0006 เด็กหนุ่มก้าวกระโดด

บทที่ 6 : เด็กหนุ่มผู้สง่างาม

ทางด้านอวิ๋นอี้ฟานเองก็กำลังดูรูปที่อวิ๋นตั่วเอามาให้ดู

“นี่ครูหลิวค่ะ”

อวิ๋นอี้ฟานดูเด็กหนุ่มในรูปแล้วก็รู้สึกแปลกใจ บนโลกใบนี้ยังคงมีเด็กหนุ่มที่มีความงามดูไม่ธรรมดาแบบนี้ด้วยเหรอ!

“ครูหลิวเก่งมากเลยค่ะ รู้ไปหมดทุกเรื่องเลย” สีหน้าของอวิ๋นตั่วเต็มไปด้วยความชื่นชม

“อวิ๋นตั่วเองก็จะเก่งมากเหมือนกันนะ” อี้ฟานว่า

“ทำไมล่ะคะ”

“อาจารย์ที่เก่งก็จะมีลูกศิษย์ที่เก่งอย่างไรล่ะ”

สาวน้อยรู้สึกว่าพ่อของพูดจามีเหตุผล

“ครูคนไหน ขอฉันดูหน่อยสิ” จ้าวเยว่พูดขึ้น วันนี้พ่อแม่ลูจากบ้านตระกูลสือสามคนมาเยี่ยมพวกเขาพอดี

ในมือของจ้าวเยว่ถือรูปถ่าย นั่งลงตรงหน้าของอี้ฟาน เมื่อเธอได้เห็นรูปแล้วก็แปลกใจ “เด็กคนนี้เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าในอนาคตจะต้องเป็นคนมีความสามารถมากแน่ๆ”

“เธอไปเป็นหมอดูตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” สือหยวนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นอย่างหยอกเย้า

ได้ยินเช่นนั้นชูยินก็หัวเราะพูดขึ้น “พี่ต้องเคยไปเรียนวิธีวิเคราะห์ใบหน้ามาแน่ๆ”

จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีจริงจังมาก “คนเก่งมักจะดูแตกต่าง เด็กแบบนี้แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา”

“คำพูดนี้มีเหตุผล แม้แต่ฉันยังต้องยอมรับเลย พออวิ๋นเฉียวไปยืนข้างๆ นี่เทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ” ชูยินว่า

เมื่ออวิ๋นเฉียวได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ “สไตล์ของเราสองคนแตกต่างกันจะตาย จะไปเทียบกันได้ยังไงล่ะครับแม่”

ได้ยินสองสาวคุยกันแล้ว สือหยวนก็รู้สึกสนใจจนต้องเอารูปมาดูบ้าง “หน้าตาคุ้นๆ นะ เขาชื่ออะไรน่ะ”

“หลิวอวี่เจ๋อ” อวิ๋นเฉียวว่า

“ใช่ เขานั่นแหละ!” สือหยวนร้องอุทาน

“ทำไม นายรู้จักเหรอ” อี้ฟานมองสือหยวนอย่างสนใจ น้อยครั้งนักที่ฝ่ายนั้นจะลืมตัวหลุดพูดออกมาเช่นนี้

“ไม่นับว่ารู้จักหรอก เพียงแค่เคยได้ยินชื่อสองสามครั้ง แม้จะยังเรียนอยู่มัธยม แต่เขาก็เขียนบทความที่มีความคิดสร้างสรรค์ไว้หลายบทความ ได้ยินว่าถูกเชิญไปบรรยายในมหาวิทยาลัยหลายครั้ง แต่เขาปฏิเสธ”

“ถ้านายพูดแบบนั้น ฉันคงต้องก็เห็นด้วยกับจ้าวเยว่จริงๆ แล้วล่ะ เด็กคนนี้ต้องอนาคตไกลแน่ๆ” อี้ฟานว่า “ฉันไม่เห็นด้วยกับความกระหายในความสำเร็จที่รวดเร็วเกินไปนัก ทั้งเด็กมหาลัย ทั้งคลาสอัฉริยะอะไรพวกนั้น ฉันยังคงเห็นด้วยกับคำที่ว่า ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามอยู่ การที่เด็กหนุ่มนั่นปฏิเสธโอกาสในการก้าวข้ามสู่ประตูมังกรครั้งแล้วครั้งเล่า แค่นั้นก็บอกได้แล้วว่าเจ้าตัวน่ะไม่ธรรมดา และมีปณิธานเป็นของตัวเอง”

“นายเข้าใจเรื่องการศึกษาดีขนาดนี้ ทำไมไม่เปิดโรงเรียนเองบ้างล่ะ” สือหยวนถามขึ้น

“การที่เปิดโรงเรียนมันไม่ใช่เรื่องที่คิดจะทำก็ทำได้ ความคิดของฉันบางทีก็ถ่ายทอดออกไปไม่ได้ บางอย่างก็ล้าสมัยเกินไป เพราะอย่างนั้นฉันจึงเลือกที่จะบริจาคเงินให้โรงเรียนดีๆ ที่มีชื่อเสียง เพื่อเป็นการสนับสนุนยกระดับพวกเขาไปอีกขั้นดีกว่า”

“นายนี่เพิ่มช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนซะจริงๆ คนรวยก็รวยขึ้นๆ คนจนก็จนลงๆ”

“ฉันก็มีความเห็นแก่ตัวบ้างเหมือนกันนะ ถึงยังไงลูกสองคนก็ไม่ได้มีใจอยู่กับการศึกษาอยู่แล้ว แต่ยังไงการเติบโตของพวกเขาก็หนีโรงเรียนไม่พ้น เพราะงั้นตอนนี้ก็ต้องใจกว้างกันหน่อย เพื่อเปิดทางให้อนาคตของพวกเขาน่ะ”

“เรื่องติดต่อโรงเรียนให้อวิ๋นเฉียวเป็นยังไงบ้าง” จู่ ๆ จ้าวเยว่ก็ถามขึ้น

“กำลังเลือกกันอยู่” ชูยินตอบ “ฉันเสนอว่าให้ส่งเขาไปอังกฤษ แต่อี้ฟานอยากให้เขาไปอเมริกา”

“แต่ผมไม่อยากไปไหนทั้งนั้น ผมอยากอยู่ที่นี่ ถ้าพ่อกับแม่อยากส่งใครสักคนไปต่างประเทศ งั้นก็ส่งน้องไปสิ” อวิ๋นเฉียวว่า

เมื่อได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้น อวิ๋นตั่วก็ย่ำเท้าไปมาอย่างไม่ยอม “หนูไม่ไป”

“น้องอายุยังน้อย เรายังไม่วางใจปล่อยไปตอนนี้หรอก รอให้โตอีกหน่อย น้องก็ต้องไปเหมือนกัน เพราะด้วยคะแนนของพวกลูกๆ ถ้าจะเข้ามหา’ลัยที่นี่ก็คงยาก”

“ไม่ยากสักหน่อย เข้ามหา’ลัยของลุงก็ได้”

“พูดแบบนี้แล้ว เหมือนมหา’ลัยของลุงเข้าง่ายมากเลยนะ” สือหยวนเอ่ยขึ้นบ้าง

“ดูสิ แม้แต่ลุงเขายังไม่อยากรับลูกเลย” ชูยินพูดหยอก

“เรื่องไปเรียนต่อต่างประเทศกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ออกไปเรียนรู้สักหน่อย ฉันก็ไม่วางใจยกธุรกิจให้เขาดูแล้ว” อี้ฟานว่า

จ้าวเยว่ถามต่อ “เรียนรู้ในประเทศไม่ได้หรือไง”

“หากเขาอยู่นี่ก็เอาแต่พึ่งคนนั้นทีคนนี้ที เที่ยวก่อความวุ่นวายไปทั่ว ไม่สนใจเรื่องเรียน”

“ใช่!” ชูยินเห็นด้วย “ถ้าลูกสองคนตั้งใจได้สักครึ่งของสือเหยียน แค่นี้ฉันก็ดีใจแล้ว”

อวิ๋นตั่วมองไปที่แม่ของตน ก่อนที่จะกอดรูปถ่ายแล้วหันหลังเดินขึ้นชั้นบนไป

“แม่ทำน้องโกรธแล้ว!” อวิ๋นเฉียวเตือนคนเป็นแม่