บทที่ 5 : ใครเป็นน้องสาวของพี่กันแน่?
พอทั้งสองเดินถือว่าวออกมา ก็เจอกับอวิ๋นเฉียวที่เลิกเตะบอลแล้วเดินเข้ามาหา
“ไม่เรียนกันแล้วเหรอ”
อวิ๋นตั่วพูดขึ้นว่า “เด็กน้อยกลับจากเรียน รีบไปเล่นจื่อหยวนกับลม ถูกไหมคะครูหลิว”
“ถูก”
“เยี่ยมๆ น้องสาวท่องบทกวีได้แล้ว” อวิ๋นเฉียวเอ่ยชม
ว่าวเป็นรูปตะขาบตัวใหญ่ อวิ๋นเฉียวกับอวี่เจ๋อเป็นคนชูตะขาบ ส่วนอวิ๋นตั่วนั้นเป็นคนที่วิ่งไปข้างหน้า
จากนั้นทั้งสองก็ปล่อยมือ...แล้วตะขาบก็ร่วงลงกับพื้น
อวิ๋นเฉียวบ่นน้องสาวของตัวเองกับอวี่เจ๋อทันที “ทำไมต้องเป็นตะขาบ ว่าวนกนางแอ่นก็มีทำไมไม่เล่นล่ะ”
“นกนางแอ่นมันธรรมดาไป” คนเป็นน้องตอบกลับ
“ช่วยอยู่กับความเป็นจริงหน่อยเถอะ” อวิ๋นเฉียวตำหนิเธอขึ้น ทำให้อวิ๋นตั่วยู่ปาก กลอกตาใส่พี่ชายของตัวเอง
“ให้แม่มาช่วยดีกว่า” เธอมองไปทางชูยินที่อยู่ในห้องดอกไม้
“เดี๋ยวพี่ไปเรียกเอง” ว่าแล้วอวิ๋นเฉียวก็วิ่งออกไปเรียกชูยินมาจริงๆ
ชูยินพาอวิ๋นตั่ววิ่งออกไป มีลมพัดมาพอดี ทำให้ว่าวตะขาบนั้นลอยขึ้นสูง เธอส่งเชือกให้ลูกสาว แต่อวิ๋นตั่วกลับดึงไม่ไหว อวิ๋นเฉียวกับอวี่เจ๋อก็เลยเข้ามาช่วยวิ่งด้วย ทั้งสามช่วยกันจับเชือก แล้วว่าวก็ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ชูยินยืนยิ้มมองอยู่ข้างๆ นานๆ ทีที่สองพี่น้องคู่นี้จะมาเล่นด้วยกันแบบนี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ แบบนี้เธอจะต้องบันทึกไว้ซะหน่อย
“เดี๋ยวแม่ไปเอากล้องมาถ่ายรูปให้ดีกว่า”
พูดจบชูยินก็วิ่งเข้าไปในบ้าน ถือกล้องออกมา แล้วก็กดชัตเตอร์
“เดี๋ยวแม่ปริ๊นมาให้คนละรูปนะ” เธอว่าแล้วก็หมุนตัวเดินเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
สามนาทีต่อมา ในมือของทั้งสามก็มีรูปอยู่คนละใบ ในรูปมีว่าวตะขาบตัวหนึ่ง ตรงมุมล่างด้านซ้ายมีเด็กสามคนกำลังเงยหน้ามองว่าวตะขาบที่ลอยอยู่บนฟ้า
สองมือของอวิ๋นตั่วถือรูปไว้อย่างทะนุถนอม เธอวิ่งเข้าไปในห้องนอน หยิบเอากรอบรูปที่อยู่หัวเตียงมาแกะเอารูปในวัยเด็กออก แล้วใส่รูปที่เพิ่งถ่ายเข้าไปแทน
จากนั้นก็มองดูอย่างตั้งใจอีกครั้งด้วยท่าทางพึงพอใจ
อวี่เจ๋อถือรูปกลับบ้าน เขาเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะในห้องนั้นไม่มีแม้แต่กรอบรูปเลยสักอัน
เพราะแบบนั้นเขาจึงเปิดลิ้นชักออกมา แล้วสอดรูปไว้ในหนังสือแทน
อวี่ซีเข้าไปในห้องของพี่ชาย เพื่อที่จะขอยืมหนังสือ แต่อวี่เจ๋อกลับไม่อยู่ เธอก็เลยต้องหาเอง ทว่าพอเปิดลิ้นชักออกมาแล้วก็ได้เห็นรูปใบหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกราวกับพบโลกใบใหม่
เธอถือรูปนั้นไปให้ฟางผิงดู “แม่คะ ดูรูปพี่น้องตระกูลอวิ๋นสิ”
ฟางผิงที่กำลังล้างผักอยู่นั้นเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน รับรูปที่ลูกสาวส่งให้ แล้วเอ่ยประโยคแรกออกมาว่า “รูปใบนี้ถ่ายออกมาสวยจริงๆ ทำไมเราถ่ายรูปดีๆ แบบนี้บ้างไม่ได้นะ”
“ก็กล้องเขาดี เลนส์ก็ดี กล้องกระจอกๆ ของเราไม่มีทางถ่ายรูปแบบนี้ออกมาได้หรอกค่ะ”
“คิดไม่ถึงเลยว่าสองพี่น้องตระกูลอวิ๋นจะหน้าตาดีแบบนี้ โดยเฉพาะแม่หนูนั่น เหมือนภาพแกะสลักเลย”
“ผิวก็ดี เสื้อผ้าก็ดี จะน่าเกลียดได้ยังไงล่ะคะ”
“นั่นก็ต้องดูว่าพื้นฐานของแต่ละคนว่าดีหรือไม่ดี ดูอย่างเด็กผู้ชายคนนั้นสิ การแต่งตัวก็ดี แต่ทำไมแม่รู้สึกว่าเขาไม่ได้ดูดีไปมากกว่าพี่ของลูกเลยล่ะ”
“แม่ก็จะยกหางตัวเองเกินไปแล้ว หนูว่าอวิ๋นเฉียวหล่อจะตายไป แต่แค่หน้าของเขาดูเหยียดหยามคนอื่นอยู่ตลอดก็เท่านั้น เหมือนพวกคุณชายลูกคนรวยคนอื่นอย่างไรล่ะคะ”
แต่ฟางผิงกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เธอกลับรู้สึกว่าลูกชายของตัวเองดูดีกว่าอวิ๋นเฉียวเสียอีก
“เฮ้อ พี่ชายของลูก เหมือนหงส์ที่ตกลงมาอยู่ในรังนกไม่มีผิด!” ฟางผิงว่าอย่างเห็นใจลูกชาย
“พี่ของหนูไม่ใช่ผู้หญิงซะหน่อย จะเป็นหงส์ได้ยังไงล่ะคะ”
“มันเป็นการเปรียบเทียบต่างหากล่ะ”
“แต่เปรียบเทียบแบบนี้มันก็ไม่เหมาะนะคะ”
สองแม่ลูกพูดคุยกันอย่างออกรส เมื่อหมุนตัวกลับไปก็เจออวี่เจ๋อยืนอยู่ข้างหลัง
“พี่......”
อวี่ซีรีบเอารูปในมือซ่อนไว้ข้างหลัง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว รูปในมือนั่นกลับถูกอวี่เจ๋อเห็นเข้าซะก่อน
“อะไรอยู่ในมือน่ะ”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“พี่เห็นนะ เอาคืนมาเดี๋ยวนี้เลย”
อวี่ซีเอารูปคืนให้พี่ชาย แล้วรีบพูดแก้ตัวไปว่า “หนูกับแม่คิดว่าพี่หล่อที่สุดเลย”
“ต่อไปอย่าหยิบเอาของของพี่มาตามอำเภอใจแบบนี้” อวี่เจ๋อว่าแล้วก็ถือรูปใบนั้นกลับเข้าห้อง
ทำให้อวี่ซีไม่พอใจ “ทำไมหนูถึงได้รู้สึกว่าพี่เห็นเด็กผู้หญิงบ้านตระกูลอวิ๋นนั่นดีกว่าหนูล่ะ ใครเป็นน้องสาวพี่กันแน่”