ตอนที่ 29 ความขัดแย้ง
ใบหน้าของท่านหมอม่อไร้ซึ่งอารมณ์ นัยน์ตาหรี่เล็กลง มือหนึ่งแตะอยู่บนข้อมือของหานลี่
สมาธิของเขาทั้งหมดอยู่ที่พลังลมปราณแท้ในร่างกายของหานลี่ ไม่แม้กระทั่งเอ่ยคำใด
หลังจากผ่านไปได้สักพัก เขาถึงถอนหายใจยาวเหมือนเอาความอึดอัดออกมาด้วย ทันใดนั้นเขาเบิกตากว้าง แววตาสะท้อนจากนัยน์ตาเล็กๆ ของเขาทำให้หานลี่หวาดกลัว
สีหน้าของเขาดูแย่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจหานลี่ แต่ก็ไม่มีคำตำหนิใดๆ ออกมา
เขาโบกมือให้อย่างเย็นชาเพื่อบอกให้หานลี่เดินตามเขาไป
หานลี่เดินตามหลังท่านหมอม่ออย่างเชื่อฟัง แม้ว่าเขาจะสนใจในบุคคลลึกลับที่อยู่ด้านข้าง แต่เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาซักถาม
หลังจากที่เข้าไปในห้อง ท่านหมอม่อก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า หลังพิงติดกับพนักเก้าอี้ แววตาเมื่อสักครู่หายไปกลับมาดูเหมือนคนป่วยอีกครั้ง
บุคคลลึกลับตามหลังท่านหมอม่อไม่ห่าง หลังจากที่ท่านหมอม่อนั่งลงบนเก้าอี้ เขาก็ไปยืนอยู่ด้านหลังไม่ขยับไปไหน
หานลี่รับรู้ได้ว่าท่านหมอม่อกำลังไม่พอใจ และปิดปากเงียบตามบุคคลลึกลับคนนั้น เขาเดินเข้าไปกลางห้อง หันหน้าไปทางท่านหมอม่อและก้มหน้าลง เขารอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากถาม
ผ่านไปสักครู่ใหญ่ก็ไม่มีใครเอ่ยคำใด หานลี่รู้สึกแปลกใจ เก็บความอยากรู้ไม่ไหว จึงแอบเงยหน้ามองท่านหมอม่อแวบนึง
“อยากมองก็มอง ทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ” เขาเงยหน้าได้ครึ่งนึง น้ำเสียงเคร่งขรึมของท่านหมอม่อก็ดังขึ้นมา
หานลี่ตกใจอยู่สักพักก็แหงนหน้าขึ้น สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของท่านหมอม่อ จากนั้นก็ก้มลงเหมือนเดิม
สีหน้าของหานลี่ยังคงนิ่ง แต่ในใจกลับเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
ใบหน้าของท่านหมอม่อทำไมดูแปลกประหลาดเช่นนั้น มันเหมือนมีพลังความมืดบางอย่างสะท้อนออกมา พลังความมืดที่เหมือนมีชีวิตปรากฎอยู่บนใบหน้าของเขา สิ่งที่ทำให้หานลี่ยิ่งตกใจคือ ใบหน้าที่ไม่เคยเปลี่ยนของท่านหมอม่อกลับเผยให้เห็นความเหี้ยมโหดเหมือนตั้งใจใช้สายตามุ่งร้ายมองมายังหานลี่ มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา
หานลี่รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัย อารมณ์ของเขาแปรปรวน บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตแผ่กระจายอยู่
หานลี่ถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างระวัง มือสอดเข้าไปจับแท่งเหล็กในแขนเสื้อและพยายามผ่อนคลายอารมณ์ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันของท่านหมอม่อลอยมาข้างหู
“ความฉลาดแค่นั้น เจ้ากล้าเอามาหลอกข้ารึ?”
ท่านหมอม่อเริ่มขยับตัวจากนั่งมาเป็นยืน เขาหัวเราะและเริ่มเคลื่อนไหว เขาดูเหมือนวิญญาณที่ขยับเข้ามาด้านข้างพร้อมมองมายังหานลี่ที่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้
สีหน้าของหานลี่เปลี่ยน เขาดูท่าไม่ดีจึงรีบยกแขนขึ้นอย่างร้อนรน แต่ร่างกายของเขากลับรู้สึกชาจนขยับตัวไม่ได้
นาทีนี้เขาถึงได้รู้ว่านิ้วของอีกฝ่ายจี้เข้าบนจุดเลือดลมตรงหน้าอกของเขาแล้ว
รวดเร็วมากจนเขาไม่รู้สึกสักนิดว่าอีกฝ่ายลงมือไปแล้ว
“ท่านอาจารย์ม่อ นี่ท่านกำลังทำอะไร? ศิษย์ทำผิดตรงไหน ท่านได้โปรดชี้แนะ ทำไมต้องจี้ปิดจุดข้าด้วย?” เวลานี้หานลี่ทำเป็นไม่สะทกสะท้านไม่ได้แล้ว เขาฝืนยิ้มและเอ่ยถามท่านหมอม่อ
ท่านหมอม่อนิ่งเงียบและใช้มือทุบเข้าที่ด้านหลังของตัวเอง กระแอมไอเล็กน้อยทำท่าทางเหมือนคนแก่ไร้เรี่ยวแรง
แต่หานลี่เพิ่งจะได้เห็นท่าทางอันว่องไวที่เข้ามาสะกดจุดของเขา แล้วจะมองท่านหมอม่อเป็นแค่คนแก่ป่วยหนักธรรมดาได้ยังไง ความเสแสร้งของท่านหมอม่อยิ่งทำให้หานลี่ระวังตัวมากขึ้น
“ท่านหมอม่อ ท่านอยู่ในฐานะอะไร ทำไมจะต้องถือสาศิษย์อย่างข้า คลายจุดให้ข้าเถอะ ถ้าจะลงโทษศิษย์อย่างข้าก็พร้อมยอมรับแต่โดยดี”
หานลี่ใช้คำประจบประแจงและน่าฟัง
แต่เหมือนว่าท่านหมอม่อไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เขายื่นมือหยิบแท่งเหล็กนั้นออกมาจากแขนเสื้อหานลี่มาถือไว้ในมือ จากนั้นก็ใช้สายตาที่เย้ยหยันมองลงมาที่เขา
หานลี่เห็นเช่นนั้น ใจก็ตกไปถึงตาตุ่ม ความคิดจะใช้ถ้อยคำไพเราะพูดให้อีกฝ่ายใจอ่อนถูกตัดบทไป
ดูจากท่าทางของอีกฝ่าย เหมือนเขาจะไม่ให้โอกาสหานลี่แม้สักนิด
หานลี่ปิดปากเงียบสนิท สีหน้าเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ ใช้สายตาที่ไร้ความรู้สึกมองไปยังท่านหมอม่อ
ณ ช่วงเวลานั้นสิ่งทุกอย่างในห้องดูเหมือนจะเงียบสนิทเหมือนก่อนที่พายุลูกใหญ่กำลังจะถาโถมเข้ามา
“ดี! ดี! ดี!” คำว่า ‘ดี’ ติดต่อกันสามครั้งออกจากปากของท่านหมอม่อ
“ไม่เสียทีที่เป็นคนที่ข้าม่อจวีเหรินหมายตาไว้ ตอนนี้สามารถแสดงสีหน้าไร้อารมณ์ได้แล้ว ใจนิ่งแม้ต้องเผชิญอันตราย คุ้มกับที่ข้าทุ่มเทไปกับเจ้าไว้มาก” จู่ๆ เขาก็ชื่นชมหานลี่ขึ้นมา
“ตกลงท่านจะลงโทษข้าอย่างไร?” หานลี่ไม่ได้ตอบกลับท่านหมอม่อและย้อนถามกลับแทน
“ลงโทษเจ้าอย่างไร? ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าแสดงออกอย่างไร?”
“หมายความว่าอย่างไร?” หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พอจะเดาความคิดของอีกฝ่ายได้
“ถึงข้าไม่พูด คนฉลาดอย่างเจ้าก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากไม่ใช่หรือ?”
“ก็แค่บางส่วน แต่ยังไม่เข้าใจความเป็นไปทั้งเหตุและผล” หานลี่ไม่ปฏิเสธก็ถือว่ายอมรับไปโดยปริยาย
“เยี่ยมมาก เจ้าทำถูกแล้ว มีอะไรสงสัยก็ถามข้า อย่ามัวเก็บเอาไว้อยู่” ท่านหมอม่ออมยิ้มอย่างมีเลศนัย กลิ่นอายชั่วร้ายที่เหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกหลายชั้นสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่ร้ายกาจมากกว่าเดิม
“ข้ารู้ว่าเจ้าระวังตัวจากข้าและไม่ได้มองว่าข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า แต่ไม่เป็นไรข้าเองก็ไม่ได้มองว่าเจ้าเป็นศิษย์ของข้าเช่นกัน” ท่านหมอม่อพูดด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด