ดูออก

เล่ามาถึงตอนนี้ เสียงของมลก็สั่นเครือด้วยแรงอารมณ์ เพราะเขาแท้ ๆ แม่ถึงต้องเสียสละมากถึงเพียงนี้

กูณฑ์กับเคียวมองหน้ากัน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

"แม่ข้าต้องยอมเสียศักดิ์ศรีเพราะข้าแท้ ๆ"

เคียวพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ เขาเกิดในยุคที่เห็นว่าพรหมจรรย์ของผู้หญิงเป็นเรื่องสำคัญ ผู้หญิงมาแต่งงานแล้วก็เป็นสมบัติของผู้ชาย เขาจึงเข้าใจความคับแค้นใจของมลดี หากแต่กูณฑ์ไม่เข้าใจ

"เสียศักดิ์ศรีตรงไหน แม่นายเสียสละเพื่อบ้านเมือง ควรจะได้รับคำชื่นชมด้วยซ้ำ แต่นายกลับบอกว่าเสียศักดิ์ศรี เป็นลูกประสาอะไรกัน"

"ผู้หญิงไม่ควรมีสามีมากกว่าหนึ่ง" มลว่า

"ไร้สาระ แล้วผู้ชายล่ะ ไม่ควรมีเมียมากกว่าหนึ่งด้วยไหม" กูณฑ์ว่า

มลขยับตัวอย่างอึดอัด "มันไม่เหมือนกัน"

"ไม่เหมือนกันยังไง ความซื่อสัตย์ต่อชีวิตคู่ ควรมีทุกเพศแหละ ไม่จำกัดหรอกว่าต้องเป็นหญิงเป็นชาย"

มลถอนหายใจ "เจ้ามีวัฒนธรรมของเจ้า เรามีวัฒนธรรมของเรา อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย"

กูณฑ์จ้องตามลเขม็ง "นายอย่าบอกนะว่านายคิดจะมีเมียมากกว่าหนึ่งคน"

มลเหม่อมองที่ท้องฟ้าไกล "หากคำทำนายเป็นจริง แล้วข้าต้องได้ขึ้นเป็นพระราชา ข้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้"

"ทำไมจะหลีกเลี่ยงไม่ได้"

"ถ้าข้าเป็นพระราชา ก็ย่อมมีคนเอาลูกสาวมาให้ข้า ทั้งพวกขุนนางที่รับใช้มาตั้งแต่ท่านปู่ หากข้าปฏิเสธก็เป็นการหักหน้าพวกเขา ไม่เห็นแก่คนเก่าคนแก่ ไหนจะเผ่าอื่น ๆ ที่ส่งลูกสาวมาเป็นทูตสันถวไมตรี หากปฏิเสธก็ต้องเสียไมตรีไป เมื่อข้าได้ขึ้นเป็นพระราชา การตัดสินใจของข้าไม่ใช่การตัดสินใจของข้าอีก แต่เป็นการตัดสินใจของส่วนรวม ต่อให้ข้าไม่อยากมีเมียมาก อย่างไรก็ต้องรับไว้"

กูณฑ์นิ่ง เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย

"แต่ว่ายังไงศักดิ์ศรีของผู้หญิงก็ไม่ควรตัดสินที่ตรงนั้นนะ" กูณฑ์ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง ไม่รู้ว่ายังไงก็เถียงต่อไม่ได้ "จริงไหม เคียว"

เคียวพยักหน้าอย่างเอาใจ "ถูกต้อง นายพูดถูกที่สุด"

"ถึงอย่างไรผู้หญิงก็ไม่ควรนอกใจสามีตัวเอง" มลเถียงกลับ

เคียวเออออตาม "นายพูดถูก"

คราวนี้ทั้งกูณฑ์และมลร่วมมือร่วมใจกันตบหัวผีจอมกะล่อน

เคียวลูบหัวพร้อมคราง

"ไหงสามัคคีมาตบฉันล่ะเนี่ย"

"นกสองหัว" กูณฑ์ว่าอย่างไม่จริงจังนัก

"ใครว่าฉันนกสองหัว ฉันพูดความจริงต่างหาก" เคียวเถียงกลับ

เมื่อเห็นสีหน้าไม่อยากเชื่อของเพื่อนทั้งสอง เคียวจึงอธิบายต่อ

"ฉันเห็นด้วยกับนาย" ผีพยักพเยิดไปทางเด็กหนุ่มหัวไฟ "ที่ว่าคุณค่าของผู้หญิงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีเพศสัมพันธ์ คุณค่าของผู้หญิง ไม่สิ มนุษย์ทุกคนอยู่ตรงนี้" เขาตบที่หน้าอกของตัวเอง

"นมเหรอ" กูณฑ์พูดหน้าตาย

เคียวตีไหล่กูณฑ์เบา ๆ เป็นเชิงหยอก ก่อนจะพูดต่อ

"ฉันหมายถึงหัวใจต่างหาก แต่มลก็พูดถูก ผู้หญิงไม่ควรนอกใจสามี เอ่อ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านี้ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ควรนอกใจคู่ครองของตัวเอง"

"แต่แม่นายไม่ได้นอกใจไม่ใช่เหรอ" กูณฑ์ถาม "ฉันหมายถึงแม่นายไม่เต็มใจแต่งงานกับรากษสสักหน่อย ว่าแต่เผ่าอะไรชื่อพิลึก มีรากสด แล้วมีใบสดด้วยหรือเปล่า"

มลส่ายหน้าอย่างระอาใจ "ถ้าเจ้ายังไม่รู้อะไรอยู่แบบนี้ คงอยู่ป่าหิมพานต์ไม่ได้แน่ พวกรากษสหรือบางทีก็เรียกกันว่าผีเสื้อเป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่ง ตัวใหญ่ มีเขี้ยว นิสัยโหดร้าย เอาแน่เอานอนไม่ได้ มีถิ่นของตัวเอง ใครหลงไปในถิ่นก็จะถูกจับกิน"

"ยักษ์ดี ๆ นี่เอง" กูณฑ์ว่า แหม ถ้าพูดว่าเป็นยักษ์แต่แรกก็จบแล้ว มาพูดรากษส เขาจะไปรู้จักได้ยังไง

มลส่ายหน้า "ยักษ์ก็คือยักษ์ รากษสก็คือรากษส มีความสัมพันธ์กันบ้าง แต่ไม่ใช่ตัวเดียวกัน"

กูณฑ์โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ "ช่างเถอะน่า ฉันไม่ต้องใช้วิชาพวกนี้สอบเข้ามหา'ลัยสักหน่อย"

มลขมวดคิ้ว "มหา อะไรนะ"

กูณฑ์ไม่ได้อธิบาย เป็นเรื่องยากที่เราจะอธิบายการเรียนระดับมหาวิทยาลัยให้แก่คนที่ไม่เคยเข้าเรียนในระบบฟัง

"แต่เจ้าจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ ถ้าอยากอยู่ในป่าหิมพานต์ต่อ"

กูณฑ์ยักไหล่ "ฉันคงไม่อยู่นานนักหรอก"

แม้สภาพป่าหิมพานต์จะสวย มีสัตว์และพืชแปลก ๆ จำนวนมาก แต่กูณฑ์ก็ยังคิดถึงโลกศิวิไลซ์ข้างนอกมากกว่า อย่างไรเขาก็ยังเป็นสัตว์เมือง มาทำตัวเป็นสัตว์ป่าไม่ได้หรอก

มลมองหน้ากูณฑ์แปลก ๆ เหมือนกับอีกฝ่ายไม่อยากให้กูณฑ์จากไปอย่างไรอย่างนั้น

"ทำไมล่ะ ที่นี่ไม่ดีตรงไหน"

มลยอมรับว่าตัวเองเป็นเด็กขี้เหงา ตอนที่อยู่ในเมืองกับพ่อแม่ ก็แทบไม่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเลย  แน่ล่ะว่าเขาได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่อย่างเต็มเปี่ยม แต่พ่อแม่กับเพื่อนอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน พอเขาเข้าเรียนที่สำนักวิชาก็ต้องทำงานจนไม่มีเวลาหาเพื่อน อีกอย่างก็ไม่มีเพื่อนร่วมสำนักคนไหนอยากจะเป็นเพื่อนกับเขา พอมาเจออุสาก็เป็นครั้งแรกที่วิทยาธรน้อยมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่อย่างไรอุสาก็ยังเป็นเด็กผู้หญิง เวลามลเล่นกับอุสาหรือหยอกล้ออะไรกัน มลไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีเพื่อนเลย แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองมีน้องสาวน้อย ๆ ที่ต้องดูแล ต้องปกป้อง แต่กับเพื่อนใหม่ที่เจอกัน แม้จะมีการทะเลาะกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่นี่คือความเป็นเพื่อนครั้งแรกที่มลได้สัมผัสถึงมิตรภาพอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้มันก็จะถูกพรากไปอีก เขาจะไม่มีวันรักษาใครไว้ได้เลยใช่ไหม เขาทำเวรกรรมอะไรหนอถึงต้องพลัดพรากจากคนที่รักอย่างนี้ ชาติก่อนเขาเคยไปพรากลูกนก ลูกกาหรืออย่างไร

กูณฑ์กำลังจะเอ่ยเย้า แต่เมื่อเห็นสีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานของเพื่อนก็ถอนหายใจ ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง

"ที่นี่ดีมากเลย ผู้คนเป็นมิตร อากาศสะอาดบริสุทธิ์ ผลไม้ก็อร่อย"

มลอ้าปากกำลังจะพูด แต่กูณฑ์ยกมือห้าม

"แต่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน ที่ของฉันคือข้างนอกโน่น ฉันมีพ่อมีแม่ ยังไงฉันก็ต้องไป"

มลจำนนด้วยเหตุผล ตัวเขาเองยังคิดถึงพ่อแม่ คนอื่นก็มีสิทธิ์คิดถึงเหมือนกัน เขาหันไปหาเคียว

"แล้วเจ้าล่ะ มีใครรออยู่ข้างนอกหรือไม่"

"ฉันเป็นภูต ตายมาไม่รู้กี่ร้อยปี ต่อให้มีญาติมิตร ป่านนี้ก็เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ไปเกิดใหม่กันหมดแล้ว ฉันไม่มีใครรออยู่ข้างนอกหรอก"

มลยิ้มขึ้นมาได้ "งั้นเจ้าจะอยู่กับข้าใช่หรือไม่"

ภูตหนังสือเหลือบมองเพื่อนหัวไฟของตน ก่อนจะบอกว่า

"ก็ขึ้นอยู่กับกูณฑ์ ถ้าเขาอยู่ ฉันก็อยู่ ถ้าเขาไป ฉันก็ไป อย่างไรเราก็ต้องอยู่ด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน"

คิ้วของวิทยาธรน้อยย่นเข้าหากัน "เจ้าพูดเหมือนกับเจ้าเป็นภรรยาของเขาอย่างนั้นแหละ"

ทั้งกูณฑ์และเคียวหน้าแดง ก่อนจะสามัคคีกันถีบมล

"พูดไร้สาระจริง ๆ" กูณฑ์ว่า พลางชำเลืองมองดูเคียวว่าอีกฝ่ายจะโกรธหรือไม่ การรักเพศเดียวกันถือว่าเป็นเรื่องในธรรมดาในโลกของกูณฑ์ก็จริง แต่กูณฑ์ไม่แน่ใจว่าเคียวรับเรื่องแบบนี้ได้หรือไม่ เมื่อชาติก่อน ไดจิปฏิเสธเทพอัคนีเพราะทั้งคู่เป็นผู้ชายเหมือนกัน มาชาตินี้ เคียวจะปฏิเสธเขาอีกหรือไม่

แม้กูณฑ์จะพยายามชำเลืองมองไม่ให้เคียวเห็น แต่สายตาที่จ้องเขม็งนั้นยากที่ใครจะไม่สังเกต ถ้าตอนนี้หัวใจของเคียวยังเต้นอยู่ มันคงเต้นแรงจนหลุดออกมาจากอก เขารู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด

"ขนาดบอกว่าไร้สาระ สายตาที่จ้องกันหวานกว่าสายตาที่พ่อมองแม่ข้าอีก" มลเย้า

"แล้วเรื่องแม่นายล่ะ" เคียวตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง  ก่อนจะเข้าตัวไปมากกว่านี้

"แม่ข้ารอดจากรากษสนั่นมาได้ด้วยสติปัญญาของนาง" มลสรุป เขาไม่อยากจะเล่าเรื่องแม่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว ในเมื่อมีเรื่องอื่นน่าสนใจกว่า "พวกเจ้าสองคนนี่สิ ข้าว่าไม่ธรรมดานะ"

"พอที" กูณฑ์ว่า "ตอนนี้ฉันกับเคียวเป็นเพื่ิอนกัน"

"ตอนนี้" มลทวนคำเสียงสูง

กูณฑ์ยักไหล่ "ฉันไม่รู้อนาคตนี่"

เคียวตบหัวกูณฑ์ ก่อนจะทำหน้ายักษ์ใส่

"พูดงี้ได้ไง ยืนยันไปเลยว่าฉันกับนายไม่มีวันเป็นอะไรกัน นอกจากเพื่อน ไม่มีวัน"

ถ้อยคำของเคียวเหมือนมีดที่กรีดลงที่หัวใจของกูณฑ์ เขาอาจจะยังไม่ได้ชอบเคียวในแง่นั้น แต่เด็กหนุ่มก็ไม่กล้าปฏิเสธว่าตัวเองจะไม่ตกหลุมรักเคียว เมื่อชาติก่อนที่เขาเป็นเทพ มีนางฟ้าบริวารมาก เขายังตกหลุมรักเด็กหนุ่มธรรมดาอย่างไดจิ แล้วตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันมากกว่าเดิมเสียอีก แล้วเคียวก็น่ารักขนาดนี้เขาจะห้ามตัวเองได้อีกนานแค่ไหน แต่อย่างว่าเมื่อตอนเป็นเทพเพียบพร้อมขนาดนั้น เขายังถูกปฏิเสธ ตอนนี้เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มเก้งก้างคนหนึ่ง ทำไมอีกฝ่ายจะปฏิเสธไม่ได้ เขาอยากร้องไห้เหลือเกิน แต่ก็แสร้งหัวเราะ

"ฉันเพิ่งอายุสิบห้าเอง ยังเด็กอยู่เลย มีเวลาอีกตั้งเยอะ" กูณฑ์เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น

"เด็กยังไง ตอนที่แม่ข้าแต่งงานกับพ่อข้าก็อายุประมาณนี้ พวกลุง ๆ ป้า ๆ ข้าก็แต่งงานตอนอายุเท่านี้ทั้งนั้น"

กูณฑ์แทบจะตบหน้าผากตัวเอง เขาลืมไปเสียสนิทว่าธรรมเนียมที่นี่ไม่เหมือนโลกข้างนอกของกูณฑ์ สำหรับโลกที่กูณฑ์เกิดและเติบโตมา อายุสิบห้ายังถือว่าเป็นเด็กอยู่ ยังเรียนไม่จบมัธยมเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าที่นี่อายุสิบห้าปีก็โตพอที่จะแต่งงาน สร้างครอบครัวได้แล้ว

"นายอาจจะคิดอย่างนั้น แต่บ้านฉันถือว่ายังเด็กอยู่" กูณฑ์ตัดบท

"แต่สักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องโตไม่ใช่หรือ เจ้าคิดจะอายุสิบห้าไปตลอดชีวิตเลยหรือไง"

พูดถึงเรื่องอายุสิบห้าไปตลอดชีวิต ทำให้กูณฑ์ตบหน้าผากตัวเองจริง ๆ

"ตายแล้ว ฉันลืมไปเสียสนิทเลย"

"ลืมอะไร" ทั้งมลและเคียวพูดพร้อมกัน

"ฉันลืมถามเจ้าตาไปเสียสนิทว่ามีอะไรช่วยกำจัดฤทธิ์ของน้ำอมฤตได้ไหม"

มลขมวดคิ้ว "เจ้าไปได้น้ำอมฤตมาจากไหน ข้าเป็นวิทยาธรแท้ ๆ ยังไม่เคยได้ดื่มเลยนะ"

"พระนางมุจลินท์ให้ฉัน เขาได้มาจากพ่อของนายนั่นแหละ" กูณฑ์ตอบโดยไม่สบตากับเพื่อนใหม่ มลจะโกรธเขาไหมนะที่ตัวเองที่เป็นวิทยาธรแท้ ๆ กลับไม่เคยดื่มของดีประจำเผ่าอย่างนี้ แต่ขณะเดียวกันมนุษย์ธรรมดาที่ไหนก็ไม่รู้อย่างกูณฑ์กลับได้ดื่มเสียนี่ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเด็กหนุ่มสักหน่อย ตอนนั้นเขาหมดสติอยู่ ถ้าให้เลือกได้ เขาก็คงไม่ดื่มเหมือนกัน

มลตบไหล่กูณฑ์เบา ๆ "เจ้าโชคดีมากที่ได้น้ำอมฤต เพราะเหตุใดเจ้าถึงอยากกำจัดฤทธิ์ของมันเสียเล่า มีมนุษย์และอมนุษย์มากมายที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา"

กูณฑ์ส่ายหน้า "ฉันไม่อยากติดอยู่ในร่างกายนี่ไปตลอดชีวิตหรอก ดูสิ เก้งก้างจะตาย ฉันอยากโต อยากใช้ชีวิตเป็นปกติ"

มลเม้มปาก "ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีวิธีใดที่จะถอนฤทธิ์ของน้ำอมฤตได้ และถึงจะถอนได้ พ่อก็ไม่แน่ใจว่าจะส่งผลกระทบอะไรต่อเจ้าบ้าง แต่อย่างไรเจ้าก็ลองถามเจ้าตาดูก็แล้วกัน"

กูณฑ์พยักหน้า "อือ ฉันจะลองดู"