จะไปสนใจอะไรเล่า มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปสิเหม่ยฉี!
ท่าทางหมดอาลัยตายอยากของคุณหนูรองน่าเป็นกังวล สาวใช้คนสนิทเข้ามาปลอบประโลมนางด้วยขนมหน้าตาน่ารับประทาน นางหยิบขนมปั้นดอกเหมยฮวาเข้าปาก บอกทั้งสองว่านางไม่ออกไปข้างนอก หากมีธุระสำคัญจะเรียกเอง ไม่ต้องตามติดนางเป็นเงา
เหม่ยฉีกลับมาใช้ความคิดอีกครั้งหนึ่ง...
นิยายเรื่องนี้ไม่ได้เอ่ยถึงฮ่องเต้ในราชวงศ์ไหน นักเขียนใช้วิธีการแต่งขึ้นใหม่ อิงกลิ่นอายของความเป็นนิยายโบราณ ยากที่นางจะใช้ความรู้วิชาประวัติศาสตร์มาใช้ให้เป็นประโยชน์
นางรู้เพียงว่าคุณหนูรองสกุลหยาง งามไม่แพ้ใครในใต้หล้า!
ในนิยายกล่าวถึงความงามของเยว่ฉี นางปากนิดจมูกหน่อย ดวงตากลมโต ขนตางอนงามเป็นแพ ผิวพรรณขาวผ่องมองเห็นเส้นเลือดฝาด ใบหน้าโฉบเฉี่ยวของนางแลดูร้ายกาจคล้ายจะฟาดหัวฟาดหางอยู่ตลอดเวลา ทว่านางกลับน่ารักใคร่เอ็นดูเสียจนบุรุษยากจะละวางตา
ตระกูลผู้มั่งมีล้วนอยากให้บุตรชายตบแต่งกับเยว่ฉี ใช่เพียงเพราะนางเป็นบุตรีหมอหลวง บิดามีอำนาจบาตรใหญ่ นางร่ำเรียนและคลุกคลีมากับวิชาปรุงยาตั้งแต่สิบขวบ นางมีประโยชน์ทั้งในทางอำนาจ ความรู้อันยากมีสตรีใดเทียบเทียม นางเป็นผู้ปรุงยาอายุวัฒนะให้ครอบครัวได้ นางเป็นหมอปรุงยามากฝีมือ หาตัวจับยากรองจากไท่ซือจิ่ว
นั่นเป็นเหตุให้นางสามารถเลือกคู่ครองของตน นางเป็นกรณีพิเศษของตระกูลและราชสำนัก ไม่ว่าใครก็เอาอกเอาใจนาง
เหม่ยฉีลุกจากม้านั่งหิน สวมชุดขาวสะอาดอย่างหมอหลวงในราชสำนัก ซึ่งนับได้ว่ามีสตรีน้อยคนนักจะได้รับพระราชทานอาภรณ์ เรือนผมดำขลับของนางประดับด้วยปิ่นทองและหยก นางใช้ฝีเท้าอย่างแมวย่อง เดินไปถึงด้านหลังเรือนนอน เปิดประตูไม้เข้าโรงปรุงยาเงียบเชียบ
น้ำลายสอในปากนาง ชะโงกคอหายาต้มกลิ่นขมในหม้อดินหลายใบ เตาไฟคุกรุ่นทำให้มันส่งกลิ่นหอมไปทั่ว นางเข้าไปยืนหน้าหม้อดินใบที่เจ็ด บิดาอยู่ซ้ายมือของนาง
หมอหลวงไท่ซือจิ่วดูไม่แก่ชรา ด้วยอายุวัยสี่สิบสามปี เขาหล่อเหลารูปร่างสูงโปร่ง แต่งตัวดีในชุดขาวสะอาด แม้เป็นพ่อม่ายลูกติด ภรรยาเสียชีวิตไปได้สิบห้าปีแล้ว
“กระหายสุราก็ไปขอจากบ่าวในโรงครัว โรงปรุงยาไม่ใช่สถานที่ร่ำสุรา” บิดาหลุบตามองหน้าตาระรื่นของบุตรสาวด้วยท่าทางไม่พอใจ คาดว่านางคงมาชิมยาในหม้อเหล่านี้แน่ นางเพ่งเล็งเฉพาะใบที่มีกลิ่นสุรา
“เกิดข้าถูกบ่าววางยาพิษขึ้นมาจะทำไง ทำไมข้าต้องไปดื่มสุราในโรงครัว ข้าชอบยาบำรุงผสมสุราของท่านพ่อมากกว่า ยาต้มของท่านบำรุงร่างกายได้ดี รสชาติถูกปากข้า”
“เจ้าว่าอร่อย... ดื่มเสียให้หมด”
บิดาส่งยาต้มให้บุตรสาวหนึ่งถ้วย เป็นยาบำรุงร่างกายทั่วไป นางรับไปเป่าลมแก้มกลมตุ่ย พอยาร้อน ๆ อุ่นขึ้น นางทำหน้าตาเหยเก ดื่มมันจนหมด หันไปสบแววตาคมกริบราวมีดพลางถาม “มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
“ยาต้มเหล่านี้มีส่วนผสมของสุรา ร่างกายจึงดูดซึมได้ง่ายขึ้น ประโยชน์ของสุราคือเพิ่มสรรพคุณของสมุนไพร ลดพิษและผลข้างเคียงของยา มีเพียงผู้ติดสุราเรื้อรังเท่านั้น จะได้รับการผสมยาต้มในอีกตำรับหนึ่ง”
“ข้าชอบนัก...”
“ชอบได้ แต่พอประมาณ”
บิดาหันมาว่ากล่าวตักเตือนนางเรื่องพฤติกรรมแปลกประหลาด พักหลังมานี้นางไร้ซึ่งรอยยิ้ม เก็บตัวอยู่แต่ในห้องและโรงปรุงยา นางหลับไปสองวัน ตื่นขึ้นมาโวยวายเหมือนคนเสียสติ นางทำเป็นไม่สนใจ เบี่ยงประเด็นการสนทนาของบิดา
“อื้มท่านพ่อ จะว่าไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นในราชสำนัก สมุนไพรที่นำมาต้มอยู่ดี ๆ เกิดเป็นพิษขึ้นมา ท่านถึงกับเดินทางไปตรวจดูสวนสมุนไพรด้วยตนเองว่าอะไรทำให้พวกมันเป็นพิษ”
“ใช่... ข้าจำได้ว่าโรงปรุงยามีทหารองครักษ์มาคุ้มกัน คอยให้ความช่วยเหลือ วันใดข้าต้มยาสมุนไพรให้เสนาบดีและบุคคลสำคัญในราชสำนัก ทหารผู้รับหน้าที่ดูแลยาจะนำไปให้นักโทษชิมมัน ก่อนที่ผู้ดื่มยาจริงจะได้ดื่มมัน ไม่น้อยกว่าสิบเค่อหรือมากกว่า ระหว่างนั้นก็รอเฝ้าดูอาการว่าไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ หากนักโทษผู้นั้นไม่ตายไปพร้อมยาเสียก่อน นักโทษบางรายยังมีการเฝ้าติดตามอาการในระยะยาว...”
กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน ท่านหมอหลวงเสียหน้าไม่น้อย กว่าจะยอมให้บุตรสาวชิมสมุนไพรบำรุงได้ เขากังวลว่ามันอาจเป็นพิษอีก เขาอธิบายเรื่องนี้กับลูกสาวเพราะคิดว่านางควรรู้ กระทั่งหม้อต้มยาสุกหอมเกือบทั้งหมด ดันนึกเรื่องสำคัญที่จำต้องสั่งสอนบุตรสาว
“ลูกสาว เจ้าดูแลบ่าวรับใช้ดี ๆ อย่าใช้คำพูดที่ทำร้ายจิตใจพวกเขา ทุกวันนี้ไม่มีใครไปยุ่งวุ่นวายกับเจ้า ไม่ควรออกปากลงโทษใครโดยไร้เหตุผล”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ต่อไปนี้ข้าจะทำตัวดี ๆ ราวกับว่าไม่ใช่ลูกสาวคนเดิมของท่านพ่อทีเดียว ข้าเป็นเยว่ฉีคนใหม่แล้ว”
“ให้มันจริงเถอะ หากข้าเป็นพวกเขา คงขอลาออกไปทำงานที่อื่น ไม่รู้อะไรทำให้พวกเขายอมดูแลคุณหนูคุ้มดีคุ้มร้ายอย่างเจ้ามานาน?”
“เงินเจ้าค่ะ! เงิน ๆ ระบบทุนนิยมคงอยู่ในทุกสมัย”
“ระบบทุนนิยม?” บิดาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ลูกสาวส่งเสียงหัวเราะร่าเริงราวไม่ใช่ตัวนาง
นิสัยของเยว่ฉีเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
คิดในแง่ดี...
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าอารมณ์เข้าที่เข้าทาง จะได้คุยเรื่องสำคัญกันเสียที”
“เรื่องอะไรเจ้าคะ?”
“พี่สาวเจ้าออกเรือนไปสามปีแล้ว คุณชายหลิวคบหาดูใจกับเจ้ามาจนสมควรแก่เวลา ทั้งเรื่องฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงาน อุปนิสัยของคุณชายสามก็เข้ากันได้ดีกับตระกูลเรา...”
“ข้าไม่รีบร้อน เรื่องรักใคร่ระหว่างหนุ่มสาว ขอให้เป็นเรื่องอนาคตเถิด”
“อาทิตย์ก่อนเจ้าบอกข้าว่าพร้อมจะออกเรือน ให้หาฤกษ์งามยามดี ไยกลับไปกลับมาเยี่ยงนี้? ข้าจำเป็นต้องให้คำตอบผู้ใหญ่นะลูกสาว”
“ข้าเปลี่ยนใจกะทันหัน ด้วยเล็งเห็นประโยชน์ของบ้านเมืองสำคัญกว่า หากข้าออกเรือนไป ใครจะช่วยท่านพ่อปรุงยา ท่านจะเสียแรงงานสำคัญไปหนึ่ง ข้ายังไม่อยากแต่งงานเจ้าค่ะ”
ครั้นบิดาจะอ้าปากถามนางก็ขัดอย่างเสียมารยาท ด้วยนิสัยเอาแต่ใจของนาง ใบหน้างามแลดูเกรี้ยวกราด “ลูกน้องท่านน่ะ ฝีมือสู้ข้าไม่ได้สักเสี้ยวส่วน มีข้าคนเดียวในเรือนเท่ากับมีหมอยาสักสิบ ข้ายินดีรับใช้บ้านเมือง ยินดีรับใช้ฮ่องเต้ ข้าไม่ควรออกเรือนไปรับใช้สามีตอนนี้”
“ลูกสาว... ข้าว่า...”
“บ้านเมืองย่อมสำคัญกว่า เรื่องมีทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูลขอให้เป็นหน้าที่ของพี่ใหญ่ ท่านพ่ออย่าบังคับข้า ได้โปรดมองความสุขของลูกสาวเถิด”
บิดาชะงักนิ่งไป ไม่กล้าต่อความกับลูกสาวที่สรรหาถ้อยคำมาถกเถียงจนชนะเขาได้
“ท่าทางเจ้าคุ้มดีคุ้มร้ายจริง ๆ ล่าสุดข้าแลเห็นว่าที่บุตรเขยในอนาคตอันใกล้ ดูรักใคร่กลมเกลียว คุณชายสามเข้ามาพูดคุยด้วยว่าจะมีข่าวดีเร็ว ๆ นี้” บิดายกมือแตะคางอย่างครุ่นคิด หรี่ตามองบุตรสาวด้วยแววตาจับพิรุธ ก่อนจะว่า “เห็นทีข้าคงต้องปรุงยาตำรับใหม่ให้เจ้าโดยเฉพาะ”
“จัดมา! ข้าพร้อมเป็นหนูลองยา”
“หนูลองยารึ! มากไปแล้วลูกสาว” บิดาหน้าตาขุ่นเคือง คว้าสมุนไพรอบแห้งหยิบมือหนึ่งจากตู้ไม้แล้วกลับไปหน้าเตาต้มยา ส่วนบุตรสาวเดินหัวเราะออกไปจากโรงปรุงยา...