ตอนที่ 059

ตอนที่ 59 เรื่องเฮงซวย

ลุงจินครุ่นคิดอยู่ในใจ ถ้าเป็นแมวโตแล้วค่อยว่าหน่อย แต่นี่เป็นแค่แมวตัวเล็กๆ ถ้าจะเริ่มฝึกตอนที่หย่านม จะฝึกมาได้สักกี่วัน?

ยิ่งไปกว่านั้นแมวฝึกยากกว่าสุนัขเป็นสิบเท่า!

ลุงจินหันหน้าไปหาเจ้าฮัสกี้

“???” เจ้าฮัสกี้ทำหน้างง

"..." ลุงจินไม่พูดอะไร

เจียงเชียนเสวี่ยไม่เคยมีสัตว์เลี้ยง ไม่เคยฝึกสัตว์เลี้ยงมาก่อน เธอไม่รู้ว่ามันยากแค่ไหน เพียงแค่รู้สึกว่าน่าสนุกดีแค่นั้น

เธอดีดนิ้วอีกครั้ง เสวี่ยฉิวก็เดินเป็นเลขแปดอีกรอบทันที

ในใจของลุงจินทำได้เพียงหาเรื่องเฮงซวยมาเปรียบเทียบ ให้ตายเถอะ ขนาดของเลขแปดทั้งสองครั้งไม่เห็นจะเหมือนกันเลย!

เขาคิดในใจ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกสาวของตระกูลเจียง สายตาหลักแหลม! สัตว์เลี้ยงที่หาได้ทั่วไปคงจะไม่ถูกตาต้องใจเธอเป็นแน่ โชคดีที่เมื่อกี้ยังไม่ได้รับปากจริงจัง ถ้าเธอตอบว่าตกลง คุณลุงให้ม้าอลาสก้าที่เดินเป็นเลขแปดได้กับหนูนะคะ เขาจะไปหามาจากที่ไหน?

เขาเก็บความรู้สึกดูถูกเอาไว้ ไม่กล้าประมาทรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าแมวน้อยเปอร์เซียตัวนี้อีก ถามอย่างระมัดระวังว่า "แมวตัวนี้ราคาเท่าไหร่? อย่างน้อยก็คงจะเท่านี้ใช่ไหม?”

เขาชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว หมายถึงเดาว่าสามหมื่น ความเพอร์เฟ็คกับสายพันธุ์ก็อีกเรื่องหนึ่ง แมวที่ฝึกได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ราคาที่สูง เจ้าของคงไม่ยอมขายแน่

เสี่ยวเสวี่ยส่ายหน้าหัวเราะ "สามพันคงซื้อไม่ได้หรอกค่ะ หนูซื้อมาหนึ่งหมื่นสองพันค่ะ"

"..." ลุงจินถึงกับพูดไม่ออก เขามีปฏิกิริยาต่อเจ้าฮัสกี้เป็นครั้งที่สอง

เจ้าฮัสกี้ส่งเสียงสะอื้น เอาหางวางไว้ระหว่างขาหลังทั้งสอง ปิดก้นไว้ เพื่อความปลอดภัย

เสี่ยวเสวี่ยปรบมือสองครั้ง เป็นอันจบท่าฝึกของเสวี่ยฉิว จากนั้นจึงอุ้มมันกลับเข้าไปในกระเป๋า รูดซิปปิด

ลุงจินถึงบางอ้อในฉับพลัน อย่างนี้นี่เอง!

เจ้าของแมวต้องมีเจตนาที่จะเอาใจเจียงเทียนต๋าเป็นแน่ ถึงได้ขายแมวราคาถูกให้กับลูกสาวตระกูลเจียง!

ไม่ผิดแน่ ต้องใช่แน่ๆ!

เขาใช้ความคิดของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้วมาพิจารณาเรื่องนี้ ก็เข้าใจปมของเรื่องได้ทันที

แต่เขาก็รู้สึกเสียดายแทนเจ้าของแมวคนก่อนอยู่เหมือนกัน ทำแบบนี้ก็ไม่ถูกนัก ในเมื่อคิดจะเอาใจตระกูลเจียงจริงๆ ก็ให้มาเลยก็สิ้นเรื่อง ทำไมยังต้องรับเงินหนึ่งหมื่นสองพันนั่นอย่างไม่มีเหตุผลอีก? เดี๋ยวนี้น้ำใจของคนเรามันลดน้อยลงจริงๆ

เขาวินิจฉัยว่าคนที่ทำเรื่องแบบนี้คงเป็นเด็กอายุน้อย คนวัยกลางคนที่มีประสบการณ์โชกโชนแล้วคงไม่เดินทางผิดเช่นนี้

เสี่ยวเสวี่ยหิ้วกระเป๋าแมวขึ้น โบกมือให้เขา "ลุงจิน หนูกลับบ้านก่อนนะคะ บ๊ายบายค่ะ!”

ลุงจินพยักหน้า จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กำลังคิดอยู่ว่าต่อไปจะฝึกเจ้าฮัสกี้ยังไงถึงจะกู้หน้าคืนมาได้

เจ้าฮัสกี้แสดงท่าทีว่า ตอนนี้สิ่งเดียวที่มันคิดอยู่ในใจคือ อยากหาสุนัขสักตัวมารับกรรมแทน

เสี่ยวเสวี่ยเดินกลับบ้านอย่างมีความสุข

เปิดประตูบ้านพัก เธอย่องเบาๆ สำรวจดูก่อนว่าไม่มีรองเท้าหนังของคุณพ่อ จึงถอนหายใจอย่างสบายใจ ถอดรองเท้าวิ่งเข้าไปในห้อง

“แม่! อยู่ไหนคะ?” เธอมองซ้ายแลขวาดูทุกห้องไปด้วย ตะโกนไปด้วย

“ไอ้หยา! ลูกคนนี้ ความเรียบร้อยสักนิดก็ไม่มี! ไปเล่นข้างนอกมาทั้งวันเพิ่งจะกลับบ้าน! ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปจะขายออกได้ยังไง!” แม่เดินออกมาจากห้องนั่งเล่นพร้อมกับบ่น “มีเรื่องอะไรอีกล่ะ?”

“แหะๆ ดูสิว่าหนูซื้ออะไรกลับมา!”

“ยังไงก็คงไม่ซื้อสร้อยคอกับกระโปรงอยู่แล้ว!” แม่พูดด้วยความมั่นใจ ลูกคนนี้ซนมาตั้งแต่เด็ก อย่างกับทอมบอย ลูกสาวบ้านอื่นเอาแต่เฝ้ารออยากจะซื้อกระโปรงเจ้าหญิง แต่เธอถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ใส่ ส่วนสร้อยคอเครื่องประดับ เธอก็พูดมาตลอดว่ามันเกะกะ!

“สร้อยคอ กระโปรงจะมีประโยชน์อะไรล่ะคะ...ดูนี่!” เธอเอากระเป๋าแมววางไว้บนโต๊ะ รูดซิปเปิดออก

เสวี่ยฉิวยื่นหัวออกมางงๆ มองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวายใจ

“ไอ้หยา!” แม่ตกใจสุดขีด ลูกคนนี้ซื้อสิ่งมีชีวิตกลับมาหรือนี่ และสิ่งมีชีวิตนั้นยังเป็นแมว! แต่เดิมเธอคิดว่าถ้าลูกอยากมีสัตว์เลี้ยงน่าจะเลือกเลี้ยงสุนัขเสียมากกว่า

“ฮิๆ เป็นไงคะ? น่ารักไหม? มันชื่อเสวี่ยฉิว” เสี่ยวเสวี่ยเดาใจแม่ไม่ถูก เธออุ้มเสวี่ยฉิวออกมาวางไว้บนโต๊ะ เสวี่ยฉิวนอนอยู่บนโต๊ะอย่างสงบเสงี่ยม

แม่ตกใจช็อกไปอีกครั้ง แมวตัวนี้เรียบร้อยจัง ไม่ใช่แมวเถื่อนแบบที่คิดไว้ หรือลูกสาวคนนี้จะเปลี่ยนเพศแล้ว?

แต่แมวตัวนี้ทั้งสวยทั้งเรียบร้อยจริงๆ ถ้าเป็นลูกสาวก็คงเป็นลูกสาวในฝันของใครหลายคน พอคิดถึงตรงนี้ แม่ก็ส่งสายตาตำหนิไปหาเสี่ยวเสวี่ยอีกรอบ

เธอยื่นมือมาลูบตัวเสวี่ยฉิว เสวี่ยฉิวไม่หลบไม่หนี หรี่ตาลง ยิ้มรับความสุข

"..." แม่หดมือกลับ มองดูเม็ดทรายที่ติดอยู่บนมือ ไม่พูดอะไร

"แหะๆ หนูพามันไปเล่นที่ชายหาดมาแปปหนึ่งค่ะ..." เสี่ยวเสวี่ยแลบลิ้น

"เด็กดื้อ! ไปอาบน้ำเลยนะ แม่จะเอามันไปอาบน้ำ!” แม่พูด

ผลคือ การอาบน้ำให้เสวี่ยฉิวเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก แมวที่ดูเชื่องคุ้นเคยกับคน แต่พอตัวโดนน้ำก็แสดงท่าทีต่อต้านสุดๆ ทั้งร้องเสียงแหลมทั้งน่าสงสาร แม่เจียงขี้สงสาร แค่ได้ยินเสียงก็มือไม้อ่อนแล้ว แต่ยังต้องบังคับมันอย่างเสียไม่ได้ จนเจียงเชียนเสวี่ยอาบน้ำเสร็จออกมา เธอยังอาบน้ำให้แมวไม่เสร็จ เหงื่อโชกไปทั้งตัว

เสี่ยวเสวี่ยสวมชุดคลุมอาบน้ำ เช็ดผมเดินออกมา รีบบอกกับแม่ว่า "ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ใช้หวีหวีขนมันให้ทรายหลุดออกก็พอแล้วค่ะ"

แม่มองเธอแวบหนึ่ง "ไม่รักความสะอาดเหมือนกับลูกสินะ? อีกอย่างทำไมอาบน้ำเร็วขนาดนี้ตลอดเลย? อาบสะอาดหรือเปล่าก็ไม่รู้? ถูตัวหรือยัง?”

เสี่ยวเสวี่ยกลัวแม่จะบ่นไปมากกว่านี้ "โอเคโอเค ไว้วันหลังหนูจะเอามันไปอาบข้างนอก ร้านขายสัตว์เลี้ยงก็มีบริการนี้เช่นกัน เขามือโปรมาก!”

หวางเฉียนกับหลี่คุนเดินกลับหอมาด้วยกัน เพื่อนร่วมห้องอีกสี่คนที่อยู่ในหอกำลังเล่นเกมกันอย่างเมามัน ปิดไฟ เห็นแสงสว่างจากจอ เสียงใบพัดจากโน้ตบุ๊กพัดหึ่งๆ เสียงกดเมาส์ดังคลิกๆ ถึงแม้ว่าวันนี้อากาศจะเย็น แต่ก็ไม่อาจต้านทานความร้อนจากโน้ตบุ๊กทั้งสี่เครื่องในห้องแคบๆ ได้ ทุกคนเปลือยไหล่ หน้ามันแผล็บ

"บ้าเอ๊ย! ป่านนี้แล้วเพิ่งจะพากันกลับมา! เมื่อกี้คนขาดไปคนหนึ่ง ต้องไปชวนคนข้างห้องมาเล่นเป็นคนไล่ล่าทหารด้วย!” รุ่นพี่ที่อยู่เตียงชั้นบนติดประตูมองเห็นพวกเขา แล้วสบถ

"แหะๆ โทษทีพี่" หวางเฉียนกับหลี่คุนไม่ได้พูดอธิบาย อะไร หัวเราะแห้งๆ เปิดโน้ตบุ๊กของตัวเองแล้วเข้าหน้าเว็บ

"เชื่อมันเลยไอ้พวกนี้! ไม่เจอกันแค่วันเดียว ทำไมเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ซะแล้ว? ปกติต้องหาเหตุผลมาพูดไม่ใช่? พวกอะไรแบบเหยียบอึสุนัขจูงเมียข้ามถนน..." พี่ใหญ่ของห้องประหลาดใจ ถอดหูฟังออกข้างหนึ่ง ไม่เล่นเกมต่อแล้ว

ทหารห้องข้างๆ ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง "ไอ้ลูกหมูห้องห้าศูนย์สามตัวไหนยืนนิ่งไม่ขยับ? ฝั่งนั้นควบม้ามาฆ่าสามทีรวดแล้วโว้ย!”

"โทษทีเว้ย เมื่อกี้รับโทรศัพท์อยู่!” พี่ใหญ่ของห้องตะโกนกลับไป เขาใส่หูฟังอีกครั้ง เรียกรวมกลุ่มทำสงครามกลางหน้าผาต่อ

ถ้าจะถามว่าทำไม...หวางเฉียนกับหลี่คุนสบตากัน พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว กลับเนื้อกลับตัว มีความเป็นจอมยุทธ์อยู่ในตัว จะมาเล่นรวมกับพวกคนธรรมดาได้ยังไง

ไม่ควรค่าที่จะลดตัวลงไป!