอบ ราวกับสามารถกดทับพลังปราณของผู้ที่อ่อนแอกว่าให้สั่นคลอนได้
อวี้เหวินหรี่ตามอง ความตึงเครียดพวยพุ่งขึ้นทวีคูณ แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากชายชราแม้ดูไม่รุนแรงนัก แต่สำหรับเขาที่พึ่งอยู่ในระดับกำเนิดกายขั้นต้น ขณะที่อีกฝ่ายอยู่ระดับพลังปราณระดับกลาง ความแตกต่างของชั้นพลังนั้นเทียบได้กับเหวลึกที่ยากจะข้ามผ่าน
แต่ถึงกระนั้น อวี้เหวินหาได้หวั่นเกรงไม่! เขาสูดลมหายใจลึก กล้ามเนื้อทั่วร่างตึงเครียดราวกับพยัคฆ์ที่พร้อมจะตะปบเหยื่อ ทุกอณูพลังในร่างพลุ่งพล่านด้วยจิตต่อสู้!
นี่มิใช่เพียงเรื่องของสมุนไพรล้ำค่าอีกต่อไป แต่เป็นการเดิมพันระหว่างชีวิตและความตาย!
ชายชราหรี่ตา รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้นราวกับอ่านความคิดของอวี้เหวินออก “โอ้? เจ้าคิดจะต่อต้านข้ากระนั้นหรือ? เด็กน้อย พลังของเจ้ายังห่างไกลนัก อย่าได้ทำสิ่งโง่เขลา!”
สิ้นคำ เงาร่างของชายชราก็พุ่งทะยานมาด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ มือข้างหนึ่งตวัดออก ประกายพลังสีดำสนิทแผ่ซ่านออกจากฝ่ามือ คล้ายเงามัจจุราชหมายปลิดชีพอวี้เหวินในพริบตา!
อวี้เหวินเบิกตากว้าง เขาตอบสนองแทบจะในทันที ร่างกายพลันกระโจนหลบออกไปด้านข้าง ฉับพลันแรงกดดันอันมหาศาลจากพลังฝ่ามือของชายชราก็กระแทกพื้นดินเกิดเป็นหลุมลึก รัศมีแรงทำลายล้างทำให้ต้นไม้โดยรอบสั่นสะท้าน ใบไม้ปลิดปลิวว่อนราวพายุคลุ้มคลั่ง
‘แข็งแกร่งนัก!’ อวี้เหวินกัดฟันแน่น แต่ถึงแม้จะแตกต่างกันถึงสองขั้นพลังใหญ่ เขาก็มิอาจยอมแพ้โดยง่าย!
เขาตั้งหลักมั่นคง เร่งเร้าพลังทั้งหมดที่มี กำหมัดแน่น แววตาทอประกายดุดัน ‘หากคิดจะปล้นข้า เจ้าต้องเตรียมใจแลกชีวิต!’
อวี้เหวินยืนประจันหน้ากับชายชราผู้นั้น สายตาของเขายังคงแน่วแน่ แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว กลิ่นอายแห่งอันตรายพลุ่งพล่านราวกับพายุหมุนที่พร้อมจะกวาดล้างทุกสรรพสิ่ง
ชายชราผู้นั้นแสยะยิ้ม รอยยิ้มแฝงเร้นด้วยเล่ห์กล ดวงตาเรียวเล็กฉายแววเจ้าเล่ห์ ร่างของเขายืนนิ่ง แต่กลับให้ความรู้สึกคล้ายอสรพิษที่ซุ่มรอจังหวะจู่โจมเหยื่อ อวี้เหวินกำหมัดแน่น สัญชาตญาณเตือนเขาว่าการเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีพลังเหนือกว่าถึงสองขั้นใหญ่เช่นนี้ มิใช่เรื่องง่ายดายแม้แต่น้อย
เพียงพริบตา ขณะที่ทั้งสองกำลังจะปะทะกัน พลันเกิดเสียงสวบสาบจากด้านข้างของสมุนไพรวิเศษ ต้นไม้โดยรอบสั่นสะเทือนเล็กน้อย ราวกับมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ทันใดนั้นเอง เงามหึมาสีดำทะมึนพุ่งทะยานขึ้นจากพงไพร ดวงตาสีทองคู่โตเป็นประกายเย็นเยียบ จ้องมองทั้งสองราวกับมองเหยื่อ
"อสูรเฝ้ารักษา!" ชายชราพึมพำเสียงต่ำ ดวงตาของเขาหดแคบลงเล็กน้อย แววตาเปล่งประกายคาดไม่ถึง
อวี้เหวินเองก็ขมวดคิ้วแน่น สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า คืออสรพิษยักษ์เกล็ดสีดำสนิท เรือนกายของมันแผ่รัศมีแห่งพลังอันเกรี้ยวกราด ลำตัวใหญ่เทียบเท่าต้นไม้ใหญ่ ลำคอพองขึ้นอย่างน่าสะพรึง มันชูคอขึ้นสูงจนบดบังแสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดผ่านแนวไม้ ขณะที่ลิ้นสองแฉกแลบออกมาสัมผัสอากาศ เสียงขู่คำรามแผ่วต่ำของมันก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ
เพียงเสี้ยววินาที มันพุ่งทะยานเข้าจู่โจมด้วยความเร็วเหนือคาดหมาย! เป้าหมายของมันมิใช่ใครอื่น นอกจากผู้ที่บังอาจเข้ามาล่วงล้ำอาณาเขตของมัน อวี้เหวินและชายชรา!
"ชิ! เจ้าอสรพิษโง่เง่า!" ชายชรากระโดดถอยหลังหลบอย่างว่องไว ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจ
อวี้เหวินเองก็พลิกกายฉีกกระแสลม ก้าวเท้าหลบอย่างเฉียบพลัน หางของอสรพิษฟาดลงสู่พื้นป่า ก่อเกิดเสียงดังสนั่น ฝุ่นดินปลิวฟุ้ง เศษใบไม้กระจัดกระจาย อวี้เหวินพลันบิดตัวกลางอากาศก่อนลงสู่พื้นอย่างมั่นคง
ทั้งสองสบตากันโดยมิได้นัดหมาย เวลานี้ศัตรูตัวฉกาจมิใช่กันและกัน แต่เป็นอสูรยักษ์ที่กำลังอาละวาดอยู่เบื้องหน้า!
"เรายังมิได้สะสางกัน แต่ดูท่าคงต้องจัดการมันก่อน" ชายชราเอ่ยเสียงเย็น รอยยิ้มมุมปากยังคงประดับใบหน้า แต่แววตากลับฉายประกายคมกริบราวกับใบมีด
อวี้เหวินมิได้ตอบคำ เพียงจ้องมองอสูรร้ายตรงหน้า ฝ่ามือของเขากำแน่น เปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ในดวงตาลุกโชน "หึ เช่นนั้นก็มิอาจเสียเวลา!"
สิ้นคำของอวี้เหวิน อสรพิษยักษ์ก็พุ่งทะยานเข้ามาอีกครา คราวนี้เร็วกว่าครั้งก่อนหลายเท่า พลังลมปราณแผ่ซ่านออกมาจากร่างมหึมาของมัน กระแสลมพายุหมุนวนรอบตัวราวกับมันคือจ้าวแห่งผืนป่า
การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับอสูรเริ่มต้นขึ้น!
อสรพิษยักษ์แผ่รังสีคุกคามไปทั่วบริเวณ ดวงตาสีทองเย็นเยียบฉายแววเฉียบคม สายตาของมันจับจ้องไปยังชายชราเป็นหลัก ราวกับตระหนักได้ว่าบุคคลตรงหน้าคือภัยอันใหญ่หลวงที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้ ลำตัวมหึมาของมันโค้งขด หางขยับแผ่วเบาราวกับง้างศาสตราวุธที่พร้อมจะพุ่งทะลวงทุกสรรพสิ่ง
อวี้เหวินยืนประจันหน้ากับเหตุการณ์ตรงหน้า พลันหัวใจของเขาเต้นแรง สายตาของเขากวาดมองสถานการณ์อย่างเฉียบคม ก่อนจะสังเกตเห็นจังหวะสำคัญ อสูรยักษ์จดจ้องชายชราเป็นเป้าหมายหลัก ส่วนเขากลับถูกมองข้ามไปชั่วขณะ!
‘โอกาสนี้ ข้าต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด!’
ชายชรากระตุกมุมปากเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงรังสีสังหารที่พุ่งตรงมายังตนเอง เขาหรี่ตาลง ดวงตาเรียวเล็กฉายแววเย็นเยียบ ขณะที่ลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นมั่นคงขึ้น พลังปราณภายในถูกเร่งเร้าอย่างรวดเร็ว
“หึ! เจ้าสัตว์อสูรเขลานัก คิดจะเล่นงานข้าก่อนงั้นหรือ?” เสียงหัวเราะต่ำเยาะเย้ยดังขึ้นแผ่วเบา ทว่ามิทันให้ชายชราได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม อสรพิษยักษ์พลันพุ่งทะยานด้วยความเร็วเหนือความคาดหมาย!
“ฉับพลันเกินไป!” ชายชราร้องในใจ ร่างของเขาถีบตัวหลบออกด้านข้างฉับพลัน เสียงอากาศแตกระเบิดดังสะท้อนไปทั่วเมื่อหัวของอสรพิษกระแทกลงบนพื้นหิน รอยร้าวแผ่ขยายราวใยแมงมุม เศษดินและก้อนหินปลิวกระจายไปทั่ว ทว่ามันหาได้ลดละการจู่โจมไม่ หางอันทรงพลังของมันกวาดฟาดกลับมาทางชายชราทันที
ชายชราตวัดฝ่ามือออกมา พลังปราณแปรเปลี่ยนเป็นแรงกระแทกปะทะเข้ากับหางของมันอย่างแรง เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของเขาถอยกรูดไปสองก้าว แม้จะสามารถรับการโจมตีได้ แต่ก็ยังรู้สึกถึงแรงสะท้อนอันมหาศาลที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างกาย
อวี้เหวินที่อยู่ไม่ไกล จ้องมองฉากตรงหน้าอย่างเงียบงัน แววตาของเขาแฝงไปด้วยความเฉียบแหลม แม้จะไม่ได้เข้าต่อสู้โดยตรง แต่เขากลับสามารถรับรู้ได้ว่าทุกการเคลื่อนไหวของอสรพิษยักษ์นั้นรวดเร็วกว่าที่คาดไว้มากนัก หากชายชราประมาทแม้เพียงน้อย คงตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงเป็นแน่
‘มันแข็งแกร่งเกินไปสำหรับข้าในตอนนี้ หากให้ชายชราต่อสู้ไปเรื่อย ๆ ย่อมเป็นการรีดเค้นพลังของมันออกมาให้มากที่สุด’ อวี้เหวินขบคิดอย่างสุขุม นัยน์ตาทอประกายเจ้าเล่ห์ ร่างของเขาเคลื่อนตัวออกห่างเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่ในระยะที่สามารถสังเกตสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน
อสรพิษยักษ์ยังคงโจมตีต่อเนื่อง มันฉกกัดด้วยความเร็วสูง ฟันแหลมคมของมันเปล่งประกายเย็นเยียบ กลิ่นอายพิษร้ายแผ่ซ่านออกมาจากเขี้ยวทั้งสอง เสียงแหวกอากาศดังขึ้นทุกครั้งที่มันพุ่งเข้าจู่โจม
ชายชราหลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิดหลายครั้ง พลังปราณของเขาระเบิดออกทุกคราเพื่อปัดป้องการโจมตี แต่ยิ่งเวลาผ่านไป อวี้เหวินก็สังเกตเห็นว่าท่าทางของชายชราเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากที่เคยดูนิ่งสงบ เริ่มมีร่องรอยความไม่พอใจแฝงอยู่ในสีหน้า
‘ในที่สุดก็รู้ตัวแล้วสินะ’ อวี้เหวินหัวเราะเยาะในใจ
ชายชรากัดฟันแน่น เมื่อเริ่มตระหนักถึงสถานการณ์ เขาถูกอวี้เหวินใช้เป็นโล่กันภัยโดยไม่รู้ตัว! โทสะภายในอกปะทุขึ้นมาเป็นระลอก นัยน์ตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว คลื่นพลังปราณที่แผ่ออกมาทวีความรุนแรงขึ้นหลายส่วน
“เจ้าเด็กนั่น…กล้าดียังไง!” เขาคำรามในใจ พลันฝ่ามือของเขาสะบัดออก กระแสพลังมหาศาลพุ่งทะยานเข้าใส่อสรพิษยักษ์ด้วยความเร็วสูง รัศมีปราณแปรเปลี่ยนเป็นเงากรงเล็บสีดำที่พุ่งเข้าตะปบลำคอของมันเต็มแรง!
อสรพิษยักษ์ขดตัวในพริบตา ลำตัวอันแข็งแกร่งของมันสะบัดต้านพลังปราณนั้นอย่างไม่เกรงกลัว การปะทะกันของทั้งสองทำให้พลังงานสั่นสะเทือนรุนแรง รอยร้าวลุกลามไปทั่วพื้นหิน ต้นไม้โดยรอบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ใบไม้ปลิดปลิวว่อนดุจพายุโหมกระหน่ำ
อวี้เหวินมองดูการต่อสู้ที่ทวีความดุเดือดขึ้นทุกขณะ ดวงตาของเขาหรี่มองชายชราด้วยความสนใจ ‘เขาเริ่มจริงจังแล้ว… หึ ข้าจะรอดูว่าท่านจะทำได้ถึงเพียงใด!’
ทว่าอสรพิษยักษ์หาได้เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำง่ายดายไม่ มันแผ่พลังอสูรออกมาอย่างเต็มที่ ดวงตาสีทองของมันเปล่งประกายแห่งโทสะรุนแรง ร่างของมันขยายพองขึ้น ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าใส่ชายชราอีกครั้ง การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับอสูรยักษ์ยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด!