เสียงคำรามของอสรพิษยักษ์ดังสะท้อนไปทั่ว พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว ขณะที่ร่างมหึมาของมันเริ่มเปล่งแสงเรืองรอง กลิ่นอายแห่งพลังอสูรอันมหาศาลแผ่กระจายออกมา ก่อเกิดแรงกดดันราวกับหุบเขากำลังถล่มลงมา
ดวงตาสีทองของมันเปล่งประกายประหลาดก่อนที่อาคมอสูรจะสำแดงฤทธิ์ เงาพญางูมหึมาเผยตัวขึ้นด้านหลังของมัน พร้อมกับไอปราณสีดำที่หมุนวนรอบกาย พลังที่อัดแน่นราวกับสายฟ้าพร้อมจะกระหน่ำลงมาได้ทุกเมื่อ
ชายชราเบิกตากว้าง รู้ได้ทันทีว่าอสรพิษตนนี้มิใช่เพียงสัตว์อสูรสามัญ หากแต่เป็นอสูรที่ฝึกฝนวิชา! "เจ้ากล้าฝึกฝนวิชาปราณ?" เขาพึมพำเสียงแผ่ว ทว่านัยน์ตาฉายแววคมกริบราวกับดาบเล่มหนึ่งที่ถูกชักออกจากฝัก
อสรพิษยักษ์ไม่ตอบคำ มันแค่แยกเขี้ยวยิ้มเย็น ปากของมันเปล่งเสียงฟ่อแผ่วเบา ทันใดนั้นเงาของมันพลันแยกออกเป็นหลายสาย เงาอสรพิษนับสิบปรากฏขึ้นรอบกายชายชรา พวกมันแผ่กลิ่นอายมรณะราวกับทะเลหมอกแห่งหายนะ
อวี้เหวินที่ยืนอยู่ห่างออกไปมองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง ‘แยกร่างได้? หรือเป็นเพียงมายาภาพของพลังปราณ?’ ดวงตาของเขาหรี่ลง ขณะที่สมองคิดคำนวณถึงความเป็นไปได้
ชายชราขยับมือช้าๆ ก่อนที่พลังปราณภายในจะโคจรถึงขีดสุด รัศมีพลังหมุนวนรอบกายเขาดั่งพายุคลั่ง "อสูรตนนี้ช่างประมาทนัก คิดว่ากระบวนท่าเพียงเท่านี้จะทำให้ข้าหวาดหวั่นได้รึ?" เขากล่าวเสียงเย็น ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว คลื่นพลังมหาศาลปะทุออกจากร่าง
บึ้มมม!
เงาอสรพิษหลายสายสลายกลายเป็นหมอกควัน ทว่าในเสี้ยวพริบตานั้น ร่างจริงของอสรพิษยักษ์พลันพุ่งทะยานออกจากเงามายา หัวของมันแผ่ปราณสีดำแฝงไอพิษร้ายแรง หมายทะลวงร่างของชายชราให้สิ้นซาก!
“หึ!” ชายชราแค่นเสียง ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า ปราณของเขาพุ่งออกจากปลายนิ้วเป็นเส้นแสงสีเงิน ทะลวงเข้าใส่เกล็ดแข็งของอสรพิษยักษ์ด้วยความเร็วเหนือสายฟ้า เสียงปะทะดังสนั่น ห้วงอากาศสั่นสะเทือนราวกับกำลังจะแตกกระจาย
อสรพิษยักษ์ถูกโจมตีเข้าที่ลำคอโดยตรง มันคำรามลั่น ร่างกายกระตุกสั่นก่อนจะพลิกกลับไปตั้งหลัก ดวงตาสีทองของมันทอประกายอาฆาตแรงกล้ายิ่งกว่าเดิม มันสูดหายใจลึก ก่อนที่ลำคอของมันจะพองโตขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ
ชายชราหรี่ตาลง ‘นี่มัน…วิชาพิษทำลายล้าง!’
อวี้เหวินที่ซ่อนตัวอยู่ไกลรู้สึกถึงลางร้าย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ‘ถ้ามันปล่อยพิษออกมา ไม่ว่าชายชราหรือข้า ล้วนต้องรับผลกระทบทั้งสิ้น!’
ทว่าในวินาทีนั้นเอง ชายชรากลับยิ้มเย็น มือข้างหนึ่งของเขาประกบเข้าหากัน ปราณมหาศาลแผ่ซ่านออกมาราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก เงารูปเสี้ยวจันทร์ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือของเขา ทว่าเงานั้นกลับไม่ได้เปล่งแสงสว่างบริสุทธิ์ หากแต่เป็นเงามืดลึกล้ำ คล้ายประกายจันทราที่ซ่อนความดำมืดอยู่ภายใน
“เจ้าคิดว่าเพียงพิษอสูรจะหยุดข้าได้รึ?” เสียงของเขาแฝงรังสีสังหาร พลังมารในกายปะทุออกมาพร้อมกับรัศมีดำทะมึน ก่อนที่เงาจันทร์จะพุ่งออกไปด้วยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว!
แสงสีดำฟาดฟันลงตรงกลางลำตัวของอสรพิษยักษ์ ร่างมหึมาของมันกระตุกเฮือก เลือดสีดำสาดกระเซ็นออกมาเป็นสาย ก่อนที่มันจะคำรามลั่น พื้นดินรอบบริเวณแตกร้าวกระจาย
ทว่ามันยังไม่พ่ายแพ้! แม้บาดเจ็บ แต่มันกลับแผ่รังสีสังหารรุนแรงขึ้นกว่าเดิม มันกวาดหางออกไปกว้าง ๆ พร้อมกับพลังอสูรที่ปะทุขึ้นอีกระดับ!
การต่อสู้ระหว่างสองยอดยุทธ์ มนุษย์ผู้ฝึกวิชามาร และอสูรผู้แข็งแกร่งเทียมเท่า ยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด!
ชายชราสบถในใจ ‘ข้าจะไม่ปล่อยให้ศึกนี้ยืดเยื้อต่อไปอีก!’
เขาสะบัดแขนเสื้อ มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบของบางสิ่ง มันคือ “ยันต์มารสังหาร” อักขระโบราณที่สลักไว้ด้วยโลหิตของจอมยุทธ์ยุคบรรพกาล พลังมารเข้มข้นหมุนวนอยู่ภายใน พอปรากฏออกมาก็ส่งกลิ่นอายมรณะจนพืชพรรณรอบข้างเหี่ยวเฉาในพริบตา
ชายชรากระตุกยิ้มเย็น แรงกดดันจากพลังมารพลันทวีคูณ เขาโยนยันต์ออกไปกลางอากาศ ก่อนจะร่ายอาคมควบคุม มันเปล่งแสงสีดำสนิท ก่อนจะพุ่งทะลวงเข้าใส่อสรพิษยักษ์
“จงสลายไปซะ!” เขากล่าวเสียงก้อง
ยันต์มารสังหารพุ่งเข้าใส่ร่างของอสรพิษยักษ์โดยตรง พลังมหาศาลปะทุขึ้นเป็นระลอก เงามารมหึมาปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า กดทับร่างของมันไว้แน่น ก่อนที่เส้นแสงสีดำจะฉีกกระชากพลังอสูรของมันจนแหลกสลาย
อสรพิษยักษ์กรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของมันจะค่อย ๆ แหลกสลายไปกับสายลม เหลือเพียงเถ้าถ่านสีดำล่องลอยอยู่กลางอากาศ
ชายชราหอบหายใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาเก็บยันต์ที่เหลือกลับเข้าไป ก่อนจะปรายตามองอวี้เหวินที่ซุ่มอยู่ห่าง ๆ ‘เจ้าหนู ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่…’
ชายชราจ้องมองซากของอสรพิษยักษ์ที่แน่นิ่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาทอประกายเย็นชา พลางก้มมองยันต์สีดำในมือซึ่งบัดนี้ได้สูญเสียพลังไปแล้ว รอยยับย่นบนใบหน้าขยับเล็กน้อย เผยให้เห็นแววเสียดายอยู่ลึก ๆ ในดวงตา
“เฮอะ! ของล้ำค่าถูกใช้ไปกับสัตว์อสูรเช่นนี้...ช่างไม่คุ้มค่าเลยจริง ๆ” เขาพึมพำกับตนเอง
แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสมุนไพรวิเศษที่ยังคงไหวเอนอยู่เบื้องหน้า ความคิดเสียดายก็จางหายไปแทนที่ด้วยความโลภ หากเขาได้สมุนไพรวิเศษนี้มาครอบครอง มันย่อมทดแทนความสูญเสียของยันต์มารได้ ชายชราก้าวไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ดวงตาทอประกายมุ่งมั่น
ทว่าก่อนที่เขาจะได้เอื้อมมือไปเก็บเกี่ยว ท่าทางของอวี้เหวินที่คอยจับตาดูอยู่ไม่ห่างก็สะดุดสายตาเขา เด็กหนุ่มผู้นี้คิดใช้เขาเป็นเครื่องมือในการรับมืออสรพิษยักษ์ และบัดนี้เมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว คิดจะลอยตัวออกไปง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ? แววโทสะปรากฏขึ้นในแววตาของชายชรา เขาจะปล่อยให้เจ้าหนูผู้นี้รอดไปได้อย่างไร!
“อย่าคิดว่าข้าจะลืมเลือน...เจ้าเด็กเมื่อวานซืน!” เสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างของชายชราพุ่งทะยานไปยังอวี้เหวิน ราวกับสายลมอสรพิษที่แฝงเร้นไปด้วยเจตนาสังหาร
อวี้เหวินเบิกตากว้าง รู้ได้ทันทีว่าตัวเองไม่มีทางปะทะกับชายชราโดยตรงได้ ด้วยระดับบ่มเพาะที่ห่างกันถึงสองขั้นใหญ่ การเผชิญหน้าโดยตรงย่อมเป็นหนทางสู่ความตาย หนทางเดียวที่เขามีคือหลบเลี่ยงเท่านั้น!
“บัดซบ!” เขาสบถในใจ ร่างกายพุ่งไหวราวกับเงาลวง วิ่งวกวนไปรอบ ๆ อย่างว่องไว สองเท้าเหยียบลงบนก้อนหินและกิ่งไม้ หลบหลีกการโจมตีของชายชราไปอย่างฉิวเฉียด
“เจ้าเด็กเวร! เจ้าคิดจะหนีไปได้หรือ!?” ชายชราขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โทสะยิ่งปะทุขึ้นทุกขณะ เด็กหนูระดับกำเนิดกายกลับวิ่งหลบหลีกเขาได้อย่างต่อเนื่อง มันน่าขายหน้าเกินไปแล้ว!
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งพลันดังสะท้อนก้องไปทั่วพื้นที่!
“เจ้ากล้ารึ?”
เสียงนั้นดังกระหึ่มราวกับสายฟ้าฟาด แทรกซึมเข้าสู่กลางใจของชายชราโดยตรง ความหนาวเย็นแล่นขึ้นจากฝ่าเท้าสู่ศีรษะโดยพลัน ร่างของเขาชะงัก ดวงตาสาดส่องไปโดยรอบอย่างตื่นตระหนก
“ใครกัน!?” เขากวาดตามองไปรอบ ๆ แต่กลับไม่พบร่องรอยของผู้ใด นอกจากอวี้เหวินที่ยืนอยู่ไม่ไกล
ชายชราไม่กล้าประมาทอีกต่อไป เขาประสานมือโค้งคำนับไปในอากาศ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นไหว
“ผู้อาวุโส ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ จึงไปล่วงเกินลูกศิษย์ของท่าน ขอผู้อาวุโสโปรดอภัยและไว้ชีวิตน้อย ๆ ของข้าด้วย ข้าจะออกไปจากที่นี้ทันที และจะไม่แย่งชิงสิ่งของอีกต่อไป”
แม้ภายนอกจะนอบน้อม แต่ภายในใจของเขาคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ‘ผู้อาวุโสผู้นี้ซ่อนตัวอยู่เนิ่นนานมิได้ปรากฏออกมา แต่ทันทีที่เด็กหนูนี้ตกอยู่ในอันตรายกลับส่งเสียงเตือนมา คงมิใช่ผู้ใดอื่น น่าจะเป็นอาจารย์หรือผู้คุ้มครองของมันแน่ ดูจากระดับพลังที่สามารถซ่อนตัวจากสายตาของข้าได้ย่อมสูงส่งยิ่งนัก มิควรเสี่ยงอีกต่อไป’
แต่ก่อนที่เขาจะได้ขยับตัวหลบหนีไป เสียงเย็นเยียบพลันดังขึ้นอีกครั้ง!
“เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้รึ?”
ในชั่วพริบตา พลังปราณกระบี่สีแดงเพลิงพลันพุ่งออกมาจากอากาศ ตรงเข้าโจมตีชายชราอย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึง รีบเร่งเร้าพลังปราณทั้งหมดเพื่อป้องกันตัว แต่กระนั้นก็ไม่อาจต้านทานได้ ร่างของเขาถูกซัดปลิวกระเด็นไปไกล เลือดพุ่งกระจายออกจากปาก อาการบาดเจ็บเริ่มปรากฏให้เห็นชัด
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตั้งตัว พลังปราณกระบี่ดาบที่รุนแรงยิ่งกว่าก็พุ่งออกมาอีกระลอก! แรงกดดันอันมหาศาลทำให้ชายชราตระหนักได้ทันทีว่าผู้อาวุโสผู้นี้มิได้คิดปล่อยให้เขารอดไปได้แน่นอน!
‘บัดซบ! ข้าต้องหนีให้ได้!’
ในช่วงเวลาเป็นตายนั้น ชายชราตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เขาหยิบของบางอย่างออกมาจากแหวนมิติ ก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณสุดขีดลงไป มันเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ! แม้จะต้องสูญเสียรากฐานพลังบ่มเพาะไปเพื่อใช้งานมัน แต่หากไม่ทำเช่นนี้ เขาคงต้องจบชีวิตลงที่นี่แน่!
แสงสว่างเจิดจ้าพลันแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา แต่ก่อนที่เขาจะหายตัวไป พลังปราณกระบี่สุดท้ายก็พุ่งเข้าปะทะร่างเขาอย่างจัง เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง และราวกับว่าชายชราผู้นั้นไม่เคยปรากฏตัวอยู่ในที่แห่งนี้มาก่อน...
ณ ภายในมิติของสร้อยคอ อวี้เหวิน ซ่งเหยียนเฟยมองดูฉากนี้อยู่ตลอด สายตาเขาทอประกายเย็นชา พลันกล่าวอุทานออกมา
“ไม่นึกว่าตาแก่ผู้นี้จะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วย...” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “แต่ช่างเถอะ โดนปราณกระบี่ดาบของข้าไป ต่อให้รอดมาได้ ชีวิตของมันก็คงไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง”
อวี้เหวินถอนหายใจอย่างโล่งอก ดวงตาสีดำขลับฉายแววซับซ้อน แม้เขาจะพยายามซ่อนมันไว้ภายใต้สีหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่งผ่านพ้นไป หากไม่มีซ่งเหยียนเฟยช่วยเหลือ เกรงว่าเขาคงกลายเป็นศพไปแล้วเป็นแน่
เขาหันไปหาคู่หูของตน ก่อนจะประสานมือคำนับด้วยท่าทางเคารพ
“ซ่งเหยียนเฟย ขอบคุณเจ้ามาก หากมิใช่เพราะเจ้า ข้าคงไม่มีโอกาสยืนอยู่ตรงนี้อีกแล้ว”
ซ่งเหยียนเฟยมองเขาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ในแววตาฉายประกายลึกซึ้ง เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า พวกเราคือสหายกัน นี่เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว”
คำพูดนั้นเรียบง่าย ทว่ากลับเต็มไปด้วยความหนักแน่น อวี้เหวินพยักหน้ารับ รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่สายตาของเขาจะหันไปจับจ้องยังเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้า… สมุนไพรวิเศษอันล้ำค่า
ต้นสมุนไพรตั้งตระหง่านอยู่กลางลานหิน รัศมีแห่งพลังปราณแผ่ออกมารอบกาย ใบของมันเปล่งแสงเรืองรองราวอัญมณีต้องแสงจันทร์ ลำต้นบิดเกลียวดั่งศิลปะแห่งสรวงสวรรค์ แสงสีทองบางเบาฉาบทาบลงบนพื้นผิวของมัน ราวกับสมบัติล้ำค่าที่ถูกทะนุถนอมมาเนิ่นนาน กลิ่นหอมหวนของมันแผ่ซ่านออกมาเป็นวงกว้าง ทุกอณูกลิ่นนั้นชวนให้จิตใจสงบนิ่ง ราวกับซึมซับพลังแห่งฟากฟ้าเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
อวี้เหวินเดินเข้าไปใกล้ ก่อนที่ซ่งเหยียนเฟยจะกล่าวขึ้นช้า ๆ
“สมุนไพรนี้คือ ‘หญ้าเทพจันทรา’ หนึ่งในวัตถุดิบหายากของใต้หล้า มันมีสรรพคุณเร่งการบ่มเพาะพลังปราณ ช่วยเสริมสร้างพื้นฐานรากวิญญาณ และยังสามารถใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในการหลอมโอสถวิเศษระดับสูง” เขาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แต่หากเจ้าต้องการใช้มันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สมควรให้ปรมาจารย์นักหลอมโอสถนำมันไปหลอมเป็นเม็ดยา หากเพียงนำมากลืนกินโดยตรง ย่อมไม่อาจดึงศักยภาพของมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์”
อวี้เหวินพยักหน้ารับเข้าใจ ดวงตาฉายแววครุ่นคิด เขายังไม่รู้จักนักปรุงยาผู้ใด และตัวเขาเองก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับศาสตร์การหลอมโอสถเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือ… เก็บมันไว้ก่อน
“ข้าจะเก็บมันไว้ในแหวนมิติ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะหาวิธีใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด” เขากล่าว ก่อนจะค่อย ๆ เก็บสมุนไพรลงไปอย่างระมัดระวัง
เมื่อเสร็จสิ้น เขาหันไปมองซากของอสรพิษยักษ์ที่นอนแน่นิ่งอยู่กลางลานหิน ซากมหึมาของมันส่งกลิ่นคาวเลือดอบอวล ร่างกายที่เต็มไปด้วยเกล็ดแข็งสีดำขลับดูน่าหวาดหวั่นแม้มันจะสิ้นชีพไปแล้วก็ตาม
“ซากของมัน… ย่อมมีค่ามหาศาล” อวี้เหวินเอ่ยขึ้นช้า ๆ “หากเราชำแหละมัน และนำชิ้นส่วนสำคัญไปขาย ย่อมได้เงินตรามาไม่น้อย”
ซ่งเหยียนเฟยพยักหน้า “แน่นอน โดยเฉพาะแก่นพลังของมัน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของอสูรอสรพิษระดับสูง หากขายให้กับนักบ่มเพาะหรือสำนักใหญ่อาจได้ราคามหาศาล”
แม้ว่าอวี้เหวินจะมีความสามารถไม่น้อย แต่ด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ ยังไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนบนร่างของอสรพิษได้ด้วยซ้ำ แม้มันจะตายไปแล้วก็ตาม ดังนั้น ภารกิจชำแหละนี้จึงตกเป็นของซ่งเหยียนเฟย
ซ่งเหยียนเฟยจุดปราณกระบี่ดาบสีเเดงของตนออกมา พลังปราณสีเเดงฉานไหลเวียนผ่านปลายนิ้ว เผยให้เห็นประกายแสงร้อนแรง เขากวาดสายตาประเมินร่างอสรพิษครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มลงมือด้วยความชำนาญ
คมปราณกระบี่ดาบวาดผ่านเกล็ดดำแข็งของอสูรอสรพิษได้อย่างง่ายดาย เลือดสีม่วงเข้มไหลทะลักออกมาจากรอยแผล อวี้เหวินยืนมองอยู่ด้านข้าง สีหน้าของเขาสงบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ‘สักวันหนึ่ง ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้’
ซ่งเหยียนเฟยใช้เวลาไม่นานในการชำแหละร่างอสูร ส่วนสำคัญของมันถูกแยกออกมาทีละชิ้น หนังเกล็ดของมันสามารถนำไปทำเกราะวิญญาณได้ กระดูกของมันสามารถนำไปสร้างอาวุธ หรือบดเป็นผงทำโอสถ ส่วนที่มีค่าที่สุดคือแก่นพลังที่เรืองแสงอยู่ภายในอกของมัน
ซ่งเหยียนเฟยใช้ปลายนิ้วสัมผัสแก่นพลังเบา ๆ ก่อนจะส่งให้กับอวี้เหวิน “นี่คือแก่นพลังของมัน พลังปราณภายในยังคงสมบูรณ์ หากนำไปแลกเป็นเงินตราย่อมได้ราคาสูง หรือเจ้าจะเก็บไว้ใช้เองก็ได้”
อวี้เหวินรับแก่นพลังมา ดวงตาของเขาฉายแววลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าวเสียงหนักแน่น “ตอนนี้ข้ายังใช้งานมันไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลาที่ข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะใช้มันเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง”
ซ่งเหยียนเฟยมองเขาด้วยสายตาพึงพอใจ ก่อนจะพยักหน้า “เช่นนั้นก็เป็นการตัดสินใจที่ดี”
หลังจากเก็บเกี่ยวสมบัติมีค่าเสร็จสิ้น อวี้เหวินหันมองไปรอบ ๆ ลานหินที่บัดนี้เต็มไปด้วยคราบเลือดและกลิ่นคาวคละคลุ้ง ศึกครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่เส้นทางของเขายังอีกยาวไกล ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
‘ข้ายังต้องเดินทางต่อไป... และต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!’
อวี้เหวินก้าวออกจากหุบเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความเหน็ดเหนื่อยจากศึกที่ผ่านมาผสมปนเปกับความตื่นเต้นจากสมบัติล้ำค่าที่ได้รับมา แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่การเผชิญหน้ากับอสูรอสรพิษระดับสูงและการได้ครอบครองหญ้าเทพจันทรา ทำให้เขารู้ว่าหนทางแห่งการบ่มเพาะพลังปราณของตนนั้นยังอีกยาวไกล
สายลมเย็นพัดโชยผ่าน ปลายเสื้อของเขาโบกสะบัดเบา ๆ ภายใต้ท้องฟ้าสีครามสดใส อวี้เหวินเเละซ่งเหยียนเฟยมุ่งหน้าไปยังหนึ่งในร้านค้าของขบวนสินค้าตระกูลหวัง ซึ่งกำลังตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กแห่งนี้ในระหว่างการเดินทาง
ร้านค้านั้นเป็นเพิงขนาดย่อมแต่จัดวางอย่างเรียบร้อย ประดับด้วยผืนผ้าสีแดงทอง แสดงถึงความมั่งคั่งของตระกูลหวัง เจ้าของร้านคือหวังหลิน ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ ใบหน้าหล่อเหลาราวสตรีอยู่ห้าส่วน ดวงตาคมกริบแฝงประกายเจ้าเล่ห์ เขาเพิ่งรู้จักกับอวี้เหวินในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แต่กลับรู้สึกถูกชะตาและสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
เมื่อก้าวเข้าสู่ร้านค้า กลิ่นสมุนไพรหอมอบอวลลอยปะทะจมูก บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยวัตถุดิบหายากและของวิเศษมากมาย หวังหลินยิ้มกว้างเมื่อเห็นอวี้เหวินเดินเข้ามา
“ฮ่าฮ่าฮ่า! น้องชาย! เจ้ากลับมาแล้ว ดูท่าเจ้าจะได้ของดีมามากมายสินะ!”
อวี้เหวินเพียงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบวัตถุดิบที่ตั้งใจจะขายออกมาจากแหวนมิติอย่างระมัดระวัง โดยไม่เผยให้เห็นหญ้าเทพจันทรา แก่นพลัง หรือของมีค่าอื่นที่เขาคิดว่าจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้า
หวังหลินเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นขณะพิจารณาของตรงหน้า
“นี่มัน… หนังอสรพิษระดับสูง! กระดูกอสูรที่เปี่ยมพลังปราณ! ฮ่าฮ่าฮ่า! สมบัติล้ำค่าเช่นนี้หายากนัก!” เขาลูบคางอย่างพึงพอใจ “เจ้าต้องการขายทั้งหมดเลยหรือไม่?”
“เพียงของเหล่านี้เท่านั้น” อวี้เหวินตอบเรียบ ๆ โดยไม่ขยายความมากกว่านั้น
หวังหลินยิ้มกว้าง “ดี! ข้าจะให้ราคาที่เจ้าพึงพอใจ!”
หลังจากการเจรจาเสร็จสิ้น อวี้เหวินได้รับเงินตราจำนวนมหาศาล ซึ่งมากพอที่จะทำให้เขามั่งคั่งไม่น้อย เมื่อเขากล่าวขอบคุณและออกจากร้าน เงินเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เขาหลงระเริง มีเพียงเป้าหมายเดียวที่ยังคงชัดเจน การแข็งแกร่งขึ้น!
---
ซ่งเหยียนเฟยมองดูอวี้เหวินด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากวันแรกที่พวกเขาพบกัน เขาเคยเป็นดั่งเจ้าชายผู้เย่อหยิ่ง หลงใหลในเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตน ไม่เคยคิดว่าผู้ใดจะคู่ควรแก่การเป็นสหายแท้ของเขา แต่หลังจากที่ได้ร่วมทางกับอวี้เหวิน ผ่านความเป็นความตายร่วมกัน เขาได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพียงแค่พลังยุทธ์ แต่เป็นหัวใจที่แน่วแน่และจิตวิญญาณที่ไม่เคยยอมแพ้
‘อวี้เหวิน... เจ้ามิใช่คนธรรมดาเลยจริง ๆ’
จากเพียงแค่คนรู้จัก บัดนี้ซ่งเหยียนเฟยเริ่มนับเขาเป็นสหายแท้ หากในอนาคตพวกเขายังคงร่วมทางกันต่อไป ไม่แน่ว่าอาจสนิทกันราวกับพี่น้องร่วมสายเลือด
---
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งวันสำคัญมาถึง—วันที่ขบวนสินค้าของตระกูลหวังจะออกจากหมู่บ้าน เสียงฝีเท้าม้าและรถม้าดังกึกก้องทั่วลานกว้าง พ่อค้าและนักเดินทางต่างพากันเตรียมตัวออกเดินทางสู่เมืองใหญ่
ภายในเรือนรับรองที่เงียบสงบหลังหนึ่ง บานหน้าต่างไม้ถูกเปิดไว้รับลมเช้าอ่อน ๆ แสงอาทิตย์แรกแห่งรุ่งอรุณสาดส่องลอดผ่านซี่ไม้โปร่ง ให้เงาไม้สะท้อนพลิ้วไหวอยู่บนพื้นหินแกร่ง
ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างโต๊ะไม้หอม ใบหน้าเรียวยาวงดงามราวภาพวาด หวังหยวน นายน้อยแห่งตระกูลหวัง และผู้นำขบวนค้าครั้งนี้ กำลังขบคิดเงียบ ๆ ดวงตาเรียวยาวทอดมองออกไปยังทิวเขาที่ทอดตัวยาวไกลสุดสายตา
"ผ่านมาแล้วห้าวัน..." เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง พลางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู บนกระดาษคือภาพร่างวัตถุลึกลับที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเมื่อหนึ่งถึงสองเดือนก่อน
จุดประสงค์แท้จริงของการเดินทางมายังหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่ใช่เพียงการซื้อขายสินค้า หากแต่เป็นเพื่อสืบหาร่องรอยของสิ่งนั้น... วัตถุลึกลับซึ่งแหวกฟ้าตกลงมาจากเบื้องบน ทว่าน่าเสียดาย แม้เขาจะส่งคนออกตามหาอย่างเงียบเชียบตลอดห้าวันที่ผ่านมา ก็ยังไร้ซึ่งเบาะแสหรือคำบอกเล่าที่เป็นประโยชน์
“ใต้หล้ายิ่งใหญ่ ความลี้ลับย่อมดาษดื่น...” เขาถอนหายใจแผ่วเบา สายตาหม่นหมองไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยคำที่สะท้อนความในใจอย่างเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก
“เหตุการณ์ในใต้หล้า มักมิเป็นดั่งใจคิด...”
เขาลุกขึ้นช้า ๆ จากเบาะรองนั่ง เส้นผมยาวสยายพริ้วพลิ้วตามแรงลมเมื่อประตูเรือนถูกเปิดออก กลิ่นไม้สนจาง ๆ ลอยมาแตะจมูกขณะเขาก้าวออกจากเรือน เดินมุ่งหน้าสู่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน
ไม่นานหลังจากนั้น บริเวณลานหน้าบ้านไม้ที่เรียบง่าย หวังหยวนได้โค้งคำนับอย่างสุภาพต่อชายชราเจ้าของหมู่บ้าน พร้อมกล่าวคำอำลา น้ำเสียงของเขาสุขุม อ่อนน้อมแต่แฝงด้วยอำนาจ
“ขอบคุณท่านลุงที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี หากในอนาคตขบวนสินค้าของตระกูลหวังมีโอกาสกลับมา ข้าหวังว่าจะได้รับไมตรีอันอบอุ่นเช่นนี้อีกครั้ง”
ชายชราแย้มยิ้มพยักหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพ “ขอให้นายน้อยเดินทางปลอดภัย โชคดีตลอดทาง”
---
ณ ลานกว้างใจกลางหมู่บ้าน ขบวนสินค้ากำลังเตรียมออกเดินทาง ม้าเทียมรถกำลังถูกควบคุมอย่างเป็นระเบียบ สินค้าถูกห่อหุ้มด้วยผ้าเนื้อหนา มัดแน่นด้วยเชือกเส้นใหญ่ ธงของตระกูลหวังสะบัดไหวตามสายลม ตราสัญลักษณ์อันสง่างามของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งภาคใต้ปรากฏเด่นชัด
อวี้เหวินยืนอยู่หน้ารถม้าเล็กคันหนึ่ง สวมชุดเรียบง่ายสีเข้ม เขากำลังกล่าวอำลาหวังหลิน ชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามราวอิสตรี แต่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดและจิตใจโอบอ้อม
“เจ้าทำให้ข้าได้รับรู้หลายสิ่งในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ หวังหลิน” อวี้เหวินเอ่ย น้ำเสียงแม้จะเรียบเย็น แต่ดวงตากลับสื่อถึงความจริงใจ
หวังหลินยิ้มบาง ดวงตาทอประกาย “หากเจ้ามีโอกาส อย่าลืมไปเยี่ยมข้าที่ หุบเขาเมฆาอำพัน เขตการปกครองของตระกูลหวัง เมืองเมฆฟ้า ภาคใต้ เจ้าจะได้รับการต้อนรับสมเกียรติอย่างแน่นอน”
เขายื่นมือออกมาเบา ๆ ก่อนจะกล่าวบทกลอนด้วยน้ำเสียงรื่นหู
“หากสหายยังอยู่ ห้วงฟ้าดินย่อมมิเดียวดาย
หนึ่งรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ ยิ่งใหญ่กว่าพันคำลา”
อวี้เหวินหัวเราะแผ่วเบา พลางจับมือเขาเบา ๆ “แม้ทางจะไกล หากใจเชื่อมถึงกัน สักวันย่อมได้พบ”
หวังหลินยิ้มกว้างขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้า ประจำตำแหน่งในขบวน
---
เสียงแตรไม้ถูกเป่าแผ่วเบา ดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน ขบวนสินค้าของตระกูลหวังเริ่มเคลื่อนตัวออกจากลานกว้าง ช้า ๆ แต่มั่นคง
ม้าแข็งแรงฝ่าเมฆฝุ่นเบื้องล่าง ล้อรถม้าหมุนเอื่อยผ่านถนนหินกรวดที่ทอดยาวไกล แผ่นธงสีทองแดงสะบัดพลิ้วลับหายไปในม่านหมอกเช้า อวี้เหวินยืนมองขบวนไปจนสุดสายตา สายลมพัดผ่านใบหน้าของเขา ดวงตานิ่งสงบ ทว่าในใจกลับครุ่นคิดถึงหนทางข้างหน้า
‘โลกกว้างใหญ่ไพศาล นักบ่มเพาะนับไม่ถ้วน ข้ายังต้องเดินไปอีกไกล...’
ลมหายใจของเขาแน่นิ่ง ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป
ปลายทางของเขา ยังคงเลือนราง... แต่ใจของเขา ไม่เคยหวั่นไหว
---
หลังขบวนสินค้าขนาดใหญ่ของตระกูลหวังเคลื่อนจากหมู่บ้านไปจนลับตา ท่ามกลางฝุ่นดินที่ลอยละอองอยู่ในอากาศอย่างแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายก็กลับคืนสู่ความสงบเย็น เงียบงันจนน่าประหลาด
อวี้เหวินยืนนิ่งอยู่หน้าบ้านไม้เก่าหลังหนึ่ง ทอดสายตามองเส้นทางที่ขบวนสินค้าจากไป
ในแววตาที่งดงามดั่งสตรีแฝงแววครุ่นคิดและหมองเศร้า ราวกับมีม่านหมอกบางเบาปกคลุมอยู่ภายใน
ช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันนับจากนี้ เขาจะต้องจากหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้ไป...
เพื่อก้าวเข้าสู่โลกที่กว้างใหญ่และโหดร้ายกว่าที่เขาเคยพบเจอ
ลมสายยามบ่ายพัดไหวผ่านยอดไม้ เสียงใบไม้เสียดสีกันคล้ายเสียงกระซิบจากฟากฟ้า
เขาหลับตาชั่วครู่ สูดกลิ่นอายของป่าเขาเข้าเต็มปอด
ดั่งจะเก็บความสงบสุขสุดท้ายไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ก่อนจะเดินเข้าสู่โลกที่เปื้อนเลือดและไฟแค้น
เขารู้ดี การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการทดสอบของโชคชะตาเท่านั้น
แต่คือบทเริ่มต้นของคำสาบานที่เขาให้ไว้กับตัวเอง... ตั้งแต่ยังเด็ก
“ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น...”
“แข็งแกร่งพอจะฝ่าเข้าไปในตระกูลเฉิน”
“พาตัวมารดาของข้ากลับมา และให้พวกมันทุกคน... ชดใช้!”
เพลิงแค้นที่เขาฝังไว้ในใจตลอดหลายปี… พวยพุ่งขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อตระกูลนั้น
ตระกูลเฉิน ตระกูลของมารดาเขาเอง
ตระกูลที่ทอดทิ้งนางราวกับไร้ค่า
ตระกูลที่เหยียบย่ำบิดาของเขา ทั้งคำดูแคลน ทั้งการกระทำไร้เมตตา... ล้วนฝากรอยแผลลึกไว้ในใจเขามิรู้ลืม
อวี้เหวินกำหมัดแน่น จนข้อมือขาวซีด
ริมฝีปากบางเม้มสนิท ความเยือกเย็นในแววตาแปรเปลี่ยนเป็นประกายแห่งคำมั่น
“ข้าไม่เพียงแต่จะเอาตัวนางกลับมา...”
เขาพึมพำเสียงแผ่ว
“แต่ข้าจะให้พวกมัน... เห็นกับตาว่า ลูกของคนที่พวกมันเหยียบย่ำ จะยืนอยู่เหนือพวกมันทั้งหมด!”
เสียงลมพลันแปรเปลี่ยนเป็นโหมแรง ฝุ่นปลิวลอยขึ้นกลางอากาศ
แสงอาทิตย์อ่อนส่องกระทบใบหน้าอวี้เหวิน เผยความแน่วแน่ที่แม้แต่กาลเวลาก็ไม่อาจกัดกร่อน
โลกกว้างใหญ่เบื้องหน้า... รอการมาถึงของเขา
---
ณ ห้องเก็บของหลังบ้าน อวี้หลานกำลังเตรียมสัมภาระอย่างเงียบงัน
เขาไม่ได้เอ่ยวาจามากนัก ทว่าทุกการเคลื่อนไหวของเขา ล้วนเต็มไปด้วยความรอบคอบและเอาใจใส่
แม้เขาจะมิใช่ผู้ฝึกตนอีกต่อไป แต่จิตใจที่เคยผ่านศึก เคยยืนท่ามกลางพายุ ก็ยังมั่นคงดั่งผืนเขา
เมื่อเห็นบุตรชายเดินเข้ามาในเงามืดของห้องเก็บของ เขาก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนริมฝีปาก
“พร้อมหรือยัง... เจ้าเตรียมใจแล้วหรือยัง?”
คำถามแผ่วเบาแต่จริงจังนัก
อวี้เหวินพยักหน้า แม้เสียงในใจยังสั่น
แต่แววตานั้น แน่วแน่ยิ่งกว่าเหล็กกล้า