บทที่ 30

ตอนที่ 30 จุดจบผู้ยิ่งใหญ่

“เจ้าคิดว่าข้าอายุเท่าไหร่?” กล้ามเนื้อบนหน้าเขากระตุกเล็กน้อยพร้อมกับคำถามนอกเรื่อง

“ถ้าดูจากภายนอกน่าจะประมาณหกสิบกว่า แต่เมื่อท่านเอ่ยปากถามเช่นนี้ ข้าว่าอายุและหน้าตาของท่านน่าจะไม่เข้ากันอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้?” หานลี่เกิดความสงสัย แต่น้ำเสียงยังคงราบเรียบเหมือนเดิม

“จุ๊ๆ ไม่เสียแรงที่ฝึกวิชา ‘วสันต์ไร้สิ้นสุด’ ไม่คิดเลยว่าจะสามารถเปลี่ยนเด็กบ้านนอกคนนึงเป็นเด็กฉลาดมีไหวพริบได้ถึงเพียงนี้!” ท่านหมอม่อเอ่ยปากชมไม่หยุด เขาใช้แววตาที่อบอุ่นมองมายังหานลี่

“เจ้าเดาได้ไม่เลว แต่ปีนี้ข้าเพิ่งจะอายุสามสิบเจ็ด” ตัวเลขที่ทำให้เขาไม่อาจเชื่อหลุดออกจากปากท่านหมอม่อ

“เป็นไปไม่ได้” หานลี่ตกใจจนเก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่

“เป็นไปไม่ได้! อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้! ทุกคนที่เห็นข้า อย่าว่าแต่หกสิบเลย แม้บอกว่าเจ็ดสิบก็ไม่มีใครสงสัย” น้ำเสียงของท่านหมอม่อสูงและแหลมขึ้น ทำให้หานลี่ทั้งแสบหูทั้งทรมานเหมือนเข้าไปกระตุ้นส่วนที่เจ็บสุดในใจเขา

“ข้าม่อจวีเหริน หลายปีก่อนมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธจักรเขตหลานโจวแห่งแคว้นเยว่ ข้าสร้างอาณาเขตของตัวเองด้วยมือเปล่า หึ! หลานโจวในตอนนั้น ไม่มีใครไม่รู้จัก ‘หัตถ์ปีศาจ’ อย่างข้า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาวหรือดำ เป็นมิตรกับข้าก็รอด เป็นศัตรูก็ตาย” ท่านหมอม่อเล่าเรื่องราวของตัวเองด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ นัยน์ตาแหลมคมเปล่งประกายราวกับเขาย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่มีอำนาจอยู่ในมือ

เมื่อฟังคำบอกเล่าของท่าหมอม่อ หานลี่แอบประหลาดใจอยู่ลึกๆ คิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ของเขามีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้

“น่าเสียดายที่ภาพอันสวยงามเหล่านั้นไม่อาจอยู่ยืนยาวนัก ในช่วงวัยกลางคนขณะที่ข้าตั้งใจแสดงฝีมือมากขึ้น ข้าถูกคนที่ไว้ใจใช้วิธีเหี้ยมโหดลอบทำร้าย แม้ว่าข้าจะเป็นหมอที่เก่งกาจ ข้าก็ทำได้แค่ไม่ให้อาการกำเริบ วิทยายุทธ์ของข้าก็ลดลงมากจนไม่สามารถอยู่ในสถานะเดิมได้ เพื่อไม่ให้ศัตรูตามมาทำร้าย ข้าจึงต้องจำยอมละทิ้งชื่อเสียงและครอบครัวไว้เบื้องหลัง ออกเสาะหาสถานที่ใหม่ในแคว้นเยว่ หวังที่จะหาหนทางฟื้นคืนกำลังยุทธ์” ขณะที่กำลังเล่าความหลัง เขาเหมือนดิ่งเข้าสู่เรื่องราวในอดีต มือทั้งสองกำหมัดไว้แน่นจนเล็บฝังลึกเข้าไปในฝ่ามือและเลือดก็หลั่งไหลออกมา แต่เขาเหมือนจะไม่รู้ตัว สีหน้าของเขาแสดงความเคียดแค้นที่ใครเห็นต่างก็หวาดกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะเกลียดคนลงมือทำร้ายเขาเข้ากระดูกดำ

ฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง หานลี่ก็ขนลุกตั้งไปทั้งตัว ในใจรู้สึกเย็นยะเยือก

“สวรรค์มีตา ในที่สุดข้าก็ได้ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งในที่ลึกลับเข้าโดยบังเอิญ มันเป็นหนังสือที่แปลกและลึกซึ้งมาก ข้าต้องเปลืองแรงไปมากกว่าจะเข้าใจในบางส่วน ในที่สุดก็ค้นพบเคล็ดลับที่ทำให้ฟื้นคืนกำลังและตัดสินใจทำตามวิธีที่เขียนไว้ ผลคือ..” ท่านหมอม่อหยุดไปสักพักและไม่ได้พูดต่อในทันที แต่สีหน้าดูแว่บเดียวก็รู้ว่าโกรธเคืองปนเสียใจ

“ผลคือท่านกลายสภาพเป็นเช่นนี้” หานลี่พูดแทนเขาจนจบ

“ถูกต้อง คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่ฝึก วิทยายุทธ์ของข้าก็กลับมาเหมือนเดิม แต่ร่างกายกลับชราลงอย่างรวดเร็วจนมีสภาพครึ่งผีครึ่งคนอย่างที่เห็น” ท่านหมอม่อพยักหน้าอย่างเศร้าสร้อย ไม่ได้โกรธที่หานลี่พูดเหน็บแนม

“บัดนี้ท่านรู้สาเหตุแล้วสินะ”

“เพราะว่าข้าฝึกไม่ถูกต้องเลยทำให้พลังมารเข้าแทรก ตอนนี้ชีวิตข้าหนึ่งวันเท่ากับคนธรรมดาสิบวัน มันดูดกลืนชีวิตข้าทุกวินาที โชคดีที่ข้าเชี่ยวชาญการใช้ยาบำรุง ทั้งยังปรุงยาลึกลับตามที่เขียนในหนังสือ สองสามปีมานี้เลยชะลอความแก่ได้จนถึงตอนนี้”

“แล้วบทท่องที่ข้าฝึกกับหนทางแก้ปัญหาของท่านมีความเกี่ยวพันกันอย่างไร” หานลี่ถามโพล่งออกไปตรงๆ

“หลังจากที่ข้ากลายสภาพไม่นาน ข้าค้นเจอวิธีรักษาจากหนังสือเล่มนั้น เคล็ดวิชา ‘วสันต์ไร้สิ้นสุด’ ที่เจ้าฝึกอยู่นี้ แค่มีคนที่ฝึกถึงขั้นสี่มาช่วยเดินลมปราณขับจุดลับนั้นได้ ข้าก็จะหลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ ค้นหาวิญญาณที่หายไปกลับคืนมา”

“ทำไมต้องเป็นข้า หาใครสักคนมาฝึกไม่ได้หรือ?” หานลี่บ่นพึมพำและย้อนถามสิ่งที่ค้างคาใจ

“เจ้าคิดว่าวิชา ‘วสันต์ไร้สิ้นสุด’ ใครคนไหนก็ฝึกได้หรือ? บทท่องนี้ผู้ฝึกไม่เพียงแต่ต้องเป็นเด็กหนุ่ม แต่ยังต้องมี ‘รากวิญญาณ’ อยู่ในตัวด้วย แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่า ‘รากวิญญาณ’ คืออะไร แต่ก่อนเจอเจ้าข้าก็ได้ค้นหาเด็กร้อยกว่าคนมาแล้ว และไม่มีใครสามารถฝึกวิชาวสันต์ไร้สิ้นสุดนี้ได้” ท่านหมอม่อแสดงอารมณ์โมโห

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือนี่?” หานลี่ตะลึงเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าบทท่องนั้นจะฝึกลำบากเช่นนี้

“หลายปีมานี้ข้าคิดว่าไม่สามารถหาคนมาฝึกมันได้แล้วจึงเริ่มออกเร่ร่อนไปทั่วยุทธภพ คิดไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญได้พบกับเจ้าสำนักสัตตทมิฬที่โดนลอบทำร้ายเหมือนกับข้า ด้วยความที่เห็นใจจึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จากนั้นก็จับพลัดจับผลูได้มาเป็นผู้บูชาของสำนัก ข้าปกปิดชื่อเสียงเรียงนามและมาใช้บั้นปลายชีวิตอยู่บนเขาแห่งนี้ หึหึ แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เดิมทีเกรงว่าวิชาการรักษาของข้าจะไร้ผู้สืบทอด จึงรับพวกเจ้าทั้งสองเข้ามาเป็นศิษย์ในหุบหัตถ์เทวา ตั้งใจถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าสามารถฝึกเคล็ดวิชานี้ได้ ฮ่าฮ่า! สวรรค์ช่วยหาทางออกให้ได้เสมอจริงๆ!”

แค่ครู่เดียวท่านหมอม่อก็ไขข้อสงสัยทั้งหมดที่มี ใบหน้าแดงก่ำไปทั่ว ดูเหมือนว่าเขาจะพอใจกับความโชคดีครั้งนี้เสียเหลือเกิน

“ข้ายังฝึกวิชา ‘วสันต์ไร้สิ้นสุด’ ไม่ถึงขั้นสี่ เหตุใดเวลานี้ท่านต้องจี้จุดและบอกความจริงทุกอย่างกับข้า?” ในที่สุดหานลี่ก็ถามสิ่งที่เขาสนใจที่สุด

“คงต้องโทษตัวเจ้าเอง ข้าลงทุนลงแรงทุกอย่างไว้ที่เจ้า แต่เจ้าก็ยังทำให้ข้าไม่พอใจ ยังคอยเล่นลูกไม้กับข้าอยู่เสมอ ตอนนี้เหลืออีกแค่นิดเดียว แต่ก็ยังไม่คืบหน้า เดิมทีข้าตั้งใจจะรออีกสักสองปี แต่การลงเขาครั้งนี้ ข้าถูกศัตรูเจอตัวเข้า หลังจากการต่อสู้ แม้ว่าจะสังหารอีกฝ่ายลงได้ แต่ข้าก็ใช้กำลังที่เหลืออยู่ไปเกือบหมดจนพลังชีวิตเหลือน้อยเต็มที และถึงข้าจะพยายามสุดความสามารถอย่างไรก็สามารถยืดได้อีกแค่ปีเดียวเท่านั้น เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร?” สีหน้าดีใจเมื่อกี้หายไปจนหมดคงไว้แค่ความโหดร้ายบนใบหน้า และท้ายสุดเขาก็คำรามใส่หานลี่

หลังจากที่หานลี่ฟังจบ ใบหน้าของเขาก็ยังปกติไม่มีสีหน้าตกใจแม้แต่น้อย

แต่ในใจกลับร้อนรนเหมือนคลื่นโหมกระหน่ำ แตกต่างจากสีหน้าที่นิ่งราวกับคลื่นที่เงียบสงบ

แม้ว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงแผนการลึกๆ ของท่านหมอม่อมาได้สักพัก แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีเบื้องหลังที่ซับซ้อนถึงเพียงนี้ ทั้งเรื่องชาติกำเนิด สิ่งที่ต้องเผชิญ บทท่องนิรนามล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาไม่ถึงทั้งนั้น