บทที่ 2

ตอนที่ 2 ตำบลโคเขียว

ที่นี่คือเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง แม้จะเรียกว่าเป็นเมืองเล็ก แต่ความจริงแล้วกลับเป็นแค่ตำบลใหญ่นาม ‘ตำบลโคเขียว’ ก็มีแต่พวกชาวบ้านที่ไม่ค่อยมีความรู้ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้หุบเขาแห่งนี้ ถึงเรียกกันว่า ‘เมืองโคเขียว’ ‘เมืองโคเขียว’ กันไม่หยุด และนี่คือความในใจของผู้เฝ้าประตูมาหลายสิบปีอย่างจางเอ้อ

ตำบลโคเขียวนั้นไม่ได้ใหญ่ ถนนสายหลักก็มีแต่ถนนโคเขียวตะวันออกและตะวันตกเท่านั้น แม้แต่โรงเตี๊ยมก็มีแค่โรงเตี๊ยมโคเขียว ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของตำบลที่มีลักษณะเป็นแนวยาว ดังนั้นพ่อค้าสัญจรที่ไม่อยากนอนในป่าเขาก็ต้องมาค้างแรมที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้

ขณะนี้มีรถม้าคันหนึ่งเดินทางจากทิศตะวันตกมุ่งเข้าสู่ตัวตำบล ดูแวบแรกก็รู้เลยว่าได้เร่งเดินทางมานานหลายวัน และรถม้าคันนั้นได้วิ่งผ่านหน้าประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมไปอย่างรวดเร็ว มันวิ่งยาวทะลุไปยังอีกด้านหนึ่งของตำบล จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูโรงน้ำชาชื่อหอมกลิ่นวสันต์

โรงน้ำชาหอมกลิ่นวสันต์นั้นไม่ใหญ่มาก ดูออกจะเก่าๆ แต่กลับอบอวนไปด้วยกลิ่นอายโบราณ เนื่องจากตอนนี้คือเวลาอาหารเที่ยง ในโรงน้ำชาจึงยังมีแขกนั่งอยู่เยอะพอสมควร เรียกได้ว่าไม่มีที่ว่างเหลืออยู่เลยทีเดียว

ขณะนั้นมีชายร่างท้วมใบหน้ากลมไว้หนวดกับเด็กหนุ่มผิวสีแทนอายุสิบขวบเดินลงมาจากรถม้า ชายผู้นั้นวางมาดพาเด็กหนุ่มเดินเข้าไปในโรงน้ำชา มีแขกคนหนึ่งจำชายร่างท้วมคนนี้ได้ และรู้ว่าเขาคือผู้ดูแลโรงน้ำชาแห่งนี้ ‘เจ้าอ้วนหาน’ แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนั้นคือใคร

“เจ้าหาน เด็กหนุ่มผิวคล้ำคนนี้หน้าตาช่างละม้ายคล้ายท่านเสียจริง คงไม่ใช่ลูกที่แอบเกิดลับหลังฮูหยินหรอกนะ” ชายคนหนึ่งพูดหยอกล้อขึ้น

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ผู้คนรอบข้างต่างพากันหัวเราะลั่น

“เฮ้ย! นี่คือหลานชายแท้ๆ ของข้าก็ต้องเหมือนข้าบ้างเป็นธรรมดา” เจ้าอ้วนหานไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ซ้ำยังดูภูมิใจเสียมากกว่า

ส่วนสองคนที่เร่งเดินทางติดต่อกันถึงสามวัน คือเด็กน้อยที่เพิ่งจะได้เข้ามาในตำบลอย่างหานลี่และลุงสามหรือที่ใครๆ เรียกว่าเจ้าอ้วนหาน

เจ้าอ้วนหานทักทายแขกที่คุ้นเคยอยู่หลายคน จากนั้นจึงพาหานลี่เดินไปด้านหลังโรงน้ำชา จนมาถึงสวนเล็กๆ ลับตาคน

“เสี่ยวลี่ เจ้าเข้าไปพักผ่อนในห้องนี้และทำใจให้สบายนะ ถ้าผู้ดูแลสำนักสายในมาถึงเมื่อไหร่ ข้าจะมาเรียกเจ้าออกไป ตอนนี้ข้าต้องขอตัวไปดูแลแขกสองสามคนก่อน” เจ้าอ้วนหานชี้ไปที่ห้องหนึ่งในสวนและพูดกับหานลี่อย่างอ่อนโยน

พูดจบ เขาก็รีบหันหลังเดินออกไป

แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู เขากลับรู้สึกไม่ค่อยวางใจ จึงหันกลับไปกำชับว่า

“อย่าวิ่งออกไปข้างนอกเชียวนะ ตำบลนี้คนเยอะ เดี๋ยวจะหลงทางได้ ไม่ออกจากสวนเลยยิ่งดี”

“ขอรับ!”

เมื่อเห็นหานลี่รับปากเขาเป็นอย่างดี จึงค่อยวางใจและเดินจากไป

หานลี่เมื่อเห็นลุงสามเดินออกจากห้องไปแล้ว ก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา พอหัวถึงหมอนก็นอนหลับปุ๋ยทันที คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่รู้สึกหวาดกลัวเหมือนเด็กทั่วไป

ตกดึกก็มีเด็กรับใช้นำอาหารมาส่งให้ แม้ว่าจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็ถือว่าอร่อยมากเลยทีเดียว และหลังจากที่กินเสร็จ เด็กรับใช้อีกคนก็เดินเข้ามายกจานชามที่เหลือออกไป ในเวลานี้เองที่ลุงสามค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง

“เป็นยังไงอาหารคงถูกปากเจ้าอยู่นะ คิดถึงบ้านแล้วใช่ไหม?”

“อืม นิดหน่อยขอรับ” หานลี่ตอบอย่างน่าเอ็นดู

ลุงสามดูเหมือนจะพอใจกับคำตอบของหานลี่อยู่ไม่น้อย เลยคุยกับเขาต่อเรื่องสัพเพเหระ คุยโม้ถึงเรื่องหรือคนที่น่าสนใจที่เขาเคยเจอมา จนหานลี่ค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลาย และยอมเปิดใจกับเขามากขึ้น

เป็นเช่นนี้ จนเวลาล่วงเลยไปสองวัน

เมื่อเข้าสู่วันที่สาม ช่วงที่หานลี่กินอาหารเย็นเสร็จ และกำลังรอให้ลุงสามมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับยุทธภพให้ฟังอยู่นั้น ก็ได้มีรถม้าอีกคันหนึ่งมาจอดหน้าประตูโรงน้ำชา

รถม้าคันนี้ถูกทาด้วยสีดำเงาวับทั้งคัน ส่วนม้าที่สง่างามตัวนั้นคือม้าหวงเปียว (ม้าสีเหลืองแถบจุดสีขาว หนึ่งในสิบยอดม้าของจีน) ซึ่งเป็นม้าหายากไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป และสิ่งที่ดึงดูดความสนใจที่สุดเห็นจะเป็นด้านข้างของรถม้าที่ถูกปักไว้ด้วยธงสามเหลี่ยมสีดำ บนธงมีตัวอักษร ‘玄 (ทมิฬ)’ สีเงินและมีขอบสีแดง เหมือนมีกลิ่นอายลึกลับแผ่กระจายออกมา

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ในละแวกร้อยลี้ได้เห็นธงดำนี้ จะรู้ทันทีว่าเป็นธงของสำนัก ‘สัตตทมิฬ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสองผู้ยิ่งใหญ่ในพื้นที่นี้ และรู้โดยทันทีว่ามีบุคคลสำคัญมาถึง ณ ที่แห่งนี้

สำนัก ‘สัตตทมิฬ’ หรือ ‘สัตตสมบูรณ์’ ถูกก่อตั้งโดย ‘ปรมาจารย์ชีเจวี๋ย’ ผู้มีชื่อเสียงเมื่อสองร้อยปีก่อน ท่านเคยรบชนะรัฐจิ้งโจวอยู่หลายสิบครั้ง และยังเคยบุกเข้าไปในรัฐใกล้เคียงอย่างรัฐซู่โจว ท่านเคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งแคว้นเยว่ แต่หลังจากที่ปรมาจารย์ชีเจวี๋ยถึงแก่กรรม กำลังของสำนักก็อ่อนแอลงจนสำนักอื่นร่วมมือกันขับไล่ออกจากเมืองจิ้งโจวเมืองหลวงของรัฐจิ้งโจว จนเมื่อร้อยปีก่อน สำนักก็ถูกไล่ไปยังเขตกันดารที่สุดของจิ้งโจว นั่นคือ เขาประกายเซียน นับจากนั้นก็ได้ลงหลักปักฐานอยู่ ณ ที่แห่งนี้และกลายเป็นเพียงแค่สำนักเล็กๆ

มีประโยคหนึ่งกล่าวว่า ‘ซากอูฐผอมแห้งที่ตายยังใหญ่กว่าตัวม้าเป็น’ อย่างน้อยสำนักสัตตทมิฬก็เคยเป็นสำนักใหญ่จึงยังมีอิทธิพลอยู่บ้าง เมื่อมาถึงเขาประกายรุ้ง ก็ได้เข้าควบคุมเขตเล็กเขตน้อยสิบกว่าแห่งรวมไปถึง ‘ตำบลโคเขียว’ มีศิษย์อยู่ในสำนักสามสี่พันคนและกลายเป็นหนึ่งในสองของผู้ยิ่งใหญ่สมคำล่ำลือ

ส่วนพรรคที่สามารถคานกำลังต่อต้านกับสำนักสัตตทมิฬได้คือ ‘พรรคหมาป่า’

พรรคหมาป่าเดิมคือกลุ่มโจรอยู่ในรัฐจิ้งโจว ต่อมาถูกขุนนางบุกถล่มรัง บางส่วนก็ได้รับการอภัยโทษ อีกส่วนหนึ่งก็กลายมาเป็นพรรคหมาป่า และความโหดเหี้ยมฆ่าคนไม่เลือกของพวกโจรใจทรามนี้ก็ได้ถูกส่งต่อมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อสำนักสัตตทมิฬต่อสู้กับพรรคหมาป่าจึงมักเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่หลายครั้ง

แม้ว่าพรรคหมาป่าจะมีพื้นที่ใต้ปกครองค่อนข้างเยอะ แต่พวกเขากลับวางแผนจัดการได้ไม่ดี จึงทำให้ไม่ร่ำรวยเหมือนของสำนักสัตตทมิฬ พรรคหมาป่าเลยจ้องอยากจะยึดพื้นที่หลายแห่งของสำนักสัตตทมิฬ ดังนั้นระยะนี้จึงพยายามก่อความวุ่นวายอยู่เป็นประจำ ทำให้เจ้าสำนักสัตตทมิฬเวียนหัว และนี่คือสาเหตุหลักที่สำนักสัตตทมิฬเปิดรับศิษย์ในช่วงไม่กี่ปีมานี้

วกกลับมาที่รถม้าได้ปรากฏชายหนุ่มร่างผอมอายุราวๆ สี่สิบกว่าปีคนหนึ่งก้าวลงมา ท่าทางของเขาดูคล่องแคล่ว แข็งแรง เและดูคุ้นเคยกับที่แห่งนี้เป็นอย่างดี ดูจากการที่เขาเดินก้าวเท้ายาวๆ ตรงไปยังห้องของผู้ดูแลหาน

ลุงสามของหานลี่เมื่อเห็นชายผู้นี้ ก็รีบเดินเข้าไปคารวะทันที

“ผู้คุมกฎหวัง นี่ท่านมารับตัวเด็กเองเลยหรือขอรับ?”

“อืม!” ผู้คุมกฎหวังตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและเย่อหยิ่ง

“ช่วงนี้ระหว่างทางไม่ค่อยปลอดภัย ต้องเพิ่มกำลังรักษาให้มากขึ้น ดังนั้นท่านอาวุโสจึงสั่งให้ข้ามารับเด็กด้วยตัวเอง อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย นี่คือเด็กที่เจ้าแนะนำเข้าสำนักใช่หรือไม่?”

“ใช่ ใช่ขอรับ นี่คือหลานชายแท้ๆ ของข้าเอง ระหว่างทางก็รบกวนผู้คุมกฎหวังช่วยดูแลหน่อยนะขอรับ”

เจ้าอ้วนหานเห็นสีหน้าของผู้คุมกฎหวังดูไม่ค่อยพอใจ จึงรีบหยิบถุงเงินหนักอึ้งออกจากกระเป๋าพร้อมแอบยื่นให้แก่เขา

ผู้คุมกฎหวังรับถุงเงินนั้นมาประเมินน้ำหนัก จากนั้นสีหน้าของเขาก็ดูพอใจขึ้น

“เจ้าอ้วนหาน เจ้านี่ฉลาดใช้ได้นะ! วางใจเถอะ หลานชายของเจ้าข้าจะดูแลให้เอง และนี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน”