ตอนที่ 3 สำนักสัตตทมิฬ
ภายในรถม้านั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับรถม้าที่น่าจะนั่งได้แค่สิบกว่าคน กลับอัดแน่นไปด้วยเด็กเกือบสามสิบคน และถึงแม้ว่ารูปร่างของเด็กจะเล็กกว่าผู้ใหญ่ แต่ก็ยังทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่ดี
ด้วยความฉลาดของหานลี่เขาพยายามแทรกร่างกายที่ผอมบางของเขาไปยังหัวมุมรถม้า และเริ่มสังเกตพฤติกรรมของเด็กคนอื่นๆ
ถ้าแบ่งเด็กที่เข้าร่วมการทดสอบตามเสื้อผ้าแล้ว จะสามารถแบ่งออกได้เป็นสามกลุ่มใหญ่
กลุ่มแรกคือกลุ่มที่นั่งอยู่ตรงกลางรถ ซึ่งหมายถึงเด็กที่สวมใส่เสื้อผ้าฝ้ายและกำลังถูกห้อมล้อมด้วยเด็กคนอื่นอีกหลายคน
เด็กหนุ่มคนนี้นามว่าอู่เหยียน ปีนี้อายุสิบสาม เขาคือเด็กที่อายุมากที่สุดในนี้ ความจริงอายุของเขาเกินจากเกณฑ์ที่กำหนด แต่เนื่องจากลูกพี่ลูกน้องของเขาได้แต่งงานกับผู้มีอำนาจคนหนึ่งในสำนัก เลยทำให้เขาถูกยกเว้น ตระกูลของอู่เหยียนร่ำรวยมากถึงขนาดสร้างโรงฝึกวิทยายุทธ์ไว้หนึ่งห้อง ตั้งแต่เด็กเขาเคยฝึกทั้งการใช้หมัดและเท้า แม้ว่าจะไม่ได้เก่งล้ำเลิศ แต่ก็เพียงพอที่จะจัดการกับเด็กเงอะงะและไม่เคยฝึกวิทยายุทธ์อย่างหานลี่ได้สบาย
เห็นได้ชัดว่าคนอย่างอู่เหยียนที่ตระกูลมีทั้งเงินทั้งอำนาจ มิหนำซ้ำยังพอมีฝีมือได้กลายเป็น ‘พี่ใหญ่’ ของเด็กหลายคนไปโดยปริยาย
อีกกลุ่มหนึ่งคือพวกเด็กที่ห้อมล้อมอู่เหยียนอยู่ เด็กเหล่านี้มาจากตระกูลที่หลากหลายมีทั้งค้าขาย รับจ้าง และช่างฝีมือเป็นต้น แต่สิ่งที่พวกเขาเหมือนกันคือ ล้วนแต่เติบโตขึ้นมาในบริเวณใกล้ๆ นี้ พวกเขาได้เรียนรู้จากผู้ใหญ่ในครอบครัวเรื่องการสังเกตคนและการตักตวงผลประโยชน์ อีกทั้งยังเก่งในเรื่องการประจบประแจงโดยดูจากที่เด็กเหล่านั้นซ้ายก็เรียก ‘คุณชายอู่’ ขวาก็เรียก ‘ท่านพี่อู่’ กันไม่หยุด ซึ่งอู่เหยียนดูเหมือนจะเคยชินและภูมิใจกับการถูกเรียกแบบนี้เสียเหลือเกิน
ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มเด็กเช่นหานลี่ที่มาจากครอบครัวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกล ใกล้เขาก็เก็บของบนเขาหรือใกล้น้ำก็หาปลามาประทังชีวิต พวกเขายากจนและลำบาก ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะมีน้อยที่สุดแค่ประมาณห้าหกคน พวกเขาดูขี้ขลาดไม่กล้ามีปากมีเสียงและทำได้แค่มองดูเด็กคนอื่นหัวเราะเสียงดัง จนกลายเป็นจุดเปรียบเทียบกับเด็กเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัด
รถม้าวิ่งจากตำบลโคเขียวตรงไปทางตะวันตก ระหว่างทางได้แวะที่อื่นๆ อีกสองสามที่ รวมทั้งรับตัวเด็กมาเพิ่มอีกสองสามคน จนหัวค่ำของวันที่ห้าก็ได้มาถึงเขาประกายรุ้งที่ตั้งสำนักสัตตทมิฬ
เมื่อลงจากรถม้าเด็กๆ ก็หมือนถูกสะกดด้วยแสงสีรุ้งจากพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินบนเขาประกายรุ้งแห่งนี้ จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกของผู้คุมกฎหวัง ทุกคนถึงรู้สึกตัวและเดินไปต่อ
เขาประกายรุ้ง เดิมคือวิหคร่อน มีตำนานว่าวิหคอมตะสีรุ้งได้บินมาหยุดพักที่นี่และก็กลายร่างเป็นภูเขาลูกนี้ ต่อมามีคนพบว่าบรรยากาศช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินดูงดงามอย่างน่าประหลาด ราวกับกลุ่มเมฆเรืองรองคอยปกคลุม จึงถูกขนามนามว่าเขาประกายรุ้ง และแน่นอนว่าเมื่อสำนักสัตตทมิฬได้เข้ายึดครอง คนนอกจึงไม่สามารถเข้ามาชื่นชมความงามของที่แห่งนี้ได้อีก
เขาประกายรุ้งคือภูเขาใหญ่แห่งที่สองในเขตรัฐจิ้งโจวรองจากเขาไป๋หม่าง เขาประกายรุ้งแห่งนี้มีพื้นที่กว้างมาก อาณาเขตสิบกว่าลี้บริเวณนี้คือเทือกเขาของเขาประกายรุ้งทั้งหมด และยังมียอดเขาน้อยใหญ่อีกสิบกว่าแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งล้วนเต็มไปด้วยภยันตราย ดังนั้นบริเวณทั้งหมดจึงถูกยึดเป็นที่ตั้งของฝ่ายต่างๆในสำนัก ยอดเขาหลักของเขาประกายรุ้งคือ ‘ยอดเขาอาทิตย์อัสดง’ ซึ่งอันตรายที่สุด ไม่เพียงแค่สูงและชัน แต่มีเพียงเส้นทางเดียวที่เชื่อมจากตีนเขาถึงยอดเขา และหลังจากที่สำนักสัตตทมิฬได้ก่อตั้งสำนักใหญ่ไว้ที่แห่งนี้ พวกเขายังตั้งสิบสามค่ายลับและแจ้งไว้ตามจุดสำคัญต่างๆ บนเขา เรียกได้ว่าภัยใดๆ ก็มิอาจกล้ำกรายเข้าไปได้
หานลี่มองดูรอบๆ พร้อมเดินตามคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ แต่จู่ๆ พวกเขาก็หยุดกะทันหัน จากนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงห้าวหาญดังขึ้น
“ศิษย์น้องหวัง ทำไมเพิ่งจะมาถึงเอาตอนนี้? นี่เจ้ามาช้ากว่าที่นัดไว้ถึงสองวัน”
“หัวหน้าเยว่ ระหว่างทางมีความล่าช้า ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องเป็นกังวล” ผู้คุมกฎหวังคารวะผู้อาวุโสที่โมโหหน้าแดงต่อหน้าผู้คน จากสีหน้าที่เข้มงวดก็เปลี่ยนเป็นประจบสอพลอ
“นี่คือศิษย์กลุ่มที่เท่าไหร่?”
“กลุ่มที่สิบเจ็ดขอรับ”
“อืม!” หัวหน้าเยว่มองมาที่หานลี่และเด็กคนอื่นๆ อย่างถือตัว
“ส่งไปที่เรือนรับรอง คืนนี้ให้พวกเขาได้พักผ่อนเสียก่อน และพรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยเริ่มการคัดเลือก ส่วนคนที่ไม่ผ่าน ก็รีบส่งพวกเขาลงจากเขาไปก่อนที่จะทำผิดกฎของสำนัก”
“น้อมรับคำสั่ง หัวหน้าเยว่”
ขณะเดินไต่บันไดหินขึ้นเขา เด็กทุกคนล้วนแต่รู้สึกตื่นเต้น แต่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาเลยสักคน และถึงแม้ว่าเด็กส่วนใหญ่จะอายุยังน้อย แต่พวกเด็กๆ ก็รู้ดีว่าที่แห่งนี้คือตัวกำหนดชะตากรรมของพวกเขา
ผู้คุมกฎหวังเดินนำทางพร้อมยิ้มทักทายผู้คนที่เจอระหว่างทาง เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักศิษย์ในสำนักเยอะและค่อนข้างมีมนุษย์สัมพันธ์ดี
ผู้คนที่เดินผ่านไปส่วนใหญ่แล้วจะสวมผ้าต่วนสีเขียวอ่อน บ้างก็สะพายดาบไว้ที่ไหล่ บ้างก็สะพายกระบี่ไว้ที่หลัง หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่พกอาวุธก็เหมือนกำลังแบกอะไรบางอย่างไว้ตรงช่วงเอว แต่ดูจากท่าทางแล้ว พวกเขาล้วนมีร่างกายอันแข็งแรงและต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือ
หานลี่และเด็กคนอื่นๆ ถูกพาไปยังยอดเขาที่ค่อนข้างต่ำกว่ายอดเขาอื่น ที่นั่นมีบ้านดินให้พวกเขาได้ค้างแรม และคืนนั้นเองหานลี่ได้ฝันเห็นตัวเขาสวมชุดยาว ถือกระบี่สีทองในมือ มีวิทยายุทธ์ที่ไร้เทียมทาน สามารถเอาชนะลูกของช่างเหล็กในหมู่บ้านที่เคยรังแกเขาได้อย่างง่ายดาย เขาไม่ได้ภูมิใจหรอกนะ แค่เช้ารุ่งขึ้นตื่นมาก็ยังย้อนนึกถึงความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
หลังจากที่ตื่นขึ้นในตอนเช้า ผู้คุมกฎหวังก็ไม่อนุญาตให้ทุกคนทานอาหาร เขากลับนำเด็กๆ ลงเขาไปยังด้านหน้าเนินเขาที่เต็มไปด้วยต้นไผ่ และที่นั่นก็มีหัวหน้าเยว่และท่านอื่นๆ กำลังรอพวกเขาอยู่