บทที่ 28

ตอนที่ 28 การกลับมาของท่านหมอม่อ

หานลี่เดิมทีไม่ตั้งใจจะปรุงยาสองตัวหลังที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฝึก แต่หลังจากเขาใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว ไม่ว่ายังไงเขาก็ถือว่าเป็นคนในยุทธภพแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าวันใดจะมีภัยมาถึงตัว หรือถูกลากเข้าสู่การต่อสู้ในยุทธภพหรือไม่ เตรียมยาเหล่านี้ไว้ก่อนล่วงหน้าจะดีกว่า เกิดวันใดเขาถูกพิษหรือได้รับบาดเจ็บและมาตายเพราะไม่มียารักษา มันก็ไม่ยุติธรรมน่ะสิ!

หลังจากที่คิดได้เช่นนั้น หานลี่จึงปรุงยาสองชนิดขึ้นในปริมาณน้อย พกไว้ติดตัวยามจำเป็น ถึงอย่างไรคนเราก็มีแค่หนึ่งชีวิต หานลี่ไม่อยากจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย

ถึงแม้ว่าทำเช่นนั้นจะส่งผลต่อปริมาณยาอีกสองชนิดและทำให้การฝึกบทท่องนิรนามช้าลงไปบ้าง แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์ไปทุกเรื่อง บางเวลาก็ต้องรู้จักการปล่อยวางเสียบ้าง

วันที่หานลี่ปรุงยาเสร็จ เขาก็เริ่มกินยาตามตำรับโดยกิน ‘ยามังกรเหลือง’ และ ‘ยากระดูกทอง’ อย่างละหนึ่งเม็ด ทั้งสองสมแล้วที่เป็นยาในตำนาน ด้วยฤทธิ์ยาที่รุนแรงเขาก็สามารถฝึกสำเร็จถึงขั้นสี่ได้ในคืนนั้น

ทันทีที่สำเร็จถึงขั้นสี่ หานลี่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างชัดเจน สัญชาตญาณของเขา ‘รุนแรง’ ขึ้นจนน่าประหลาดใจ ทุกสิ่งอย่างตรงหน้าเริ่มชัดเจนมากขึ้น สิ่งเล็กน้อยที่เดิมทีมองไม่เห็นก็ดูขยายใหญ่ขึ้น แม้แต่ใยแมงมุมเส้นเล็กๆ ตรงมุมห้องเขาก็เห็นได้ชัดเจน หูของเขารับเสียงได้ว่องไวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เคยได้ยินหรือไม่เคยได้ยินเขาก็รับรู้ได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น เสียงคลานของไส้เดือนที่อยู่ห่างไปสามสิบกว่าเมตรหรือเสียงหึ่งๆ ของแมลงที่บินอยู่นอกห้องเป็นต้น เสียงเหล่านี้เหมือนดังอยู่ข้างหูเขาอย่างไรอย่างนั้น นอกจากนั้น กลิ่นแปลกๆ ที่เขารับรู้ได้ ทำให้หานลี่รู้ว่าการรับกลิ่นของเขาก็ต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง

หานลี่ทั้งตกใจทั้งดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าไม่ได้ใช้เวลาฝึกไปโดยเปล่าประโยชน์ ความรู้สึกที่แตกต่างนี้ทำให้รู้ว่าบทท่องนี้ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ แต่มันมีเอกลักษณ์ในตัวมันเอง

แม้ว่าการฝึกแต่ละขั้นก่อนหน้านี้จะช่วยให้เพิ่มสัญชาติญาณให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงชัดเจนเหมือนขั้นสี่ มันทำให้เปลี่ยนไปมากราวกับว่าเป็นคนละคน

นอกจากนั้น เขายังรู้สึกว่าร่างกายมีความคล่องแคล่วมากขึ้นกว่าเก่า จิตใจได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ตอนนี้หานลี่ไม่ต้องนอนสามวันห้าวัน คาดว่าก็คงไม่มีปัญหาอะไร

หานลี่ลิ้มรสความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา เขาแค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมก็สามารถรับรู้ถึงเรื่องน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นในระยะสามสิบเมตรได้ ความรู้สึกนี้ทำให้หานลี่ลุ่มหลงอยู่ไม่น้อย

ตอนนี้เขารู้แล้วว่า การฝึกถึงขั้นสี่ถึงจะเป็นความสำเร็จที่แท้จริง

เขาอดที่จะคิดต่อไม่ได้ว่า แค่ขั้นสี่ก็ทำให้คนรู้สึกลืมไม่ลงได้ถึงเพียงนี้! แล้วขั้นห้าขั้นหกจะให้ความรู้สึกอัศจรรย์ถึงเพียงไหน!

หลังจากที่หานลี่สัมผัสถึงความยอดเยี่ยมของการฝึกสำเร็จได้ไม่นาน ท่านหมอม่อ ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ของเขาก็กลับมา และยังนำบุคคลลึกลับคนหนึ่งกลับมาด้วย

ขณะที่ท่านหมอม่อเพิ่งเดินเข้าหุบเขาหัตถ์เทวา หานลี่ก็ได้ยินเสียงไอที่คุ้นเคยอยู่ไกลๆ ตอนนั้นเขากำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องถ้ำหิน พยายามที่จะให้ผ่านอีกขั้นในเร็ววัน แต่หลังจากที่ได้ยินเสียงท่านหมอม่อ เขาก็รีบดึงลมปราณเก็บเข้าที่และออกจากห้องตรงไปยังทางเข้าหุบเพื่อคารวะท่านอาจารย์ที่ไม่ได้พบมาเกือบปี ผลคือเขาพบท่านหมอม่อไม่ไกลจากทางเข้ามากนัก

ทันทีที่เห็นท่านหมอม่อ หานลี่ต้องสะดุ้งเฮือก ท่านหมอม่อยังเป็นท่านหมอม่อคนเดิม แต่เมื่อมองเข้าไปในนัยน์ตาเขาจะเห็นได้ว่าเขาดูซีดเซียว แม้ว่าเมื่อก่อนใบหน้าเขาจะดูป่วย แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงราวกับคนใกล้ตายเช่นนี้

ยิ่งทำให้หานลี่ตกใจคือบุคคลลึกลับที่เดินอยู่หลังเขา เขาสวมผ้าคลุมสีดำและร่างถูกปกคลุมด้วยชุดสีเขียวหลวมๆ คลุมมิดชิด ไม่เห็นผิวหนังเลยสักนิด ร่างกายของเขาสูงใหญ่กว่าหานลี่มาก มีรูปร่างเหมือนเทพอสูร แต่เพราะสวมผ้าคลุม หานลี่จึงไม่สามารถเห็นหน้าตาเขาได้ชัด แค่แอบรู้สึกว่ามันจะต้องดุร้ายดูน่าเกลียดน่ากลัวเป็นแน่

หานลี่เก็บความสงสัยนั้นไว้ รีบมุ่งเข้าไปคารวะท่านหมอม่อ จากนั้นก็ยืนอยู่ด้านข้างรอฟังคำพูดจากท่านหมอม่อ

เขารู้ดีว่า ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้สนใจว่าศิษย์คนนี้จะคารวะและเคารพตัวเองหรือไม่ แต่ในฐานะที่เขาเป็นศิษย์ก็จะต้องปฏิบัติในสิ่งที่ศิษย์จำเป็นต้องทำ จะละเลยไม่ได้ ยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาดื้อรั้น ก็จะยิ่งทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น

ที่ผ่านมาจากที่ท่านหมอม่อสนใจในการฝึกของเขา ทำให้หานลี่เดาได้ว่าท่านหมอม่อต้องเอ่ยปากถามถึงเรื่องการฝึกเพื่อดูความคืบหน้าของเขาเป็นแน่

และเป็นอย่างที่คิดไว้ ทันทีที่ท่านหมอม่อเห็นหานลี่ออกมาต้อนรับ เขาก็หยุดชะงักเล็กน้อย กระแอมไอสองครั้ง ก่อนที่จะเอ่ยปากถามอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า

“การฝึกเป็นอย่างไรบ้าง? มีความคืบหน้าบ้างหรือไม่?” สีหน้าดูร้อนรนและเฝ้ารอคำตอบ

หานลี่คิดไว้ก่อนหน้านี้ เขาจึงเตรียมคำตอบมาแล้วเรียบร้อย

“ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก” หานลี่ตั้งใจที่จะไม่พูดความจริงเพราะเขาไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เป็นไปได้ยังไงที่ไม่มีตัวช่วย แต่สามารถฝึกสำเร็จถึงขั้นสี่ได้

“ยื่นมือของเจ้าออกมา” ท่านหมอม่อหน้านิ่งลงทันที น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง

หลังจากหานลี่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของท่านหมอม่อ ในใจเขาก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา

แต่เขาไม่กลัวที่ต้องให้อีกฝ่ายจับชีพจรเพื่อตรวจดูลมปราณแท้ภายในของเขา เพราะว่าเมื่อเข้าถึงขั้นสี่ หานลี่ค้นพบว่าตัวเองสามารถควบคุมความหนักเบาของลมปราณแท้แปลกๆ ในร่างกายได้โดยบังเอิญ เขาสามารถควบคุมลมปราณแท้ให้อยู่ในขั้นสามได้และสามารถปิดบังโดยไม่ต้องกลัวว่าท่านหมอม่อจะค้นเจอ