ตอนที่ 036

ตอนที่ 36 นักพนันเจ้าสำราญ

หลังจากทำความสะอาดเสร็จ จางจื่ออันก็เปิดประตูร้านเพื่อให้อากาศถ่ายเท เหงื่อที่ไหลก็ค่อยๆ แห้งเหือดไป

เขาเปิดดูสมุดรายชื่อในโทรศัพท์แล้วกดโทรหาซุนเสี่ยวเมิ่ง

"มาที่นี่เร็ว ผมจะเลี้ยงข้าวเช้าคุณ" เขาพูด

"ห๊ะ?” จินตนาการได้เลยว่าปลายสายคงตกใจมาก

"ใช่แล้ว ขับรถมาเลยนะ" พอพูดจบ ไม่รอให้อีกฝั่งได้ถามต่อ เขาก็วางสายทันที

ร้านคลินิกรักษาสัตว์หลิงอวี้กับร้านขายสัตว์เลี้ยงมหัศจรรย์ตั้งอยู่บนถนนจงหัวแยกกันอยู่ระหว่างทิศเหนือและใต้ หากเดินทางมุ่งหน้ามาระยะทางก็ห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร ไม่นาน รถของซุนเสี่ยวเมิ่งก็จอดอยู่ที่หน้าประตูร้าน

เธอลงมาจากรถด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงง "วันนี้พระอาทิตย์ออกทางทิศตะวันตกหรือเปล่านะ? คนขี้งกอย่างคุณจะเลี้ยงข้าวฉัน?”

จางจื่ออันแสดงสีหน้าเจ็บปวด "มีอะไรแปลก? เพื่อนบ้านกันทั้งนั้น ต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีต่อกันไว้สิ เลี้ยงข้าวคุณสักมื้อจะเป็นไรไป"

"ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก! มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่งั้นข้าวมื้อนี้ฉันก็คงจะกินไม่ลง!” ซุนเสี่ยวเมิ่งไม่เชื่อในคำพูดปากหวานของเขา

จางจื่ออันหัวเราะเยาะเย้ย "ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว...วันนี้คุณจะได้กลับบ้านคุณแม่ไหม?”

"กลับบ้านแม่?” ซุนเสี่ยวเมิ่งนิ่งเงียบอยู่นาน เธอยังไม่ได้แต่งงาน จะพูดว่ากลับบ้านแม่ได้อย่างไร!

"โรงเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยง" เขาเตือนความจำ

"คุณจะทำไม?”

"ผมจะขอติดรถของคุณไปด้วย เดี๋ยวค่าน้ำมันผมจะเป็นคนออกเอง"

"พ่อของฉันขี้งกกว่าคุณอีก สัตว์เลี้ยงที่ซื้อจากโรงเพาะพันธุ์ของเขางดเปลี่ยนงดคืน!” เธอกล่าว

เขาถามด้วยความประหลาดใจ "ทำไมต้องคืนต้องเปลี่ยน?”

"ร้านคุณไม่มีลูกค้าไม่ใช่เหรอ ฉันว่ารีบปิดร้านแล้วหางานใหม่ทำเถอะ" เธอจริงจังมาก "ถ้าคุณยกซิงไห่ให้ฉัน ฉันจะช่วยพูดกับพ่อให้ ให้คุณคืนสัตว์ที่ขายไม่ออกได้"

"...ที่แท้คุณก็คิดอย่างนี้นี่เอง! แต่ว่าเสียใจด้วยที่ทำให้คุณต้องผิดหวัง นอกจากเจ้าหนูแฮมสเตอร์ที่แถมมาฟรี สัตว์ที่เหลือก็ขายออกหมดแล้ว วันนี้ผมอยากจะไปซื้อสัตว์เข้าร้าน" เขากล่าว

"ล้อเล่นหรือเปล่า" วันก่อนตอนที่ฉันมายังเห็นเจ้าแมวสยามกับเจ้าซามอยด์อยู่เลย คุณขายเจ้าสองตัวนั้นได้ภายในวันเดียว?” ซุนเสี่ยวเมิ่งยังไม่เชื่อ

ถ้าจะว่าตามระดับการบริโภคส่วนใหญ่ของทั้งประเทศแล้ว การรวมตัวกันของร้านขายสัตว์เลี้ยงที่ยอมทำโฆษณา เดือนหนึ่งจะสามารถขายสัตว์เลี้ยงออกได้ประมาณสองร้อยตัว และหนึ่งในจำนวนนั้นก็แบ่งเป็นสัตว์เลี้ยงราคาถูกที่เป็นที่นิยม หนูแฮมสเตอร์หรือกระต่ายที่ราคาตั้งแต่ไม่กี่สิบหยวนไปจนถึงราคาสองสามร้อยหยวนก็นับรวมอยู่ด้วย

แรกเริ่มซุนเสี่ยวเมิ่งคิดว่าจางจื่ออันตั้งราคาของสัตว์เลี้ยงไว้แพง ในระยะแรกที่เปิดร้านควรจะขายราคาถูกเพื่อให้เป็นการพูดกันปากต่อปาก ถึงแม้ว่าคุณจะเลือกสัตว์เลี้ยงที่สวยมากแค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่ป่าวประกาศไม่ทำโฆษณา ใครจะไปรู้จักร้าน?

ที่จริงแล้วร้านขายสัตว์เลี้ยงที่เปิดใหม่ทุกร้านล้วนจะขาดทุนกันทั้งนั้น บางร้านพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส บางร้านก็ปิดร้านไปอย่างเงียบๆ บางร้านก็เดินไปในทางที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม เป็นลูกสาวของเถ้าแก่โรงเพาะพันธุ์สัตว์ เรื่องแบบนี้เธอเห็นมาเยอะแล้ว

"ถ้าไม่เชื่อก็เข้ามาดูได้" จางจื่ออันขี้เกียจอธิบาย จึงเชิญให้เธอเข้ามาดูเอง

ซุนเสี่ยวเมิ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พอเดินเข้าไปดูในร้าน ชั้นโชว์สัตว์เลี้ยงทั้งหมดก็ว่างเปล่า

จางจื่ออันหยิบเอาบันทึกใบเสร็จรับเงินออกมาจากเคาน์เตอร์ชำระเงินส่งให้เธอดู

เธอรับมาดู "ซามอยด์สามพัน...แมวสยามสี่พัน...วันที่...เป็นของเมื่อวานทั้งหมด..."

จางจื่ออันลืมตาอ้าปาก “ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของบุญพาวาสนาส่งแล้วล่ะ” เขายกมือขึ้นมานับนิ้ว “หนึ่งวันเจ็ดพัน สิบวันเจ็ดหมื่น หนึ่งเดือนก็สองแสน...”

ซุนเสี่ยวเมิ่งไม่พูดอะไร ส่งบันทึกใบเสร็จคืนให้เขา "พอแล้วพอแล้ว มองดูตัวเองก่อนเถอะ นี่ไม่รู้ว่าตัวเองชื่อแซ่อะไรแล้วใช่ไหม? แต่ว่าก็แค่โชคช่วยครั้งคราวเท่านั้นเอง ช่วยขี้โม้ให้มันน้อยๆ ลงหน่อย! เอาอย่างนี้ เรามาพนันกัน เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปจนถึงเจ็ดวัน คุณต้องขายสัตว์เลี้ยงให้ได้ทุกวัน วันละหนึ่งตัว ฉันจะเลี้ยงข้าวเที่ยงคุณไปหนึ่งสัปดาห์ แต่กลับกัน ถ้าคุณทำไม่ได้..."

จางจื่ออันคิดว่าเธอจะพูดว่าต้องเลี้ยงข้าวเที่ยงเธอหนึ่งสัปดาห์ หรือต้องเอาซิงไห่ให้เธอไปเลี้ยง ผลคือเธอพูดว่า "ถ้าคุณทำไม่ได้ คุณต้องทำความสะอาดคลินิกรักษาสัตว์ให้ฉันหนึ่งวัน ฉันเห็นว่าคุณทำความสะอาดที่นี่ได้สะอาดมาก ดูมีออร่า...ว่าไง กล้าพนันไหม?”

เช่นเดียวกันกับจางจื่ออัน คลินิกของซุนเสี่ยวเมิ่งก็มีเธอที่หัวหมุนอยู่คนเดียวเช่นกัน ทั้งทำการรักษา ทั้งทำความสะอาด อดไม่ได้ที่ต้องเรียกใช้บริการบริษัททำความสะอาด ก็เป็นเรื่องที่ลำบากเช่นกัน

เขาลองพิจารณาดู สรุปก็คือได้!

ชนะก็ได้กินข้าวเที่ยงฟรีไปเจ็ดวัน ถ้าแพ้ก็แค่ออกแรงนิดหน่อย ไม่มีอะไรเสียหาย!

"ได้!” เขากล่าว

ปิดล็อกประตูร้าน ไปที่ร้านน้ำเต้าหู้หย่งเหอเพื่อทานอาหารเช้าให้เรียบร้อย จากนั้นจึงเดินทางไปที่โรงเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยง

มีซุนเสี่ยวเมิ่งอยู่ ก็เหมือนกับครั้งก่อน พวกเขาไม่ได้ไปที่ห้องรับแขก แต่ตรงไปหาพ่อของเธอเลย

จากสายตาของจางจื่ออัน สถานการณ์การค้าของบ้านสัตว์เลี้ยงก็ไม่ดีมากนัก สิ่งที่เป็นรูปธรรมเขาอาจจะพูดไม่ได้ แต่ว่าจากที่ได้สัมผัส ยังเงียบกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก กล่องขยายพันธุ์มากมายยังว่างเปล่า ใบหน้าของคนงานก็บึ้งตึง เขาเป็นคนนอกยังดูออก ซุนเสี่ยวเมิ่งก็ต้องดูออกอย่างแน่นอน ตั้งแต่เข้าบ้านสัตว์เลี้ยงมา เธอก็เดินก้มหน้าตลอดทาง

ซุนเสี่ยวเมิ่งต้องขับรถพาเขามาไม่ใช่แค่เพราะว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน แต่เพื่อธุรกิจของพ่อเธอด้วย อย่างน้อยได้ขายออกสักตัวก็ยังดี...

เรื่องเงินเลวขับไล่เงินดีไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในตลาดค้าปลีกสัตว์เลี้ยง แม้กระทั่งแหล่งกำเนิดต้นทางก็มีเช่นกัน...หรือจะกล่าวว่าทุกอย่างย่อมมีมูลเหตุ ถ้าทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้กําไร สุดท้ายแล้วสิ่งที่ถูกทำร้ายก็คือความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่เมื่อหายไปแล้วก็ไม่สามารถกลับมาใหม่ได้อีกตลอดกาล

แต่ว่า จางจื่ออันไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ก็ยังไม่มี ถ้ายังทำได้ไม่ดีพอก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน แต่ถ้าดูแลตัวเองได้แล้วจึงจะดูแลคนอื่นได้ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือดำเนินกิจการร้านสัตว์เลี้ยงต่อไป ไม่ซื้อสัตว์เลี้ยงจากโรงเพาะพันธุ์สัตว์ที่หลอกลวง นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้

ซุนอี้เหนียนกำลังให้อาหารไปทีละกรงๆ เจ้าของโรงเพาะพันธุ์สัตว์ยังทำงานธรรมดาเหมือนพนักงานทั่วไป

"พ่อคะ มีแขกค่ะ เขาอีกแล้ว" ซุนเสี่ยงเมิ่งโบ้ยปากไปทางจางจื่ออัน "หนูเป็นคนพาเขามาเอง"

ซุนอี้เหนียนตั้งลำตัวตรง หยุดตรงกลางอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนช่วงเอวจะมีปัญหา ส่งเสียงแกร๊กออกมาเบาๆ แต่ว่าก่อนที่ซุนเสี่ยวเมิ่งจะเข้าไปประคองเขา เขาก็ยืนตัวตรงได้แล้ว บนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ผมที่โกนจนสั้นก็มีผมสีขาวแซมอยู่

"พวกที่ซื้อไปครั้งก่อนขายหมดแล้ว?” ซุนอี้เหนียนพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม

"ขายหมดแล้วครับ เหลือแต่เจ้าหนูแฮมสเตอร์ตัวนั้น ครั้งนี้ผมอยากจะมาซื้อสัตว์เลี้ยงเข้าร้านสักหน่อย" จางจื่ออันกล่าว

ซุนอี้เหนียนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผายมือบอกทาง "ไปเลือกดูเองเถอะ"

อันดับแรกเขายังคงเลือกเจ้าซามอยด์และแมวสยามอย่างละตัวเหมือนครั้งก่อน เจ้าแมว บริติชขนสั้นค่อนข้างได้รับความนิยมจึงเลือกเอาสองตัว สามสายพันธุ์นี้ได้พิสูจน์ความสามารถในการจับลูกค้าของตนเองแล้ว จากนั้นเขาก็เลือกเอาแมวพันธุ์อเมริกันขนสั้นและสุนัขพันธุ์มินิเจอร์ ชเนาเซอร์อย่างละหนึ่งตัว หลังจากเดินวนได้หนึ่งรอบ เขาก็เลือกแมวพันธุ์เปอร์เซียมาอีกหนึ่งตัว ลูกสัตว์ทั้งหมดที่เลือกล้วนมีอายุสามถึงห้าเดือน

ถ้าจะให้พูดตามเหตุผล เขาไม่ค่อยอยากจะเลือกแมวเปอร์เซียนัก เพราะขนของมันยาวมาก ต้องหวีบ่อยๆ และราคาก็สูงมาก เป็นพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มแมวที่มีราคาแพง ถ้าหากขายได้ช้าก็จะยึดเวลาของเขาไปเยอะแน่ๆ เพียงแต่ต้องซื้อให้ครบทั้งเจ็ดตัวที่พนันไว้ ขณะเดียวกันก็เพื่อเป็นการทำความเข้าใจราคาในตลาดอีกขั้นหนึ่ง เขาจึงเลือกมัน