บทที่ 27

ตอนที่ 27 ปรุงยา

ก่อนที่ท่านหมอม่อจะกลับขึ้นมา หานลี่รู้ว่าสามารถใช้ขวดในหุบหัตถ์เทวาได้อย่างปลอดภัย เพราะทั้งหุบตอนนี้มีแค่เขาคนเดียว ปกติก็จะไม่มีคนนอกเข้ามา นั่นคือจะไม่เกิดข้อผิดพลาดและสามารถใช้มันได้อย่างวางใจ

หานลี่นั่งคำนวนเวลาที่ท่านหมอม่อจะกลับมา เขาเดาว่าท่านหมอม่อไม่น่าจะหาสมุนไพรดีๆได้บริเวณใกล้ๆนี้และต้องไปหาที่ค่อนข้างไกล เป็นไปได้ว่าคงจะเข้าไปในป่าลึกที่ไม่ค่อยมีคน มีเพียงแต่สถานที่ที่ห่างไกลถึงจะเก็บสมุนไพรหายากเหล่านี้ได้ แต่ระยะทางไปกลับและค้นหาก็ต้องใช้เวลาเกือบปีกว่าจะได้กลับขึ้นมาบนเขา

ท่านหมอม่อลงจากเขาไปเกือบครึ่งปี คาดว่าคงจะกลับสำนักสัตตทมิฬในอีกหกเจ็ดเดือน ช่วงก่อนที่เขาจะกลับมา หานลี่จะต้องเร่งสมุนไพรที่ต้องใช้ให้โตไวขึ้น เขาต้องรู้สมุนไพรที่ใช้ในตำรับปรุงยาหายากของเขาและจะมัวเดาสุ่มสิ้นเปลืองของเหลวสีเขียวนั้นอีกไม่ได้

หานลี่เตรียมปรุงยาบำรุงกำลังที่ท่านหมอม่อเคยคิดค้นไว้ แต่ก็ไม่เคยรวบรวมสมุนไพรชั้นเลิศที่ต้องใช้ได้ครบ สมุนไพรที่ทำให้ชาวบ้านธรรมดาสิ้นเนื้อประดาตัวและเป็นสิ่งล้ำค่าที่คนในยุทธภพแย่งชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

แม้แต่ผู้มีฝืออย่างท่านหมอม่อก็ยังไม่เคยเห็นส่วนผสมหนึ่งในตำรับยานั้น ลงมือปรุงยายิ่งเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าท่านหมอม่อจะรู้ขั้นตอนการปรุงยาวิเศษเหล่านี้ แต่เขาไม่มีส่วนผสมอยู่ในมือจึงทำได้แค่นั่งถอนใจ

เมื่อขณะที่หานลี่เรียนการรักษากับท่านหมอม่อ เขาสนใจในตำรับยาหายากเหล่านี้มาก ถึงแม้เขาจะไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะปรุงยาอันล้ำค่านี้ได้ แต่ก็ยังจดสูตรยาไว้อยู่ไม่น้อย ท่านหมอม่อไม่ได้มีท่าทีสนใจต่อการตั้งใจเรียนตำรับยาของเขาเท่าไหร่ แค่หานลี่ถามขึ้น เขาก็จะตอบอย่างละเอียด ไม่ปิดบังเลยสักนิด เหมือนท่านหมอม่อจะคิดว่า ตำรับยาเหล่านี้ก็เหมือนซี่โครงไก่ที่กินเข้าไปก็ไม่รู้รส แต่จะโยนทิ้งก็เสียดาย

ตอนนี้ตำรับยากลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตเขาไปเสียแล้ว เขาใส่ยาเร่งสมุนไพรที่ต้องการตามชนิดและอายุที่จดไว้อย่างตั้งใจ ไม่กล้าให้ผิดพลาดแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว เขาจะต้องปรุงยาให้เสร็จก่อนที่ท่านหมอม่อจะกลับมา จากนั้นก็จะเก็บมันไว้อย่างมิดชิดและไม่นำมันออกมาใช้พร่ำเพรื่ออีก

หานลี่ไม่มั่นใจว่าเขาว่าจะใช้ขวดต่อหน้าท่านหมอม่อได้โดยไม่เผยไต๋ออกมา เพราะเขารู้ดีว่าท่านหมอม่อเป็นคนที่ฉลาดรอบคอบขนาดไหน และเขาก็ไม่มีความคิดจะบอกความลับขวดนี้ให้แก่ท่านหมอม่อเลยสักนิด

หานลี่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเขาและท่านหมอม่อดูแปลกพิกล ไม่ใช่เป็นความสัมพันธ์แค่อาจารย์และศิษย์ทั่วไป

ท่านหมอม่อมักจะใช้สายตาบางอย่างมองมาที่เขา มันทำให้หานลี่รู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามมีความลับที่คิดไม่ซื่อต่อเขาซ่อนอยู่ โดยเฉพาะสองปีมานี้ ความรู้สึกนี้ของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างหานลี่และท่านหมอม่อไม่สามารถสนิทสนมได้เหมือนอาจารย์และศิษย์ทั่วไป

จริงๆ ท่านหมอม่อดีต่อเขาไม่น้อย ไม่เคยแม้แต่ใช้กำลังหรือด่าทอรุนแรงมาก่อน เรื่องการฝึกฝนบทท่องนิรนามก็ช่วยเขาจัดเตรียมทุกอย่างอย่างสุดกำลัง แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขากลับเหมือนมีแผ่นบางๆ กั้นอยู่จึงทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้น

ท่านหมอม่อรับรู้ได้ถึงรอยร้าวระหว่างพวกเขา แต่เขาก็ไม่มีทีท่าจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น เขายังคงทำในสิ่งที่ต้องทำ นั่นคือเร่งความคืบหน้าในการฝึกของหานลี่ แต่เมื่อเขามองมาที่หานลี่ สายตาแปลกๆ คู่เดิมดูเหมือนจะค่อยๆ ลดน้อยลง ถึงขั้นไม่แสดงออกมาได้สักระยะแล้ว

แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า อีกฝ่ายยังไม่ได้ละทิ้งแผนการนั้นไป แต่แค่พยายามปกปิดความต้องการนัั้นเอาไว้ เพื่อให้ทั้งสองได้ระวังตัวมากขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้เขาจะกล้าบอกความลับต่อท่านหมอม่อได้อย่างไรกัน!

หานลี่ได้รู้กฎเหล็กข้อหนึ่งจากหนังสือประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ว่า ‘จงอย่ามีใจคิดร้ายต่อผู้อื่น แต่จงมีใจระวังภัยจากผู้อื่น’

ไม่ว่าท่านหมอม่อจะมีใจคิดร้ายต่อเขาหรือเขาแค่คิดไปเอง แต่การระวังตัวมากขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ถ้าท่านหมอม่อมีใจคิดไม่ซื่อต่อเขาจริง เขาป้องกันตัวมากขึ้นก็เพื่อไม่ให้ตัวเองได้รับอันตราย ถ้าสัญชาตญาณเขาผิด ถือว่าการทำให้ตัวเองตื่นตัวมากขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ถูก เขาไม่มีทางทำเรื่องเนรคุณอาจารย์เป็นแน่ เขาหานลี่ยังคงเป็นศิษย์ที่ดีของท่านหมอม่อและจะกตัญญูต่ออาจารย์เท่าที่ศิษย์คนนึงจะทำได้

หานลี่คิดมาถึงตรงนี้ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ของพวกเขาแปลกมาก ในสำนักสัตตทมิฬเรียกว่ามีแค่พวกเขาหนึ่งเดียวก็ว่าได้ ทำให้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

แน่นอนว่าเขาใช้ขวดใบนั้นไม่ได้หลังจากที่ท่านหมอม่อกลับมา ใครๆ ก็รู้ว่าความลับไม่มีในโลก แม้ว่าจะโชคดีไม่ถูกท่านหมอม่อพบ แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจถูกคนอื่นในสำนักมารู้ความลับเข้า เก็บมันเอาไว้ถือว่าปลอดภัยที่สุดและทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

หานลี่คิดทุกอย่างไว้อย่างดี เขาตัดสินใจเก็บความลับเรื่องขวดนี้ไว้และจะไม่นำออกมาใช้พร่ำเพรื่อ คิดได้เช่นนั้นเขาก็รู้สึกเบาใจจากนั้นจึงค่อยๆ ผล็อยหลับไป

ไม่กี่เดือนต่อมา หานลี่แอบใช้ของเหลวสีเขียวเร่งสมุนไพรหลายชนิดให้โตไวขึัน เขาใช้พวกมันปรุงยาตามตำราจนได้ตัวยาพิเศษมากมาย แต่เขาก็ล้มเหลวหลายครั้งกว่าจะสำเร็จ ทุกครั้งที่ล้มเหลวทำให้หานลี่รู้สึกปวดใจอยู่นาน เพราะสมุนไพรที่นำมาใช้แต่ละตัวล้วนแต่เป็นของชั้นเลิศหายาก ล้มเหลวหนึ่งครั้งก็เท่ากับว่าเสียเปล่า แต่ก็โทษเขาไม่ได้หนอก ตำรับยาเหล่านี้ใครได้ปรุงครั้งแรกก็ต้องล้มเหลวกันทั้งนั้น แม้แต่ท่านหมอม่อลงมือเองก็ยังผิดพลาดอยู่ครั้งสองครั้งเลย หานลี่ปลอบใจตัวเองเช่นนั้น

‘ยามังกรเหลือง’ ‘ยาขจัดพิษ’ ‘ยากระดูกทอง’ ‘ยาเสริมพลัง’ ยาล้ำค่าที่แทบจะไม่มีใครได้เห็นถูกวางอยู่ในขวดตรงหน้าหานลี่ตอนนี้ หานลี่มองดูขวดเป็นสิบตรงหน้าด้วยใบหน้ามีความสุข แค่มียาวิเศษเหล่านี้ อย่าว่าแต่บทท่องนิรนามขั้นสี่เลยแม้แต่ขั้นห้าขั้นหก เขาก็ฝึกมันได้ง่ายดายโดยไม่ต้องเปลืองแรง

ในบรรดายาทั้งหมด ‘ยามังกรเหลือง’ และ ‘ยากระดูกทอง’ มีสรรพคุณช่วยเพิ่มกำลังและถอดรูปเปลี่ยนกระดูกซึ่งช่วยในการฝึกของเขาที่สุด ส่วน ‘ยาขจัดพิษ’ คือยาถอนสารพัดพิษที่หาได้ยากในยุทธภพ สุดท้าย ‘ยาเสริมพลัง’ คือยาที่ช่วยรักษาบาดแผลภายในและภายนอกที่ให้ผลอย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บหนักหนาขนาดไหน แค่กินเข้าไปหนึ่งเม็ด แม้จะไม่สามารถทำให้ฟื้นจากความตายได้ แต่ก็ทำให้บาดแผลสมานกันอย่างรวดเร็ว และยังผ่อนจากหนักเป็นเบาช่วยรักษาชีวิตเอาไว้ได้