ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 162 ข้าก็คือผู้ตัดสินชะตา (4)

ในหนึ่งชั่วยามนี้ มั่วเซวี่ยนเฝ่ยต้องทนทุกข์ทรมานกับเข็มเงินที่ถูกจวินอู๋เสียฝังลงมาจนอยากตายเสียหลายๆ รอบ เวลานี้เมื่อเข็มเงินนั้นถูกถอนออกไป เขาก็โล่งใจ แต่พอรู้สึกตัวว่าไม่ว่าเขาจะขยับขาอย่างไรมันก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็แทบวิญญาณหลุดออกจากร่าง

เขาพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ขาทั้งสองข้างของเขากลับไม่ฟังคำสั่ง มันชาดิก เขาจึงทำได้เพียงแต่ต้องคุกเข่าอยู่อย่างนั้นต่อหน้าทุกคน แล้วแหงนมองทุกคนจากบนพื้น

“ไปเอาเก้าอี้รถเข็นที่ข้าเตรียมไว้ให้องค์ชายรองเป็นพิเศษเข้ามา” จวินอู๋เสียสั่งด้วยรอยยิ้ม

ทหารกองทัพรุ่ยหลินนายหนึ่งก็ไปเข็นเก้าอี้รถเข็นที่เตรียมไว้เข้ามาในท้องพระโรงโดยไม่รอช้า

มั่วเซวี่ยนเฝ่ยมองไปที่เก้าอี้รถเข็นที่ทหารเข็นเข้ามา เขาพบว่าเก้าอี้รถเข็นคันนี้มันช่างคุ้นตาเหลือเกิน นี่ไม่ใช่เก้าอี้รถเข็นคันที่ทางราชวงศ์ส่งไปให้จวินชิงในปีนั้นที่จวินชิงพิการหรอกเหรอ!

“ประคององค์ชายรองขึ้นไปนั่ง” จวินอู๋เสียสั่งต่อ

ทหารกองทัพรุ่ยหลินสองนายก็เข้าไปประชิดตัวแล้วดึงตัวมั่วเซวี่ยนเฝ่ยขึ้นมา มั่วเซวี่ยนเฝ่ยปัดป้องเล็กน้อย แต่เพราะยามนี้เรี่ยวแรงของเขาแทบไม่เหลือแล้ว จึงได้กัดฟันทนต่อความเจ็บที่บริเวณแขนที่ถูกดึงแล้วขึ้นไปนั่งบนรถเข็นคันนั้นอย่างไม่เต็มใจ

รอยเลือดจากการถูกลากให้ขึ้นไปนั่งบนรถเข็นทิ้งคราบไว้เป็นทางยาวน่ากลัว หลายคนเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากมองโดยเฉพาะกับไป๋อวิ๋นเซียนและผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั่น

“จวินอู๋เสีย นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่! เจ้าคิดจะทำบ้าอะไรหา! ข้าไม่นั่งรถเข็นนะ! ข้าไม่เอา!” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยพยายามถลาตัวกลับลงมาที่พื้น แต่เพราะถูกทหารกองทัพรุ่ยหลินกดไว้ จึงได้แต่สบถด่าจวินอู๋เสียออกไป

“ก็เจ้าเป็นคนพิการแล้วนี่ ยอมรับชะตากรรมเสียเถิด” จวินอู๋เสียยิ้มอย่างสดใส ทว่าประโยคเมื่อสักครู่นี้ของนางกลับทำให้ฮ่องเต้ที่ทำตัวล่องหน ทนฟังทนดูสถานการณ์ตรงหน้ามาโดยตลอดถึงกับสะท้าน พระวรกายหนาวสั่นขึ้นมา

ก็เจ้าเป็นคนพิการแล้วนี่ ยอมรับชะตากรรมเสียเถิด…

ประโยคนี้ พระองค์เคยตรัสไว้...

ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรไปที่แผ่นหลังของจวินอู๋เสีย พระวรกายของพระองค์คล้ายกับถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง ทรงไม่อาจระงับความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นในพระทัยได้เลย

ทอดพระเนตรดูพระโอรสของพระองค์เองและไป๋อวิ๋นเซียนถูกจวินอู๋เสียหยอกเล่นอยู่ในกำมือ ฟังเสียงกรีดร้องทุกข์ทรมานของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย พระองค์ก็เกิดความรู้สึกอยากหนีขึ้นมา แต่พระองค์หนีไปไหนไม่ได้

ด้านนอกท้องพระโรง บัดนี้ถูกทหารจากกองทัพรุ่ยหลินปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว ต่อให้พระองค์ทรงหนีขึ้นมาจริงๆ พระองค์ก็หนีไม่พ้น!

ทางด้านมั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่ถูกบังคับให้นั่งเก้าอี้รถเข็นแทบเสียสติ เขาไม่ได้อยากจะนั่งเก้าอี้รถเข็นคันนี้สักนิด แต่เพราะทหารจากกองทัพรุ่ยหลินทั้งสองคนประกบด้านซ้ายขวาของเขาอยู่ เขาจึงขยับไปไหนไม่ได้

มาดขององค์ชายรองผู้สูงศักดิ์ บัดนี้ไม่หลงเหลืออีกต่อไป

มั่วเฉี่ยนยวนเฝ้ามองสถานการณ์ทั้งหมดตรงหน้าอย่างเงียบๆ มาตอนถึงนี้ เขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าความโหดเหี้ยมของจวินอู๋เสียที่เขาได้เห็นในคืนนั้นที่หน้าประตูวัง ยังไม่ได้เศษเสี้ยวของความอำมหิตที่เขาได้ประจักษ์ในวันนี้ด้วยซ้ำ

แทนที่จะพูดว่าได้ประจักษ์ในความโหดเหี้ยมอำมหิตของจวินอู๋เสีย ไม่สู้พูดว่าได้รู้แจ้งถึงความสามารถในการทรมานคน บดขยี้เหยียบย่ำศัตรูให้จมดินของนางออกจะตรงตัวยิ่งกว่า

เพียงแค่หนึ่งดาบ จวินอู๋เสียก็ทำให้ทั้งมั่วเซวี่ยนเฝ่ยและไป๋อวิ๋นเซียนมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย ทั้งๆ ที่นางสามารถฆ่าคนทั้งสองได้ง่ายๆ แต่นางกลับเลือกหนทางที่จะทรมานพวกเขาอย่างช้าๆ ค่อยๆ ทำลายความภาคภูมิใจ ความมั่นใจ ความฝัน อนาคต และศักดิ์ศรีทุกๆ อย่างของคนทั้งคู่ไปทีละนิด ปล่อยให้พวกเขาจมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง และในที่สุดพวกเขาก็จะถูกความหวาดกลัวเข้ากัดกินจนกลายเป็นคนวิปลาสไป

เมื่อจิตวิญญาณของคนผู้หนึ่งถูกเหยียบย่ำทำลายลงอย่างสมบูรณ์ ต่อให้เป็นเทพที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ ก็ไม่มีปัญญาจะช่วยอะไรพวกเขาได้ การเยียวยารักษาจิตใจที่แตกร้าวให้กลับมาเป็นเหมือนเก่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ถูกทรมานโดยจวินอู๋เสีย กลับชาติมาเกิดใหม่บางทีอาจจะง่ายยิ่งกว่า

รักษากายเนื้อนั้นง่าย แต่การเยียวยารักษาจิตใจ…

“จวินอู๋เสีย! ข้าจะฆ่าเจ้า! นังบ้า! นังสวะ! ข้าจะฆ่าเจ้า!” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่นั่งอยู่บนรถเข็นคำรามลั่น รูม่านตาของเขาขยายเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังคลุ้มคลั่ง จู่ๆ เขาก็เรียกวงแหวนภูติวิญญาณออกมา แสงสีทองสว่างวาบไปทั่ว และเพียงไม่นานเสียงร้องคำรามอันน่าเกรงขามของสัตว์ร้ายประเภทสิงโตก็ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง

การแสดงออกของมั่วเฉี่ยนยวนเปลี่ยนเป็นระมัดระวังขึ้นมาทันที เขากระชับหมัดแน่น ยังคงจำเสียงร้องนี้ได้ขึ้นใจ ในปีนั้นที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยปลุกภูติวิญญาณของเขาขึ้นมา มันก็ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั้งราชวงศ์!

แสงสีทองซึ่งเหมือนกับแสงของพระอาทิตย์เจิดจ้า ขยับเข้ามารวมกลุ่มกันแล้วจำแลงร่างเป็นสิงโตทองคำขนาดยักษ์

ราชสีห์ทองคำยักษ์!

ในสายเลือดทุกรุ่นของเชื้อพระวงศ์รัฐชี นี่คือภูติวิญญาณประเภทสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดที่ถูกปลุกขึ้นโดยสมาชิกราชวงศ์รัฐชี

การที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยเรียกภูติวิญญาณอย่างราชสีห์ทองคำยักษ์ออกมาในเวลานี้ เห็นได้ชัดแล้วว่าเขามีความต้องการจะตายไปพร้อมกันกับจวินอู๋เสีย!