เป็นเทพอัคนีหรือเทพแห่งความซวยอวตารกันแน่

ขณะที่เพื่อน ๆ กำลังโต้เถียงกัน กูณฑ์ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาพรหมจรรย์ของตัวเองไม่ให้เป็นของนางรากษส เขาพยายามจะรวบรวมพลังให้ไฟติด และในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ นางรากษสกรีดร้องเมื่อสัมผัสกับเกราะไฟของเขา

"ข้าขอโทษ" นางรากษสคุกเข่าลงต่อหน้ากูณฑ์ก่อนจะพูดเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว "ข้าไม่ทราบว่าท่านเป็นเทพอัคนี โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด" สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มที่มีเกราะไฟคุ้มตัว ถ้าเป็นอย่างนั้นนางนากษาที่ผ่านโลกมานับศตวรรษอย่างเธอมีหรือจะกลัว แต่เธอยังเห็นเทพอัคนีปรากฏกายแฝงอยู่กับเด็กหนุ่มอีกด้วย

หากแม้ว่าเธอรู้สักนิดว่าคนที่เธอพามาเป็นเทพอัคนี เธอคงไม่กล้าแตะต้องพระองค์แม้เพียงปลายเล็บ ใครจะไปกล้ายุ่งกับพระเพลิงที่แม้แต่นางผีเสื้อสมุทรก็ยังสู้ไม่ได้

กูณฑ์ไม่รู้จะทำยังไงดี เขารู้สึกอึดอัดที่คนแก่กว่ามาคุกเข่าให้เขาอย่างนี้ เขากลัวว่าตัวเองจะอายุสั้น

"ลุกขึ้นเถอะครับ" เด็กหนุ่มหัวไฟพูดอย่างอ่อนโยน

นางรากษสเงยหน้ามองเทพเพลิง ดวงตาคลอด้วยน้ำตา

"ขอบพระทัยเพคะ" เธอค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้น

"คุณช่วยพาผมกลับไปที่เดิมได้ไหมครับ" กูณฑ์ถาม

นางรากษสพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ตอนนี้เธอยินดีทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เทพเพลิงทรงพระพิโรธ แม้ว่าตอนนี้พระอัคนีอาจจะไม่โกรธก็จริง แต่ขึ้นชื่อว่าไฟแล้วก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น เจ้าของถ้ำเปิดหินที่ทำเป็นประตูถ้ำออก

กูณฑ์สูดหายใจลึก ๆ รับอากาศสดชื่นที่ผ่านเข้ามา แม้ในถ้ำจะพอมีช่องอากาศให้หายใจอยู่บ้าง แต่มันก็เทียบไม่ได้กับอากาศสดชื่นนี้เลย เขาค่อย ๆ เดินออกจากถ้ำ นางรากษสก็ตามออกมาด้วย และเธอก็แปลงร่าง จะเรียกว่าแปลงร่างคงไม่ถูกนักเพราะเธอเพียงแค่คืนร่างเดิม

"ว้าก!" กูณฑ์ร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อได้เห็นร่างจริงของนางรากษสเป็นครั้งแรก เธอตัวใหญ่ยิ่งกว่าภูเขา แค่นิ้วก้อยของเธอก็ใหญ่กว่าหัวของกูณฑ์แล้วด้วยซ้ำ แต่อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าเขี้ยวที่งอกออกจากปากของเธอ เขี้ยวนั้นใหญ่พอที่จะบดขยี้กูณฑ์ได้ในพริบตา

นางรากษสคุกเข่าลง ก่อนจะยื่นมือมหึมามาข้างหน้า กูณฑ์จับตามองอย่างระแวง

"อะไรครับ" กูณฑ์ถาม

"เชิญขึ้นมาประทับบนนี้เถิดเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะเชิญเสด็จกลับเอง" นางรากษสพูดอย่างอ่อนโยน

กูณฑ์ถอยหลังหนี เรื่องที่เขาเจอวันนี้ทำให้เขาอดระแวงไม่ได้ เขาเกือบจะต้องถูกขังในถ้ำ ไม่ให้เห็นเดือน เห็นตะวันเพราะเธอ แล้วจู่ ๆ จะให้เขาเอาชีวิตไปอยู่ในกำมือเธออีกเนี่ยนะ เขาไม่เอาด้วยหรอก

"ไม่ต้องกลัวหรอกเพคะ หม่อมฉันแค่จะเชิญเสด็จกลับเฉย ๆ ไม่ทำอะไรพระองค์แน่นอนเพคะ" เจ้าของมือมหึมายืนยัน

"ผมกลับเองดีกว่า" กูณฑ์พูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เขาเองก็พอจะจำทางที่มาได้อยู่บ้าง แล้วตอนนี้ก็ยังเป็นตอนกลางวัน พระอาทิตย์ส่องแสงจ้าขนาดนี้ คงหาทางกลับไม่ยาก แม้จะต้องคลำทางดูสักหน่อยก็ตาม

"แน่ใจหรือเพคะ" นางรากษสถาม แม้จะเป็นตอนกลางวัน แต่ป่าก็มีอันตรายอยู่รอบด้าน เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่มีอาวุธอยู่ในมือด้วยซ้ำ ช่างประมาทอะไรอย่างนี้ หรือเขาคิดว่าตัวเองเป็นเทพอัคนีอวตารเลยไม่กลัวอะไร ช่างเจ้าทิฐิเสียจริง ขนาดพระนารายณ์อวตาร พระองค์ยังถืออาวุธไว้ข้างกายเสมอ แต่ถ้าเด็กหนุ่มยืนยันอย่างนั้น เธอก็ต้องปล่อยให้เขาไป

เด็กหนุ่มหัวไฟพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น เขาต้องการจะไปจากเขตแดนของนางรากษสให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาไม่รู้ว่าเธอจะเปลี่ยนใจจับเขา 'กิน' เมื่อไหร่ ไม่ว่าจะกินแบบเอาเข้าปากแล้วแล้วเคี้ยวกร้วม ๆ หรือกินแบบที่เป็นคำสแลง เขาก็ไม่อยากทั้งนั้น

"งั้นเชิญเสด็จ"

เมื่อได้รับคำอนุญาต กูณฑ์ก็รีบวิ่งไปทางที่เขามั่นใจว่าเป็นทางกลับบ้านทันที แปลกดีที่เดี๋ยวนี้เขาคิดว่าอาศรมของฤๅษีเป็นบ้านของเขา แต่คิดอีกทีก็ไม่แปลกอะไรนัก ที่นั่นเป็นที่พักพิง มีที่อยู่ที่กิน แล้วก็มีเพื่อน แม้ว่ากูณฑ์ยังคิดถึงพ่อแม่อยู่บ้าง แต่พอมาอยู่ที่นี่ก็แทบไม่มีเวลาคิดถึง เพราะมัวแต่เอาแต่เวลาไปเถียงกับมล คิดแล้วก็อดขำไม่ได้ เด็กคนนั้นเหมือนน้องชายจอมแสบ แม้จะไม่เคยเรียกกูณฑ์ว่าพี่สักครั้งก็เถอะ และเพราะมัวแต่หัวเราะนั่นเอง กูณฑ์ถึงได้สะดุดเถาไม้เลื้อยเข้าให้

"โอ๊ย!" เด็กหนุ่มร้องออกมาด้วยความโมโหมากกว่าเจ็บ วันนี้จะซวยมากกว่านี้ได้อีกไหม ไหนจะเกือบถูกนางรากษสจับเป็นสามี ให้อยู่แต่ในถ้ำ ตอนนี้แม้กระทั่งเถาไม้เล็ก ๆ ก็ยังมารังแกเขาอีก พระเจ้าจะกลั่นแกล้งเขาไปถึงไหนกัน ด้วยความโมโหเนื่องจากวันนี้อะไร ๆ ก็ไม่เป็นดั่งใจ กูณฑ์ถอนเถาวัลย์นั่นออกมา ก่อนจะฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อระบายอารมณ์ หนำซ้ำเขายังใช้เท้าขยี้ซ้ำอีกจนมันเละไม่เป็นชิ้นดี ดูไม่ออกเลยว่าเคยเป็นเครือเถาที่สวยงามมาก่อน

"สมน้ำหน้า" เด็กหนุ่มผู้อารมณ์ร้อนเหมือนดังไฟพูดกับเศษซากของเครือเถานั้นราวกับมันฟังที่เขาพูดเข้าใจ ก่อนจะกระทืบเท้าเดินจากไป รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างที่ได้ระบายอารมณ์ใส่สิ่งมีชีวิตไร้ทางสู้

 ถึงแม้ว่ากูณฑ์จะมั่นใจว่าเขาจำทางได้ แต่พอเดินมาสักพัก เขาก็เริ่มลังเล ได้แต่หมุนตัวไปรอบ ๆ หรี่ตามองเพื่อให้เห็นว่าทางไหนคือทางที่ถูกกันแน่ เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดคนแรกว่าการหรี่ตาช่วยให้มองเห็นได้ชัดขึ้น แล้วมันได้ผลจริง ๆ หรือเปล่า กูณฑ์เคยมองว่าเรื่องนี้ไร้สาระ คนเราจะมองเห็นชัดขึ้นได้อย่างไรเมื่อหรี่ตาจนแทบปิดแบบนั้น แต่ตอนนี้กูณฑ์ไม่มีทางเลือก  เด็กหนุ่มคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเคยเดินผ่านต้นไม้ต้นนี้แล้ว แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก เพราะต้นไม้ต้นไหน ๆ ก็ดูเหมือนกันไปหมด ถ้าไม่ได้ทำตำหนิไว้ก็ยากที่จะแยกออก พอคิดมาถึงตรงนี้กูณฑ์ก็แทบอยากจะเขกหัวตัวเอง เสียแรงที่อุตส่าห์เรียนวิชาลูกเสือมา จะรู้จักเอามาปรับใช้สักหน่อยก็ไม่มี เด็กหนุ่มก้มลงมองพื้นเพื่อหาอะไรที่จะมาใช้ขีดเขียนได้ และในที่สุดเขาก็ได้หินแหลม ๆ ขนาดเหมาะมือก้อนหนึ่ง กูณฑ์ใช้ด้านแหลมของหินนั้นกรีดลงไปในเปลือกไม้ พยายามทำให้เหมือนรูปลูกศรที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พอทำสำเร็จกูณฑ์ก็รีบเดินไปในทางที่เขาคิดว่าถูกทันที แต่หลังจากเดินอยู่นาน จนตอนนี้แดดเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะเผาเขาอยู่แล้ว กูณฑ์ก็เหนื่อยจนขาแทบลาก เดินต่อไปไม่ไหว ได้แต่พิงต้นไม้อย่างเหนื่อยอ่อน นึกขอบคุณที่เขายังมีโชคอยู่บ้าง เพราะหากไม่ได้ต้นไม้ต้นนี้เขาต้องเป็นลมตายแน่ ๆ จะว่าไปแล้วต้นไม้ต้นนี้ก็ดูคล้ายกับต้นไม้ที่เขาทำสัญลักษณณ์ไว้ราวกับฝาแฝด และเมื่อเด็กหลงทางเงยหน้ามองขึ้นไปก็อดสบถไม่ได้ ต้นไม้นี่ไม่ใช่ฝาแฝดของต้นไม้ต้นนั้น แต่เป็นต้นเดียวกันเลย รอยลูกศรที่เขาทำไว้ยังอยู่ที่นั่นราวกับจะเยาะเย้ยเขา

"บ้าเอ๊ย!" กูณฑ์พูดออกมาอย่างเหลืออด ถ้าเขาอ่อนแอมากกว่านี้ เขาคงร้องไห้ไปแล้วแน่ ๆ แต่กูณฑ์เป็นคนเข้มแข็ง เขาไม่ร้องไห้หรอก เขาพยายามฉีกยิ้ม แม้น้ำตาจวนเจียนจะไหลเต็มที และพยายามตั้งสติ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมเขาถึงกลับมาที่เดิม เป็นไปได้หรือว่าเขาเดินกลับมาที่นี่เพราะความโง่ของตัวเอง หรือมีอะไรบางอย่างบังตาเขาอยู่กันแน่

ฝ่ายนางรากษส แม้จะได้รับคำสั่งไม่ให้ตามไป แต่เธอเองก็อดจะตามมาไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนี้ยังเด็กเกินกว่าที่จะให้อาถรรพ์ของป่าฆ่าเขา ตอนนี้นางรากษสแปลงเป็นเหยี่ยว และคอยดูสถานการณ์อยู่ข้างบน เธอเห็นว่าร่างอวตารของเทพแห่งไฟเดินวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ที่เดิมนานแล้วจนเธอนึกเป็นห่วง อีกฝ่ายไม่รู้ทางกลับหรือยังไงนะ แต่ต่อให้ไม่รู้ทางกลับจริงก็ไม่น่าจะเดินวนไปวนมาอย่างนั้นนี่นา เห็นทีเธอต้องถามอะไรเขาหน่อยแล้ว เรื่องที่วิเศษที่สุดของการเป็นสัตว์แปลงคือเธอยังพูดภาษาของมนุษย์ได้อยู่

"พ่อหนุ่มน้อย"

เสียงของนางรากษสปลุกกูณฑ์ให้ตื่นจากภวังค์ เขาลุกขึ้นยืน กำหมัดแน่นอยู่ในท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ ต่อให้เขาต้องหลงทางจนตายอยู่ในป่านี่ เขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจกลับไปเป็นตุ๊กตาของเล่นให้เธอหรอก ให้มีชีวิตอยู่แบบนั้น กูณฑ์ขอตายเสียดีกว่า

"ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอะไรท่านหรอก" เสียงนั้นยังคงพูดต่อไป

กูณฑ์หันมองรอบ ๆ อย่างระแวง ทำไมเขาถึงได้ยินแต่เสียงแต่ไม่เห็นตัวล่ะ หรือว่านางรากษสใช้อุบายหลอกเขา

"ผมจำเสียงคุณได้นะ" กูณฑ์ว่า พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น เขาต้องไม่แสดงออกให้เห็นว่าเขากลัว เขาจะตายอย่างกล้าหาญ

นกเหยี่ยวแปลงถอนหายใจ เธอหวังว่าจะช่วยบินนำทางให้เขาโดยไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร แต่เมื่อเขาพูดแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ เธอตัดสินใจคืนร่างเดิม

"คุณมาที่นี่ทำไมอีก" กูณฑ์พูดอย่างตำหนิ "ไหนคุณสัญญาว่าจะปล่อยผมไปแล้วไง"

นางรากษสถอนหายใจ "ข้าปล่อยท่านกลับอาศรม แต่ท่านดูเหมือนยังไม่อยากกลับ เอาแต่เดินวนรอบต้นไม้นี้อยู่ได้" หางเสียงของเธอแฝงแววตำหนิเล็กน้อย

"เป็นไปไม่ได้" กูณฑ์เถียง เขาเดินไปตั้งไกล แล้วถึงกลับมาเจอต้นไม้นี้หรอก ถึงเขาจะไม่ได้ชำนาญการเดินป่านัก แต่ก็ไม่โง่พอที่จะเดินวนรอบต้นไม้หรอก

"จริง" เจ้าถิ่นยืนยัน "ท่านไม่รู้สึกตัวเลยหรือ"

ตอนนี้กูณฑ์เริ่มลังเล "ไม่"

เรื่องนี้เริ่มมีกลิ่นแปลก ๆ นางรากษสหลับตาลงพยายาหาร่องรอยโดยใช้ตาแก้วของเธอ และในที่สุดด้วยอำนาจตาแก้วที่เหนือมนุษย์ของเธอก็ทำให้เธอเห็นซากของเครือเถา

"ท่านได้ไปสะดุดหรือไปทำอะไรเครือเถามาหรือเปล่า" เธอถามกูณฑ์ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนแม่เขา เวลาจะเริ่มอบรมเขาไม่มีผิด

กูณฑ์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ "ก็ทำ แล้วทำไมอะ มันก็แค่วัชพืช"

"แค่วัชพืชหรือ" นางรากษสทวนคำเสียงสูงอย่างไม่อยากเชื่อ เธอรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ประสีประสาเรื่องในป่าหิมพานต์มากนัก ก็ขนาดเพื่อนพยายามเตือนแล้วเตือนอีกว่าเธอเป็นนางรากษสก็ยังอุตส่าห์ตามมา แต่ถึงขนาดไม่รู้จักเครือเถาหลง หนึ่งในวัตถุมงคลหายากนี่ก็ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว

กูณฑ์รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายไม่พอใจจึงรีบแก้คำพูดตัวเองเสียใหม่ คงไม่ดีแน่ถ้าทำให้เจ้าหล่อนอารมณ์เสียตอนนี้ กูณฑ์เหนื่อยเกินกว่าจะรวบรวมพลังเพลิงแล้ว

"ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่สะดุดโดนมัน แล้วมันก็หลุดออกมาเอง" กูณฑ์พูดพลางไขว้นิ้วไว้ข้างหลัง เป็นที่เชื่อกันว่าหากโกหกขณะไขว้นิ้วแล้วจะไม่บาป

นางรากษสเลิกคิ้ว เด็กนี่โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย แต่ก็ไม่คิดจะไล่เบี้ยอะไรอีก

"สิ่งที่ท่านสะดุดคือเครือเถาหลง"

"เถาหลง" กูณฑ์ทวนคำ "อย่าบอกนะว่าผมสะดุดเครือเถาหลงเลยเดินหลงทาง"

แม้อยู่ในสถานการณ์คับขัน กูณฑ์ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ป่านี่ช่างมีเรื่องมหัศจรรย์ให้เขาเรียนรู้ได้ไม่รู้จบจริง ๆ ใครจะไปรู้ว่าแค่สะดุดเถาไม้เล็ก ๆ ก็ยังเป็นเรื่องได้ขนาดนี้

"ตลกมาก ท่านเทพ" นางรากษสพูดอย่างเย็นชาจนแทบจำไม่ได้เลยว่าเป็นรากษสตนเดียวกับที่พยายามขอให้กูณฑ์อยู่ในถ้ำด้วยกันกับเธอ "แต่ท่านคงตลกไม่ออกแน่ เพราะถ้าฤทธิ์ของเครือเถาหลงไม่คลาย ท่านก็จะต้องติดอยู่ที่นี่ไป 'ตลอดกาล'" เธอเน้นเสียงตรงคำว่าตลอดกาล

กูณฑ์หน้าซีด หยุดหัวเราะทันที การที่ต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลไม่น่าสนุกสักนิด กูณฑ์ยังหวังว่าจะได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่ กลับไปเรียนหนังสือ ใช้ชีวิตอย่างเด็กปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ถ้าความหวังนั้นเลื่อนลอยเกินไป ก็ขอให้เขาได้กลับอาศรม ได้เจอเจ้าตาที่เมตตาเอ็นดูเขา เจอมลกับอุสาที่เขารักเหมือนน้องชายน้องสาว และที่สำคัญที่สุดคือได้เจอกับเคียว ภูตหนังสือที่เขาทั้งรักและผูกพันด้วยเหลือเกิน เขาไม่อยากติดอยู่ที่นี่

"ช่วยผมที" กูณฑ์พูดเสียงอ่อย

"ตราบใดก็ตามที่เท้าของท่านยังติดกับพื้นดิน เครือเถาหลงก็ยังมีอำนาจควบคุมท่านได้อยู่"

เป็นคำแนะนำที่ไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่เลย ก็เขาเป็นคนนี่ไม่ใช่นก ถึงจะหาทางกลับได้โดยให้เท้าไม่ติดกับดิน หรือว่าเขาจะลองปีนต้นไม้ แล้วโหนเถาวัลย์ไปดี

นางรากษสดูเหมือนจะรู้ทันความคิดของเขา เธอวางมือลงพื้นอย่างเชื้อเชิญ

"ถ้าท่านไม่รังเกียจ"

กูณฑ์ถอนหายใจ บางทีนี่อาจเป็นกลอุบายก็ได้ แต่เขาเองก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ ได้แต่ปีนขึ้นไปนั่งบนมือ เอาซะ ลองใช้บริการรากษสแอร์ไลน์ดูสักครั้ง

นางรากษสประคองเด็กหนุ่มอย่างถนอม ก่อนจะรีบเดินไปในเขตของอาศรม และนี่เองเป็นสาเหตุที่คนที่อยู่ในอาศรมได้ยินเสียงดังเหมือนแผ่นดินไหว