คฤหาสน์ตระกูลเซย์ซาเนีย
15.02 น.
หลังกลับมาจากพระราชวัง ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้แต่นอนเกลือกกลิ้งบนเตียงเจ้าหญิงอย่างที่เคยฝัน เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมา ฉันไม่เคยได้หยุดทำงานเลยสักวันเดียว ต้องดิ้นรนหาเงินมาจ่ายค่าหนี้ที่พ่อกับแม่ก่อไว้
ซึ่งฉันจำหน้าพ่อแม่ของตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีก็พบว่าต้องมาชดใช้หนี้ให้พวกเขา แต่ตอนนี้ฉันได้มีโอกาสมาเล่นเกมแลกเงินหนึ่งล้านและได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มีข้าทาสรับใช้เต็มไปหมดราวกับฝัน ถึงแม้จะเป็นแค่เกมแต่ฉันกลับรู้สึกพอใจมาก ในขณะที่ฉันกำลังจมอยู่กับความคิดนี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเอมมี่เคาะประตู
“คุณหนูคะ ท่านดยุกอัชเชอร์มาขอพบค่ะ บอกว่าคุณหนูนัดเอาไว้แล้ว” เอมมี่เดินเข้ามาบอกฉันที่นอนแผ่อยู่บนเตียง
ฉันนัดเขาก็จริง แต่นัดทานข้าวมื้อเย็นนี่หน่า?
“ตอนนี้น่ะหรอ?” ฉันเหลือบมองดูเวลาที่นาฬิกาสุดหรูข้างเตียง ซึ่งบอกเวลาสิบห้านาฬิกาห้านาที “มันอีกตั้งสามชั่วโมงเลยไม่ใช่หรอ ทำไมมาเร็วจัง?” ฉันบ่นพึมพำด้วยความงุนงง
“...”
“เดี๋ยวฉันลงไปต้อนรับเขาเอง ช่วยแต่งตัวให้ทีสิ” เอมมี่เดินเข้าไปในห้องแต่งตัวอย่างคุ้นเคย และหยิบชุดออกมา 3 ชุดให้ฉันเลือก “เอมมี่ทำไม มีแต่ชุด…ไม่มิดชิดแบบนี้ล่ะ” ฉันถามเอมมี่อย่างแปลกใจ
“เป็นสไตล์ที่คุณหนูชอบนี่คะ คุณหนูถึงขนาดที่เรียกช่างเบอร์หนึ่งของจักรวรรดิมาตัดชุดเองเลยนะคะ” เอมมี่พูดอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับช่างเย็บเสื้อผ้าเบอร์หนึ่ง
“นั่นสินะ ฉันลืมไปได้ไง แหะ ๆ” ฉันหัวเราะแห้ง ๆ มีโอกาสฉันต้องตัดชุดใหม่ด่วน มันโชว์เนื้อหนังเกินไปแล้ว รสนิยมของไอรินาไม่ตรงกับฉันเลยสักนิด ชุดที่พอจะปิดเนื้อหนัง มีแต่ชุดทางการใส่แล้วอึดอัดเป็นบ้านั่นอย่างเดียว
ฉันเลือกชุดที่โชว์เนื้อหนังให้น้อยสุด ที่เป็นเพียงผ้าสีขาวบางลายลูกไม้ คล้ายชุดนอนไม่ได้นอนในโลกปัจจุบัน แม้มันจะยาวคลุมถึงตาตุ่ม มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันสวมชุดนี้ได้อย่างสบายใจเลยสักนิด หากโดนน้ำคงเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้ชัดแน่นอน เอมมี่หยิบดอกไม้มาประดับผมเป็นหย่อม ๆ ตั้งแต่โคนจรดปลาย แต่งตัวอย่างกับเอลฟ์ในเทพนิยายไม่มีผิด
ห้องรับรองแขกของตระกูลเซย์ซาเนีย
ฉันเดินเข้ามาในห้องรับรอง แต่ประตูกลับถูกเปิดไว้เหมือนเชื้อเชิญให้ฉันแอบดูคนข้างใน ถ้าจะเปิดกว้างขนาดนี้ ขอแอบดูสักนิดก่อนแล้วกัน ฉันหยุดยืนอยู่หน้าประตู สายตาฉันค่อย ๆ มองเข้าไปด้านใน เห็นร่างสูงโปร่งกำลังหันไปดูอะไรบางสิ่งอย่างตกอกตั้งใจ เผยให้เห็นแผ่นหลังที่กว้างและดูแข็งแรง เขาใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาวบางที่ดูไม่เป็นทางการ แอบเซ็กซี่นิดหน่อย เอ๊ะ จะบ้าหรอคิดอะไรของฉันเนี่ย!
เขายืนมองรูปภาพบนผนังและรูปนั้นเป็นภาพเหมือนของเด็กหญิงผมดำ นัยน์ตาสีแดง พร้อมรอยยิ้มสดใสยืนอยู่กับครอบครัว เป็นภาพที่ดูมีความสุขมาก เด็กคนนั้นคงเป็นไอรินา เซย์ซาเนีย ฉันเคาะประตูเพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าฉันมาถึงแล้ว
“ขออภัยค่ะ ท่านดยุกรอนานเลยใช่ไหมคะ” ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ไม่เป็นไร ฉันเองต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนก่อนเวลาอาหาร” เขาเองก็รู้นี่ จะมาเร็วทำไมกันนะ
“หรือว่ามีธุระกับท่านพ่อหรอคะ…แต่ว่าท่านพ่อยังไม่กลับมาเลยนะคะ” ฉันตอบเขา
“เปล่าหรอก ฉันเพิ่งเสร็จธุระแถวนี้และคิดว่ามาถึงก่อนเวลาดีกว่าที่จะมาสาย หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนเธอนะ” เขาบอกเหตุผล แต่คนชวนเขามาอย่างฉันยังไม่พร้อมมาต้อนรับแขกเวลานี้สักหน่อย
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ” ฉันตอบไป แต่ในใจคิดว่าทำไมต้องมากวนเวลาฉันนอนเล่นด้วยนะ
“...”
“งั้น…ในเมื่อตอนนี้เรามีเวลาว่างอยู่เยอะ ท่านดยุกอยากลองไปเดินเล่นในสวนด้วยกันไหมคะ คนสวนที่นี่ จัดสวนได้สวยมากเลยค่ะ” ฉันชวนเขา เพราะในเมื่อมีเวลามากขนาดนี้ จะให้มานั่งคุยแบบอึดอัดในห้องนี้ ฉันคงได้อกแตกตายก่อนแน่ ๆ
“ได้สิ ฉันเองก็ว่างอยู่แล้ว”
==========
สวนด้านข้างของคฤหาสน์
ฉันและดยุกอัชเชอร์เดินผ่านสวนดอกกุหลาบที่สวยงามเหมือนในเทพนิยาย ซึ่งตั้งอยู่ข้างคฤหาสน์อันยิ่งใหญ่ของตระกูลเซย์ซาเนีย ที่ดินที่นี่กว้างใหญ่เกินกว่าที่ตาของเราจะมองเห็นจนสุด แม้จะเดินทั้งวันก็ไม่อาจสำรวจให้ครบได้ทุกซอกทุกมุม คฤหาสน์หลังนี้มีความโอ่อ่าจริง ๆ ทองคำแท้สะท้อนแสงแดดแวววาวไปทั่ว มันทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกของเทพนิยายจริง ๆ [ก็ที่นี่แหละโลกในเทพนิยาย>>เสียงนักเขียน]
หลังคาสีน้ำเงินเข้มเหมือนทะเลลึกสะท้อนแสงอย่างงดงาม น้ำพุหน้าบ้านก็ไม่ต่างจากน้ำพุในตำนาน มีการออกแบบที่หรูหราและเก๋ไก๋ พรมสีแดงสดปูไปบนขั้นบันไดให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนงานพรมแดงในภาพยนตร์ไม่มีผิด
แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ทำให้สีเขียวชอุ่มของสวนดูอบอุ่นและทอดเงายาวลงบนพื้น กลิ่นดอกไม้ที่บานสะพรั่งลอยฟุ้งในอากาศ สายลมอ่อนๆ พัดเล่นกับเส้นผมสีเข้มของไอรินา ทำให้ดวงตาคู่สีดำอดที่จะหันมองไม่ได้ แต่ไม่ทันไรเหมือนหญิงสาวจะรู้ตัวเสียแล้ว
“ท่านดยุกเป็นคนที่ชอบจ้องหน้าเหล่าเลดี้สินะคะ” ฉันพูดอย่่างไม่ค่อยพอใจ เพราะเห็นเขามองฉันมาสักพักแล้ว
“เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้น” เขาตอบ และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “แล้วเธอเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น”
“หมายถึง ตอนที่ฉันถูกลักพาตัวไปน่ะหรอคะ”
“ใช่”
“ก็…ไม่เป็นแล้วล่ะค่ะ แต่เรื่องก่อนหน้าฉันจำอะไรไม่ได้หรอกนะคะ ถ้าจะมาถามเรื่องนั้น…” ฉันบอก
“เปล่าหรอก ฉันแค่เป็นห่วงเธอเฉย ๆ ไม่เป็นไรแล้วก็ดี” เขาตอบและหันหน้ามองไปที่สวนดอกไม้ด้านหน้า ทำให้เห็นใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างชัดเจน เป็นใบหน้าที่มองแล้วไม่มีเบื่อเลยสักนิด ผิวขาวซีดราวกับคนไม่เคยตากแดด ไม่รู้ว่าเขาดูแลผิวยังไงกันนะ ฉันอดสงสัยไม่ได้ อยากถามเขาจริง ๆ
“เธอเองก็ชอบจ้องหน้าบุรุษขนาดนี้เชียวหรอ” เขาพูดพร้อมกับยิ้มเบา ๆ ขณะที่ฉันรู้สึกตัวว่าโดนจับได้ว่ากำลังแอบมองหน้าเขาอยู่ อายจริง ๆ ฉันเขกหัวตัวเองเบา ๆ สองสามทีเพื่อเรียกสติกลับมา
“อย่าทำเช่นนั้นสิ” เขาพูด
มือใหญ่และหนาของเขายกขึ้นมาจับมือฉันที่กำลังเขกหัวตัวเองอย่างแผ่วเบา สายตาเราประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าหล่อค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขากำลังรินรดอยู่ข้างแก้มของฉัน ราวกับว่าเขากำลังสูดกลิ่นแก้มอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อความคิดนั้นแล่นผ่านหัว ฉันรับรู้ได้เลยว่าอุณหภูมิข้างในแก้มเกิดร้อนผ่าวขึ้นมา ใบหน้าคงแดงอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าต้องสบตาและอยู่ใกล้ผู้ชายที่หล่อขนาดนี้ ใจแข็งได้คงมีแค่แม่ชีเท่านั้นแหละ
เขาจ้องฉันอยู่นาน ก่อนที่มุมปากของเขาจะกระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ นี่เขากำลังแกล้งอ่อยฉันอยู่รึเปล่า? ฉันต้องเป็นฝ่ายจีบเขาไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงกลายเป็นเขาที่มาแกล้งฉันแบบนี้ได้ล่ะ? ความคิดนี้แล่นผ่านหัว ทำให้ฉันรู้สึกเขินอายจนต้องผลักเขาออก และพูดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“เรา…เดินไปดูดอกทานตะวันทางนู้นกันดีกว่าค่ะ” ฉันรีบเดินนำเขาไปข้างหน้า พร้อมตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อดึงสติ เขาเดินตามมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มซุกซน เขาดูไม่เหมือนในเอกสารที่ฉันอ่านมาสักนิด ผู้ชายที่เรียบเฉย สุขุม เย็นชาราวกับไม่รู้สึกอะไร มันไปอยู่ไหนกัน เหลือแต่ผู้ชายเจ้าเล่ห์แบบนี้กัน
ด้วยความรีบที่จะหนีจากสถานการณ์เมื่อครู่ ฉันเร่งก้าวเดินแต่เพราะความไม่ทันระวังก้อนหินเล็กๆ จึงสะดุดล้มและส่งเสียงอุทานเบาๆ ไม่นะ ถ้ามาหงายท้องตอนนี้คงน่าขำเป็นแน่ ขณะที่ฉันกำลังจะล้มนั้น ไม่รู้เพราะเขาเป็นอัศวินหรือเปล่า ฝีเท้าเขารวดเร็วและเข้าถึงตัวฉันอย่างง่ายได้
ฉันถูกแขนแกร่งรับไว้อย่างมั่นคงราวกับฉากในละครโรแมนติก สัมผัสที่ใกล้ชิดนี้ทำให้ลมหายใจของฉันสะดุด มือของฉันพิงอยู่บนอกของเขาโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นโครมครามราวกับสายฟ้าฟาด
ฉันต้องรีบลุกขึ้นก่อนที่คนเจ้าเล่ห์จะแกล้งฉันอีก สายตาฉันพลันไปเห็นใบหูของคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังเปลี่ยนสีกลายสีแดงราวกับลูกมะเขือเทศ มือฉันยกขึ้นแตะใบหูของเขาอัตโนมัติราวกับคนไร้สติ เขาดูตกใจกับการกระทำของเขา
มือของเขากระตุกขยับสัมผัสโดนบริเวณต้นคอของฉันอย่างแผ่วเบา ไม่ทันไรร่างกายฉันรู้สึกแปลกและเริ่มร้อนวูบวาบคล้ายกำลังถูกแผดเผา ความหวาบหวามแล่นริ้วขึ้นมาทันที ร่างกายสั่นเทิ้มทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้สึกหนาว สมองคล้ายจะหยุดทำงานชั่วคราวอยู่ในสภาพที่คิดอะไรไม่ออก นอกจากความต้องการที่จะปลดเปลื้องอาภรนี้ทิ้งไป
ฉันเป็นอะไรกันแน่ ทำไมความรู้สึกนี้ก็เข้ามาทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร ฉันไม่ใช่คนหมกมุ่นในเรื่องนี้นี่หน่า ฉันคิดและรีบผลักเขาออก
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีค่ะ เชิญท่านดยุกชมดอกไม้คนเดียวไปก่อนนะคะ” ฉันพูดและเดินหนีเขาเพื่อจะกลับคฤหาสน์ แต่ไม่วายเขาเดินเข้าจับที่ข้อมือฉันอย่างนุ่มนวล
“ถ้าเรื่องเมื่อกี้ทำให้เธอไม่สบายใจ ฉันเองก็ต้องขอโท…” เขาพูดด้วยสีหน้ากังวลเป็นอย่างมาก
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือฉันรู้สึกหน้ามืดนิดหน่อย อยากไปพัก” ฉันโกหกเขาไป ใครจะกล้าบอกว่ามีความรู้สึกแบบนั้น เพราะเขาดันมาสัมผัสตัวเรากันล่ะ ฉันเองก็คงต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ หรือเป็นเพราะฉันโสดมาตลอดนะ แค่โดนสัมผัสจากผู้ชายก็เป็นแบบนี้แล้ว ฉันต้องผิดปกติแน่ ๆ ยังไงตอนนี้ฉันคงออกจากตรงนี้ไปก่อน ร่างกายฉันเริ่มร้อนขึ้นทุกครั้งที่เขาสัมผัสฉัน
“อย่างนั้นไปพักที่ศาลากลางสวนก่อนเถอะ” เขาพูดและอธิบายต่อ “ไปทางนั้นน่าจะใกล้กว่ากลับคฤหาสน์นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองจะไม่ไหวแล้ว ปล่อยแขนฉันเถอะค่ะ” เขาปล่อยแขนฉัน ฉันเองก็เริ่มบิดไปมาตรงหว่างขาของฉันมันร้อนระอุ ร่างกายถูกครอบงำด้วยตัณหาและแรงราคะ
“เธอดูเหมือนจะไม่ไหวเลยนะ หน้าเธอแดงมาก” เขาพยายามจะมาพยุงฉัน แต่ฉันหลบไม่ให้เขาสัมผัสตัว และหันหลังเตรียมจะกลับคฤหาสน์หลัก
ตริ๊ง ตริ๊ง!
[เควสพิเศษ ไปที่ศาลากลางสวนตามคำชวนของคาลอส (ของรางวัล ยอมรับ ปลดล็อกค่าสถานะพิเศษ? ปฏิเสธ -20]
==========
คฤหาสน์ตระกูลเซย์ซาเนีย
15.02 น.
หลังกลับมาจากพระราชวัง ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้แต่นอนเกลือกกลิ้งบนเตียงเจ้าหญิงอย่างที่เคยฝัน เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมา ฉันไม่เคยได้หยุดทำงานเลยสักวันเดียว ต้องดิ้นรนหาเงินมาจ่ายค่าหนี้ที่พ่อกับแม่ก่อไว้
ซึ่งฉันจำหน้าพ่อแม่ของตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีก็พบว่าต้องมาชดใช้หนี้ให้พวกเขา แต่ตอนนี้ฉันได้มีโอกาสมาเล่นเกมแลกเงินหนึ่งล้านและได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มีข้าทาสรับใช้เต็มไปหมดราวกับฝัน ถึงแม้จะเป็นแค่เกมแต่ฉันกลับรู้สึกพอใจมาก ในขณะที่ฉันกำลังจมอยู่กับความคิดนี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเอมมี่เคาะประตู
“คุณหนูคะ ท่านดยุกอัชเชอร์มาขอพบค่ะ บอกว่าคุณหนูนัดเอาไว้แล้ว” เอมมี่เดินเข้ามาบอกฉันที่นอนแผ่อยู่บนเตียง
ฉันนัดเขาก็จริง แต่นัดทานข้าวมื้อเย็นนี่หน่า?
“ตอนนี้น่ะหรอ?” ฉันเหลือบมองดูเวลาที่นาฬิกาสุดหรูข้างเตียง ซึ่งบอกเวลาสิบห้านาฬิกาห้านาที “มันอีกตั้งสามชั่วโมงเลยไม่ใช่หรอ ทำไมมาเร็วจัง?” ฉันบ่นพึมพำด้วยความงุนงง
“...”
“เดี๋ยวฉันลงไปต้อนรับเขาเอง ช่วยแต่งตัวให้ทีสิ” เอมมี่เดินเข้าไปในห้องแต่งตัวอย่างคุ้นเคย และหยิบชุดออกมา 3 ชุดให้ฉันเลือก “เอมมี่ทำไม มีแต่ชุด…ไม่มิดชิดแบบนี้ล่ะ” ฉันถามเอมมี่อย่างแปลกใจ
“เป็นสไตล์ที่คุณหนูชอบนี่คะ คุณหนูถึงขนาดที่เรียกช่างเบอร์หนึ่งของจักรวรรดิมาตัดชุดเองเลยนะคะ” เอมมี่พูดอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับช่างเย็บเสื้อผ้าเบอร์หนึ่ง
“นั่นสินะ ฉันลืมไปได้ไง แหะ ๆ” ฉันหัวเราะแห้ง ๆ มีโอกาสฉันต้องตัดชุดใหม่ด่วน มันโชว์เนื้อหนังเกินไปแล้ว รสนิยมของไอรินาไม่ตรงกับฉันเลยสักนิด ชุดที่พอจะปิดเนื้อหนัง มีแต่ชุดทางการใส่แล้วอึดอัดเป็นบ้านั่นอย่างเดียว
ฉันเลือกชุดที่โชว์เนื้อหนังให้น้อยสุด ที่เป็นเพียงผ้าสีขาวบางลายลูกไม้ คล้ายชุดนอนไม่ได้นอนในโลกปัจจุบัน แม้มันจะยาวคลุมถึงตาตุ่ม มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันสวมชุดนี้ได้อย่างสบายใจเลยสักนิด หากโดนน้ำคงเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้ชัดแน่นอน เอมมี่หยิบดอกไม้มาประดับผมเป็นหย่อม ๆ ตั้งแต่โคนจรดปลาย แต่งตัวอย่างกับเอลฟ์ในเทพนิยายไม่มีผิด
ห้องรับรองแขกของตระกูลเซย์ซาเนีย
ฉันเดินเข้ามาในห้องรับรอง แต่ประตูกลับถูกเปิดไว้เหมือนเชื้อเชิญให้ฉันแอบดูคนข้างใน ถ้าจะเปิดกว้างขนาดนี้ ขอแอบดูสักนิดก่อนแล้วกัน ฉันหยุดยืนอยู่หน้าประตู สายตาฉันค่อย ๆ มองเข้าไปด้านใน เห็นร่างสูงโปร่งกำลังหันไปดูอะไรบางสิ่งอย่างตกอกตั้งใจ เผยให้เห็นแผ่นหลังที่กว้างและดูแข็งแรง เขาใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาวบางที่ดูไม่เป็นทางการ แอบเซ็กซี่นิดหน่อย เอ๊ะ จะบ้าหรอคิดอะไรของฉันเนี่ย!
เขายืนมองรูปภาพบนผนังและรูปนั้นเป็นภาพเหมือนของเด็กหญิงผมดำ นัยน์ตาสีแดง พร้อมรอยยิ้มสดใสยืนอยู่กับครอบครัว เป็นภาพที่ดูมีความสุขมาก เด็กคนนั้นคงเป็นไอรินา เซย์ซาเนีย ฉันเคาะประตูเพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าฉันมาถึงแล้ว
“ขออภัยค่ะ ท่านดยุกรอนานเลยใช่ไหมคะ” ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ไม่เป็นไร ฉันเองต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนก่อนเวลาอาหาร” เขาเองก็รู้นี่ จะมาเร็วทำไมกันนะ
“หรือว่ามีธุระกับท่านพ่อหรอคะ…แต่ว่าท่านพ่อยังไม่กลับมาเลยนะคะ” ฉันตอบเขา
“เปล่าหรอก ฉันเพิ่งเสร็จธุระแถวนี้และคิดว่ามาถึงก่อนเวลาดีกว่าที่จะมาสาย หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนเธอนะ” เขาบอกเหตุผล แต่คนชวนเขามาอย่างฉันยังไม่พร้อมมาต้อนรับแขกเวลานี้สักหน่อย
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ” ฉันตอบไป แต่ในใจคิดว่าทำไมต้องมากวนเวลาฉันนอนเล่นด้วยนะ
“...”
“งั้น…ในเมื่อตอนนี้เรามีเวลาว่างอยู่เยอะ ท่านดยุกอยากลองไปเดินเล่นในสวนด้วยกันไหมคะ คนสวนที่นี่ จัดสวนได้สวยมากเลยค่ะ” ฉันชวนเขา เพราะในเมื่อมีเวลามากขนาดนี้ จะให้มานั่งคุยแบบอึดอัดในห้องนี้ ฉันคงได้อกแตกตายก่อนแน่ ๆ
“ได้สิ ฉันเองก็ว่างอยู่แล้ว”
==========
สวนด้านข้างของคฤหาสน์
ฉันและดยุกอัชเชอร์เดินผ่านสวนดอกกุหลาบที่สวยงามเหมือนในเทพนิยาย ซึ่งตั้งอยู่ข้างคฤหาสน์อันยิ่งใหญ่ของตระกูลเซย์ซาเนีย ที่ดินที่นี่กว้างใหญ่เกินกว่าที่ตาของเราจะมองเห็นจนสุด แม้จะเดินทั้งวันก็ไม่อาจสำรวจให้ครบได้ทุกซอกทุกมุม คฤหาสน์หลังนี้มีความโอ่อ่าจริง ๆ ทองคำแท้สะท้อนแสงแดดแวววาวไปทั่ว มันทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกของเทพนิยายจริง ๆ [ก็ที่นี่แหละโลกในเทพนิยาย>>เสียงนักเขียน]
หลังคาสีน้ำเงินเข้มเหมือนทะเลลึกสะท้อนแสงอย่างงดงาม น้ำพุหน้าบ้านก็ไม่ต่างจากน้ำพุในตำนาน มีการออกแบบที่หรูหราและเก๋ไก๋ พรมสีแดงสดปูไปบนขั้นบันไดให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนงานพรมแดงในภาพยนตร์ไม่มีผิด
แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ทำให้สีเขียวชอุ่มของสวนดูอบอุ่นและทอดเงายาวลงบนพื้น กลิ่นดอกไม้ที่บานสะพรั่งลอยฟุ้งในอากาศ สายลมอ่อนๆ พัดเล่นกับเส้นผมสีเข้มของไอรินา ทำให้ดวงตาคู่สีดำอดที่จะหันมองไม่ได้ แต่ไม่ทันไรเหมือนหญิงสาวจะรู้ตัวเสียแล้ว
“ท่านดยุกเป็นคนที่ชอบจ้องหน้าเหล่าเลดี้สินะคะ” ฉันพูดอย่่างไม่ค่อยพอใจ เพราะเห็นเขามองฉันมาสักพักแล้ว
“เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้น” เขาตอบ และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “แล้วเธอเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น”
“หมายถึง ตอนที่ฉันถูกลักพาตัวไปน่ะหรอคะ”
“ใช่”
“ก็…ไม่เป็นแล้วล่ะค่ะ แต่เรื่องก่อนหน้าฉันจำอะไรไม่ได้หรอกนะคะ ถ้าจะมาถามเรื่องนั้น…” ฉันบอก
“เปล่าหรอก ฉันแค่เป็นห่วงเธอเฉย ๆ ไม่เป็นไรแล้วก็ดี” เขาตอบและหันหน้ามองไปที่สวนดอกไม้ด้านหน้า ทำให้เห็นใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างชัดเจน เป็นใบหน้าที่มองแล้วไม่มีเบื่อเลยสักนิด ผิวขาวซีดราวกับคนไม่เคยตากแดด ไม่รู้ว่าเขาดูแลผิวยังไงกันนะ ฉันอดสงสัยไม่ได้ อยากถามเขาจริง ๆ
“เธอเองก็ชอบจ้องหน้าบุรุษขนาดนี้เชียวหรอ” เขาพูดพร้อมกับยิ้มเบา ๆ ขณะที่ฉันรู้สึกตัวว่าโดนจับได้ว่ากำลังแอบมองหน้าเขาอยู่ อายจริง ๆ ฉันเขกหัวตัวเองเบา ๆ สองสามทีเพื่อเรียกสติกลับมา
“อย่าทำเช่นนั้นสิ” เขาพูด
มือใหญ่และหนาของเขายกขึ้นมาจับมือฉันที่กำลังเขกหัวตัวเองอย่างแผ่วเบา สายตาเราประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าหล่อค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขากำลังรินรดอยู่ข้างแก้มของฉัน ราวกับว่าเขากำลังสูดกลิ่นแก้มอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อความคิดนั้นแล่นผ่านหัว ฉันรับรู้ได้เลยว่าอุณหภูมิข้างในแก้มเกิดร้อนผ่าวขึ้นมา ใบหน้าคงแดงอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าต้องสบตาและอยู่ใกล้ผู้ชายที่หล่อขนาดนี้ ใจแข็งได้คงมีแค่แม่ชีเท่านั้นแหละ
เขาจ้องฉันอยู่นาน ก่อนที่มุมปากของเขาจะกระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ นี่เขากำลังแกล้งอ่อยฉันอยู่รึเปล่า? ฉันต้องเป็นฝ่ายจีบเขาไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงกลายเป็นเขาที่มาแกล้งฉันแบบนี้ได้ล่ะ? ความคิดนี้แล่นผ่านหัว ทำให้ฉันรู้สึกเขินอายจนต้องผลักเขาออก และพูดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“เรา…เดินไปดูดอกทานตะวันทางนู้นกันดีกว่าค่ะ” ฉันรีบเดินนำเขาไปข้างหน้า พร้อมตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อดึงสติ เขาเดินตามมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มซุกซน เขาดูไม่เหมือนในเอกสารที่ฉันอ่านมาสักนิด ผู้ชายที่เรียบเฉย สุขุม เย็นชาราวกับไม่รู้สึกอะไร มันไปอยู่ไหนกัน เหลือแต่ผู้ชายเจ้าเล่ห์แบบนี้กัน
ด้วยความรีบที่จะหนีจากสถานการณ์เมื่อครู่ ฉันเร่งก้าวเดินแต่เพราะความไม่ทันระวังก้อนหินเล็กๆ จึงสะดุดล้มและส่งเสียงอุทานเบาๆ ไม่นะ ถ้ามาหงายท้องตอนนี้คงน่าขำเป็นแน่ ขณะที่ฉันกำลังจะล้มนั้น ไม่รู้เพราะเขาเป็นอัศวินหรือเปล่า ฝีเท้าเขารวดเร็วและเข้าถึงตัวฉันอย่างง่ายได้
ฉันถูกแขนแกร่งรับไว้อย่างมั่นคงราวกับฉากในละครโรแมนติก สัมผัสที่ใกล้ชิดนี้ทำให้ลมหายใจของฉันสะดุด มือของฉันพิงอยู่บนอกของเขาโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นโครมครามราวกับสายฟ้าฟาด
ฉันต้องรีบลุกขึ้นก่อนที่คนเจ้าเล่ห์จะแกล้งฉันอีก สายตาฉันพลันไปเห็นใบหูของคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังเปลี่ยนสีกลายสีแดงราวกับลูกมะเขือเทศ มือฉันยกขึ้นแตะใบหูของเขาอัตโนมัติราวกับคนไร้สติ เขาดูตกใจกับการกระทำของเขา
มือของเขากระตุกขยับสัมผัสโดนบริเวณต้นคอของฉันอย่างแผ่วเบา ไม่ทันไรร่างกายฉันรู้สึกแปลกและเริ่มร้อนวูบวาบคล้ายกำลังถูกแผดเผา ความหวาบหวามแล่นริ้วขึ้นมาทันที ร่างกายสั่นเทิ้มทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้สึกหนาว สมองคล้ายจะหยุดทำงานชั่วคราวอยู่ในสภาพที่คิดอะไรไม่ออก นอกจากความต้องการที่จะปลดเปลื้องอาภรนี้ทิ้งไป
ฉันเป็นอะไรกันแน่ ทำไมความรู้สึกนี้ก็เข้ามาทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร ฉันไม่ใช่คนหมกมุ่นในเรื่องนี้นี่หน่า ฉันคิดและรีบผลักเขาออก
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีค่ะ เชิญท่านดยุกชมดอกไม้คนเดียวไปก่อนนะคะ” ฉันพูดและเดินหนีเขาเพื่อจะกลับคฤหาสน์ แต่ไม่วายเขาเดินเข้าจับที่ข้อมือฉันอย่างนุ่มนวล
“ถ้าเรื่องเมื่อกี้ทำให้เธอไม่สบายใจ ฉันเองก็ต้องขอโท…” เขาพูดด้วยสีหน้ากังวลเป็นอย่างมาก
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือฉันรู้สึกหน้ามืดนิดหน่อย อยากไปพัก” ฉันโกหกเขาไป ใครจะกล้าบอกว่ามีความรู้สึกแบบนั้น เพราะเขาดันมาสัมผัสตัวเรากันล่ะ ฉันเองก็คงต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ หรือเป็นเพราะฉันโสดมาตลอดนะ แค่โดนสัมผัสจากผู้ชายก็เป็นแบบนี้แล้ว ฉันต้องผิดปกติแน่ ๆ ยังไงตอนนี้ฉันคงออกจากตรงนี้ไปก่อน ร่างกายฉันเริ่มร้อนขึ้นทุกครั้งที่เขาสัมผัสฉัน
“อย่างนั้นไปพักที่ศาลากลางสวนก่อนเถอะ” เขาพูดและอธิบายต่อ “ไปทางนั้นน่าจะใกล้กว่ากลับคฤหาสน์นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองจะไม่ไหวแล้ว ปล่อยแขนฉันเถอะค่ะ” เขาปล่อยแขนฉัน ฉันเองก็เริ่มบิดไปมาตรงหว่างขาของฉันมันร้อนระอุ ร่างกายถูกครอบงำด้วยตัณหาและแรงราคะ
“เธอดูเหมือนจะไม่ไหวเลยนะ หน้าเธอแดงมาก” เขาพยายามจะมาพยุงฉัน แต่ฉันหลบไม่ให้เขาสัมผัสตัว และหันหลังเตรียมจะกลับคฤหาสน์หลัก
ตริ๊ง ตริ๊ง!
[เควสพิเศษ ไปที่ศาลากลางสวนตามคำชวนของคาลอส (ของรางวัล ยอมรับ ปลดล็อกค่าสถานะพิเศษ? ปฏิเสธ -20]
==========