ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 166 ฉีกกระชากและกลืนลงท้อง (4)

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่พื้นด้วยอาการสั่นระริก พระหทัยของพระองค์คล้ายถูกใครบางคนยื่นมือออกมาบีบไว้แน่น

พระองค์ไม่ปฏิเสธว่าตอนที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยเรียกราชสีห์ทองคำยักษ์ออกมา ในพระอุระของพระองค์ก็เต้นรัว ตะโกนร้องลั่นว่ารอดแล้ว ถ้าหากราชสีห์ทองคำยักษ์สามารถช่วยพวกเขาให้ออกจากการถูกปิดล้อมได้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

แต่เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นภูติวิญญาณของลูกชายตัวเองถูกสัตว์ร้ายสีดำของจวินอู๋เสียกลืนลงไป หัวใจของพระองค์ก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม

ปีศาจ

จวินอู๋เสียคือปีศาจชัดๆ

ฮ่องเต้ไม่อาจมองจวินอู๋เสียเป็นมนุษย์ธรรมดาได้อีกต่อไป นางอายุยังน้อย แต่นางสามารถคิดแผนการล้ำลึกที่แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังคิดไม่ได้ นอกจากนี้นางยังมีความกล้าหาญที่จะบังคับฮ่องเต้ให้สละราชสมบัติ แล้วยังมีสัตว์ร้ายสีดำตัวนั้นที่กลืนกินภูติวิญญาณได้อีก...

จวินอู๋เสียไม่ใช่มนุษย์ นางคือปีศาจ!

ฮ่องเต้ทรงรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งพระวรกาย หมุนตัวกลับไปนั่งบนบัลลังก์ด้วยฝีพระบาทที่สั่นเทา พระองค์ไม่กล้าตรัสอะไรอีก ไม่กล้าแม้แต่จะขอให้จวินอู๋เสียปล่อยตัวมั่วเซวี่ยนเฝ่ย

“ยกคนกลับไป” จวินอู๋เสียขมวดคิ้วและมองดูมั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่ชักกระตุกจนน้ำลายเริ่มฟูมปาก นางยังไม่ทันทำอะไร เขาก็ไม่ไหวแล้ว!

ทหารของกองทัพรุ่ยหลินยกตัวมั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่ชักไม่หยุดขึ้นบนรถเข็น ครั้งนี้มั่วเซวี่ยนเฝ่ยไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ตาของเขาเหลือกค้างและมุมปากของเขาก็มีน้ำลายเป็นฟองสีขาวไหลออกมา ผิวหนังของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างน่าประหลาด

ภูติวิญญาณถูกทำลายอย่างรุนแรง  ทำให้เกิดบาดแผลที่ลบล้างไม่ได้ต่อจิตวิญญาณของผู้เป็นนายซึ่งถือครองภูติวิญญาณนั้นอยู่

ไป๋อวิ๋นเซียนที่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตกใจกลัวเป็นอย่างมาก นางพยายามขดตัวเข้าใกล้เสาเพื่อซ่อนตัวอยู่หลังเสาในท้องพระโรง ภาวนาอย่าให้จวินอู๋เสียเห็นตัวเอง

น่าเสียดาย จวินอู๋เสียจะลืมหญิงสาวที่เคย ‘ดูแล’ ท่านปู่ของนางได้อย่างไรกัน

เพียงแค่สายตา มั่วเฉี่ยนยวนก็เข้าใจความหมายของจวินอู๋เสียทันที เขาได้นำกองทหารรุ่ยหลินสองคนไปลากตัวไป๋อวิ๋นเซียนออกมาจากด้านหลังเสา โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องของนางและปิดปากนางด้วยผ้า เขาสั่งให้คนพาตัวนางไปไว้ที่มุมห้องหนึ่งเพื่อรอรับคำสั่ง

แผนการบังคับฮ่องเต้ให้ลงจากราชบัลลังก์มาถึงตอนนี้ก็ได้เวลาเริ่มตอนสำคัญกันแล้ว

รอยยิ้มอาฆาตบนใบหน้าของจวินอู๋เสียเลือนหายไป แทนที่ด้วยความเย็นชาสุดหยั่ง นางเดินไปหาฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยพระพักตร์ซีดขาวทีละก้าวๆ

“เจ้า...เจ้าอย่าเข้ามา...” ฮ่องเต้ซึ่งมีพระชนมพรรษาเกินครึ่งร้อยปีตกใจกลัวจนพระพักตร์เผือดสี พระองค์พยายามขดตัวหนีนางมารร้าย แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นไปจากสายตาที่เย็นชาของจวินอู๋เสียได้เลย

“ข้ามีเพียงคำถามเดียวเท่านั้น” จวินอู๋เสียกล่าวอย่างเย็นชา

“เจ้าอยากถามอะไร” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่จวินอู๋เสียอย่างกังวลพระทัย

“การเสียชีวิตของท่านพ่อข้า และการบาดเจ็บของท่านอาเล็กของข้า เจ้าเป็นคนสั่งให้คนทำใช่หรือไม่” จวินอู๋เสียหรี่ตาลง และสายตาอันเย็นยะเยือกก็บังคับให้ฮ่องเต้ไม่กล้าตรัสวาจาโกหกออกมา

ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองจวินอู๋เสียด้วยพระวรกายที่สั่นเทิ้ม ดวงเนตรของพระองค์เต็มไปด้วยความกลัว

พระองค์ไม่กล้าตรัส...และตรัสไม่ได้...

ถ้าพระองค์ตรัสออกมา พระองค์ต้องตายแน่!

“ไม่ใช่…ไม่ใช่ข้า…”

จวินอู๋เสียมุมปากกระตุกอย่างเย็นชา และเข็มเงินห้าเล่มพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของนาง

“เจ้ารนหาที่เองนะ” ถึงตอนนี้เจ้าก็ยังไม่ยอมรับ แสดงว่าเจ้ารนหาที่ตายเอง!

การเสื่อมถอยของสกุลจวินนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน แม้ว่าจวินเสี่ยนและจวินชิงจะไม่ค่อยพูดกับนางเกี่ยวกับการเสียชีวิตของท่านพ่อ แต่นางก็คาดเดาได้จากคำพูดที่พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงว่าเป็นฝีมือของฮ่องเต้

เมื่อหมดประโยชน์แล้วก็กำจัดทิ้ง!

เมื่อใต้หล้าสงบลง ฮ่องเต้ก็เกิดความคิดที่จะกำจัดไปให้พ้น!

“เจ้าเขียนราชโองการประกาศสละราชสมบัติเอง” จวินอู๋เสียกล่าวกับมั่วเฉี่ยนยวน

มั่วเฉี่ยนยวนผงะไปครู่หนึ่ง เขาไม่เข้าใจว่าจวินอู๋เสียตั้งใจจะทำอะไร แต่วินาทีต่อมา ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาในท้องพระโรง ทำให้เขาตกใจจนหอกยาวในมือร่วงหล่นลงไปที่พื้น