ทางเดินเบื้องหลังผนังที่เปิดออกนั้นคับแคบและเย็นเฉียบ พอเท้าก้าวย่างเข้าไป เสียงกึกก้องเบา ๆ ก็ดังสะท้อนราวกับสิ่งมีชีวิตบางอย่างในเงามืดกำลังตื่นขึ้น
เว่ยหลงเดินตามหลังดวงแก้วไปอย่างระวัง มือข้างหนึ่งวางบนด้ามดาบ อีกข้างถือคบไฟ
แต่แสงไฟกลับสู้ความมืดไม่ได้—มีเพียงแสงสีน้ำเงินจากลูกแก้วของนางที่ส่องนำทาง
เมื่อเดินลึกลงไป พวกเขาก็มาถึงโถงหินขนาดใหญ่กลางใต้ดิน ที่กลางห้องมีแท่นหินลอยอยู่กลางอากาศ
เหนือแท่นนั้นมีดาบเล่มหนึ่งปักนิ่งอยู่ พลังบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจนทำให้เว่ยหลงรู้สึกได้
“ดาบ…ของเงา” ดวงแก้วพึมพำเบา ๆ
เขาหันขวับมามองนาง “เจ้ารู้จักมัน?”
“มันเคยถูกใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อห้าร้อยปีก่อน ในสงครามระหว่างแผ่นดินใต้กับจักรวรรดิเหนือ...บรรพบุรุษของข้าเคยเป็นผู้ถือครองมัน” นางตอบเสียงเรียบ
เว่ยหลงขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึง...ดาบเล่มนี้คือของสายเลือดเจ้าจริง ๆ?”
ดวงแก้วไม่ตอบ แต่ก้าวเข้าไปยังแท่นหิน
เมื่อมือของนางแตะลงบนดาบ แสงสีน้ำเงินสว่างวาบ—แรงลมหมุนวนทั่วห้อง เงาทั้งหลายถูกดูดกลับเข้าสู่แท่นหิน
เว่ยหลงต้องใช้แรงยืนนิ่งไว้
เมื่อแสงสงบลง ดาบก็ไม่ได้อยู่บนแท่นอีกต่อไป แต่มาอยู่ในมือนางเรียบร้อยแล้ว
---
เงาสีดำโผล่ขึ้นจากพื้นห้องทันที รูปร่างของเงานั้นไม่ชัดเจน แต่ดวงตาสีแดงฉานสองดวงจ้องมาที่ดวงแก้ว
มันส่งเสียงต่ำและเยือกเย็น
“เจ้ากลับมาแล้ว...ผู้ถือสัจจะแห่งสองแผ่นดิน”
ดวงแก้วยืนเผชิญหน้า ไม่หวั่นไหว “และข้าจะยุติคำสาปของพวกเจ้าเช่นกัน”
เว่ยหลงตะลึง—เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้ลึกซึ้งถึงขนาดมีเงาในตำนานเรียกนางว่า ผู้ถือสัจจะ
---
เมื่อเงาสลายไป ห้องใต้ดินเงียบลงอีกครั้ง
เว่ยหลงเอ่ยเบา ๆ
“เจ้าไม่ใช่เพียงราชทูต…ใช่หรือไม่”
ดวงแก้วหันมา ดวงตานิ่งและเจ็บปวด
“ข้า...คือผู้สืบทอดคำสาบานในเงา
ข้าคือเงาที่เดินผ่านความมืด
และเจ้า...คือแสงที่ข้าหวั่นกลัว”