พิธีแห่งเงา

เสียงฆ้องดังก้องกังวานจากประตูเมืองชั้นนอก ขบวนต้อนรับราชทูตจากแดนใต้เคลื่อนเข้าสู่ฉางอันอย่างช้า ๆ ดวงแก้วนั่งอยู่ในเกี้ยวประดับทองคำ มือจับลูกแก้วจันทราที่แขวนคอไว้แน่น

ทว่าทันทีที่ล้อเกี้ยวแล่นผ่าน “ประตูมังกรหุบเขา” ซึ่งเชื่อว่าเป็นประตูพลังงานแห่งเมืองหลวง หยกกลางลูกแก้วที่เคยนิ่งเฉย… กลับสั่นไหวเบา ๆ

หญิงสาวเบิกตากว้าง ดวงจิตในกายรู้สึกถึงคลื่นกระเพื่อมบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นพลังที่โบราณยิ่งกว่าแผ่นดิน… และกำลัง “ตื่นขึ้น”

---

ค่ำวันเดียวกัน ภายในจวนรับรองแขกบ้านเมือง

ดวงแก้วยืนอยู่ริมหน้าต่างสูง มองเห็นพระจันทร์กลมโตลอยเหนือเจดีย์วัดฝั่งตะวันออก เงาจันทร์สะท้อนในดวงตาคมของนาง ราวมีม่านหมอกบางบังอยู่

แล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ท่านหญิง ราชสำนักแจ้งว่าจะให้เข้าเฝ้าในอีกสามวันข้างหน้า และเชิญร่วมพิธีเฉลิมฉลองวสันต์ในวังหลวงด้วย”

ดวงแก้วพยักหน้าเล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำ นางยังคงจ้องจันทร์อย่างไม่กะพริบ

“ขอบคุณเจ้ามาก ไปพักเถิด”

เมื่อประตูปิดลง ความเงียบกลับคืนมา—แต่ไม่ใช่เพียงเสียง

เงาหนึ่งปรากฏขึ้นในกระจกสำริดด้านหลังนาง เป็นเงาหญิงสาว…แต่ใบหน้ากลับพร่ามัวและว่างเปล่า ดวงแก้วหันไปช้า ๆ

เงานั้นเอียงหน้า ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว

“ถึงเวลาแล้ว…สายเลือดผู้พิทักษ์”

ดวงแก้วไม่ได้แปลกใจ นางกลับค่อย ๆ ยื่นมือไปแตะกระจก เสียงตอบกลับด้วยถ้อยคำลึกลับเป็นภาษาที่สูญหายไปจากโลกนานนับพันปี

“จักรวาลจะสั่นไหว หาก ‘เขา’ ระลึกได้ว่าเจ้าคือใคร”

จู่ ๆ ลูกแก้วจันทราก็เปล่งแสงจาง ๆ จากภายใน… และเงาในกระจกค่อย ๆ จางหายไป

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนพึมพำคำเบา ๆ

“ข้ารอเวลานี้มาเกือบสิบห้าปี… เมืองถัง เจ้าจำข้าได้หรือไม่?”

สามวันถัดมา ดวงแก้วถูกเชิญเข้าสู่พระราชวังถังในฐานะราชทูตจากสยาม ชุดผ้าไหมสีฟ้าน้ำทะเลที่นางสวมดูเรียบหรู แต่สง่าจนนางกำนัลทั้งหลายลอบเหลียวมองไม่วางตา

โถงพระราชวังใหญ่ตกแต่งด้วยมังกรทองแกะสลักสูงตระหง่าน กลิ่นหอมของธูปกำยานจากไม้หอมจันทน์คลุ้งลอยล่องในอากาศ เมื่อดวงแก้วเข้าสู่ท้องพระโรง เสียงฆ้องและดนตรีจีนโบราณก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงขานประกาศจากขันที

“ราชทูตจากแดนใต้ ดวงแก้ว แห่งสยาม”

นางก้าวย่างขึ้นหน้าช้า ๆ คุกเข่าลงถวายบังคมตามธรรมเนียมจีน

สายตานับร้อยคู่จับจ้อง หวังจะวัดว่า "สตรีจากแดนไกล" ผู้นี้มีดีอันใดจึงกล้ารับภารกิจใหญ่เช่นนี้

ทว่าเหนือกว่าสายตาทั้งหมด...คือแววตาของบุรุษหนึ่งที่นั่งเคียงเบื้องหลังม่านไหมทอง

เว่ยหลง—แม่ทัพหนุ่มผู้มากด้วยฝีมือและอำนาจลับของราชวงศ์ถัง

เขามองนาง...ไม่เพียงเพราะความงาม หรือฐานะ

แต่เพราะ “แรงสั่นสะเทือน” บางอย่างที่เขาสัมผัสได้ตั้งแต่นางก้าวเข้าสู่แผ่นดินจีน

---

เมื่อพิธีจบลงในยามบ่าย ดวงแก้วถูกเชิญไปร่วมพิธีเฉลิมฉลอง “วันวสันต์” ในสวนหยกหลวง ยามที่สายลมพัดผ่านดอกเหมยบาน สายน้ำจากลำธารไหลเอื่อยในสวน นางยืนเงียบใต้ต้นเหมยใหญ่

จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเบื้องหลัง

“ข้ารู้ว่าเจ้ามิใช่เพียงราชทูตธรรมดา…”

ดวงแก้วหันขวับ พบชายในชุดนักรบสีน้ำเงินเข้มยืนพิงต้นไม้ ใบหน้าคมเข้มประดับรอยยิ้มเจือเย้ย แต่ดวงตานั้นจริงจัง

“เจ้าคือเว่ยหลง แม่ทัพใหญ่ใช่หรือไม่”

“และเจ้า…คือผู้หญิงที่มีพลังบางอย่างที่แม้แต่หยินหยางยังไม่กล้าสัมผัส” เว่ยหลงเอ่ยช้า ๆ ดวงตาไม่ละจากลูกแก้วจันทราที่ห้อยคอนาง