บทที่ 4

ตอนที่ 4 หุบผาหลอมกระดูก

หัวหน้าเยว่ประกาศต่อหน้าเด็กๆ ว่า “พวกเจ้าจงฟังให้ดี ภายในป่าไผ่มีเส้นทางเล็กๆ ไปถึงผาหลอมกระดูกของสำนักสัตตทมิฬ ด่านแรกคือป่าไผ่ ต่อมาคือด่านแนวหิน และด่านสุดท้ายคือการปีนหน้าผา และผู้ที่ไปถึงยอดผาเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าเป็นศิษย์สำนักสัตตทมิฬได้ หรือถ้าทำไม่สำเร็จก่อนเที่ยง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าเป็นศิษย์สำนักโดยตรง ก็จะถูกรับเป็นศิษย์ในนามสำหรับผู้ที่มีความสามารถโดดเด่น

หานลี่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ศิษย์ในนาม’ เขารู้แค่ว่าต้องเดินไปข้างหน้าและปีนขึ้นหน้าผาเป็นพอ เขามองออกไปเห็นเนินเขาที่ดูไม่ค่อยชันสักเท่าไหร่ บนเนินลูกนั้นมีต้นไผ่สูงที่กอไผ่หนาบางไม่เท่ากันและดูเหมือนว่าจะเดินผ่านได้อย่างง่ายดาย!

หานลี่จ้องมองไปที่คนอื่นๆ และเขาจะไม่ยอมแพ้ให้กับเด็กวัยเดียวกัน จากนั้นบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้น

หัวหน้าเยว่มองดูพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นพร้อมกล่าวว่า “ได้เวลาแล้ว เตรียมตัวออกเดินทางได้! พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ศิษย์พี่ของพวกเจ้าจะช่วยปกป้องจากข้างหลังทันทีที่พวกเจ้าได้รับอันตราย”

หานลี่หันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง ที่แท้พวกเขาคือศิษย์พี่ในสำนัก น่าจะเป็นศิษย์ที่ถูกคัดเลือกเข้ามาก่อนหน้านี้ และถ้าเขาได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ก็จะได้สวมชุดของสำนักเช่นเดียวกันใช่หรือไม่!

ขณะที่หานลี่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น เขาก็พบว่าเด็กที่เหลือคนอื่นๆ ได้มุ่งหน้าเข้าไปในป่าไผ่กันแล้ว เมื่อพบว่าตัวเองถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เขาจึงรีบร้อนเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ป่าไผ่แห่งนี้คงกว้างมาก ขนาดเด็กสามสิบกว่าคนวิ่งเข้าไปแล้วก็แตกกระจายกันไปคนละทิศละทาง ด้านหลังของหานลี่มีศิษย์พี่ร่างผอมสูงคนหนึ่งตามมาติดๆ ใบหน้าของเขาดูเย็นชาและไม่พูดอะไรสักคำ หานลี่รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากคุยกับเขา จึงทำได้เพียงก้าวเท้า น้อมตัวลงเล็กน้อยและวิ่งขึ้นเนินไปอย่างช้าๆ

ป่าไผ่ผืนนี้ดูทั่วไปแล้วก็เหมือนป่าไผ่ธรรมดา แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปก็จะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ขาก็เริ่มหนักขึ้นๆ หานลี่จำเป็นต้องใช้แขนดึงลำต้นไผ่พยุงตัวไปข้างหน้า ทำให้ช่วยออมแรงไปได้มาก

หานลี่อดทนอยู่นาน จนเขาเหนื่อยและทนไม่ไหว สุดท้ายเขาจึงเอาบั้นท้ายทิ้งลงบนพื้นดิน จากนั้นก็หายใจหอบๆ ไม่หยุด

หานลี่หาโอกาสหันหลังชำเลืองมองศิษย์พี่ผอมสูงผู้นั้น แม้ว่าพื้นที่จะสูงชันมากแค่ไหน แต่ศิษย์พี่ท่านนี้ก็ยังคงยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านใดๆ ร่างกายของเขาไม่มีแม้แต่ฝุ่นละอองสักนิดติดอยู่ ช่างเหมือนกับต้นไผ่ที่ยืนตระหง่านกำลังแหงนดูตัวเองอยู่ไม่ไกล

หานลี่มองเห็นสายตาอันเยือกเย็นของศิษย์พี่ในใจก็รู้สึกหวาดกลัว จึงรีบหันหน้ากลับมา และได้ยินเสียงหายใจหอบๆ มาจากด้านหน้าอยู่ไม่ไกล เขาเดาได้ทันทีเลยว่าคนที่รวดเร็วกว่าเขาก็กำลังหยุดพักอยู่เช่นกัน หลังจากที่หานลี่นั่งพักอีกสักครู่ เขาก็เร่งฝีเท้าต่ออย่างรวดเร็ว

เนินเขาเริ่มเอียงมากขึ้น แต่เรี่ยวแรงของหานลี่กลับลดลงทุกที เพื่อพยุงไม่ให้ตัวเขาล้มลง เขาจึงก้มตัวและคุกเข่าลงไปกับพื้น บังคับให้แขนและขาเคลื่อนไหวสัมพันธ์กัน โชคดีที่เสื้อผ้าของเขานั้นค่อนข้างหนา ไม่อย่างนั้นช่วงบริเวณข้อศอกและหัวเข่าก็คงถูกข่วนกันจนขาด

ในที่สุดก็ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของป่าไผ่เขียวชอุ่มนี้แล้ว แต่หานลี่กลับรู้สึกว่ายิ่งเดินก็ยิ่งลำบาก จำนวนหินบนพื้นดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้น ขณะที่จำนวนต้นไผ่กลับยิ่งลดน้อยลง

ถึงตอนนี้จำนวนต้นไผ่มีน้อยลงจนหานลี่ไม่สามารถที่จะใช้ต้นไผ่พยุงตัวเองได้อีก โค้งสุดท้ายนี้หานลี่ฟืนเดินได้แค่ทีละนิดๆ เท่านั้น

หลังจากที่เดินออกจากป่าไผ่ได้แล้ว เขาก็มองเห็นพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เบื้องหน้าคือภูเขาหินขนาดใหญ่มหึมา ซึ่งปรากฏร่างเล็กๆ สองสามร่างอยู่บนนั้น พวกเขาค่อยๆ ปีนขึ้นไปอย่างช้าๆ โดยด้านหลังมีศิษย์พี่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด หานลี่ไม่รอช้า เขารีบมุ่งหน้าไปยังภูเขาหินก้อนนั้นทันที

ภูเขาหินขนาดใหญ่นี้เกิดจากการทับซ้อนกันหลายๆ ชั้นของหินตะกอน หินบางส่วนเริ่มเปราะถึงขั้นแค่ยื่นมือแตะก็แตกละเอียด แน่นอนว่ายังมีซากหินแตกๆ คมๆ กระจายอยู่ หานลี่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ไม่มาก มือทั้งสองข้างของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อบริเวณข้อศอกและหัวเข่ามีแต่รอยขาดวิ่น ผิวหนังก็มีรอยขีดข่วนอยู่ไม่น้อย แม้ว่าบาดแผลจะเล็ก แต่เศษหินก็ได้เข้าไปติดอยู่ข้างในยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น

เด็กที่อยู่ด้านหน้าสุดสองสามคนยิ่งนำเขาไปไกลขึ้นทุกที ในใจหานลี่รู้สึกท้อ แต่เมื่อเขานึกถึงคำพูดของพ่อแม่และลุงสาม เขาก็กัดฟันและตัดสินใจที่จะสู้ต่อ

ก่อนที่จะออกเดินทางมารับบททดสอบ พ่อและลุงสามได้บอกกับหานลี่ไว้ว่าบททดสอบนี้จะยากลำบากมาก ถ้าไม่ทรหดอดทนจนถึงที่สุดแล้ว จะไม่มีทางได้เข้าเป็นศิษย์สำนักสัตตทมิฬ ในเวลานี้เขาไม่สนใจว่าจะเข้าสำนักได้หรือไม่ แต่ในใจเขากลับมีแรงผลักดันให้ลุกขึ้นสู้ และเขาจะต้องตามคนอื่นๆ ให้ทันให้ได้

หานลี่พยายามชะเง้อคอมองแล้วมองอีก และพบว่าตอนนี้อู่เหยียนนำเด็กคนอื่นๆ อยู่ เขาอายุมากกว่าหานลี่อยู่หลายปี ทั้งยังเคยฝึกวิทยายุทธ์มาก่อน ดังนั้นร่างกายของเขาจึงกำยำมากกว่าเด็กคนอื่นๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะไปถึงเป็นคนแรก

หานลี่หันกลับไปมองข้างหลังอีกครั้ง เขาเห็นเงาคนหลายคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ หานลี่สูดลมหายใจลึกๆ และเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก

และแม้ว่าเขาจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แต่ก็ยังไม่สามารถนำไปอยู่ข้างหน้าได้ ขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มหนักขึ้น สายตาก็เหลือบไปเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามเที่ยง และตอนนี้อู่เหยียนก็ได้ขึ้นถึงด้านบนของภูเขาหินนั้นแล้ว

ที่นั่นคือที่ตั้งของยอดผาหลอมกระดูกที่สูงชัน มันสูงประมาณสามสิบกว่าฟุต มีเชือกป่านสิบกว่าเส้นห้อยลงมาจากยอดผา บนเชือกป่านมีเงื่อนขนาดเท่ากำมืออยู่หลายปม และตอนนี้อู่เหยียนกำลังปีนขึ้นไปบนเชือกเส้นหนึ่งทีละนิดๆ

หานลี่มองไปยังอู่เหยียนที่นำอยู่ข้างหน้าก็รู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางตามคนอื่นๆ ทันในเวลาก่อนเที่ยงเป็นแน่

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา จู่ๆ ความเจ็บปวดของบาดแผลบนข้อศอกและหัวเข่าก็ปะทุขึ้นมาพร้อมกัน แขนและขาไร้เรี่ยวแรง ก้อนหินแค่สั่นก็ทำให้เขาลื่นหล่นลงมา หานลี่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและรีบเอาตัวแนบชิดติดกับภูเขาหินไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว

ผ่านไปสักครู่จิตใจก็เริ่มสงบลง เขาจึงเอื้อมมือออกไปจับปลายหินที่นูนออกมา เขาขยับหินอยู่หลายครั้งเพื่อให้มั่นใจว่ามันแข็งแรงดีเขาถึงจะวางใจ

จิตใต้สำนึกบอกให้เขาหันหลังกลับไป เขาเห็นศิษย์พี่อยู่ในท่าย่อตัวกางแขนสองข้างออกกว้างอยู่ในท่ารอรับเขาอยู่ เมื่อศิษย์พี่เห็นเขาปลอดภัยดีแล้ว จึงค่อยๆ ยืดตัวขึ้นเหมือนเดิม

หานลี่รู้สึกโล่งใจอยู่ไม่น้อย ถ้าเขาตกลงไปจริงๆ ความพยายามที่ผ่านมาเท่ากับสูญเปล่า! หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็เริ่มขยับไปข้างหน้าช้าๆ ตรงไปยังเชือกที่ห้อยลงมาจากหุบผา

และในที่สุดก็มาถึงใต้เชือกเส้นหนึ่ง พระอาทิตย์ดูเหมือนว่าจะอยู่กึ่งกลางของท้องฟ้าแล้วเหลือแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาที่กำหนด เวลานี้อู่เหยียนได้ปีนขึ้นไปถึงด้านบนของหน้าผาได้สำเร็จและกำลังมองลงมาด้านล่าง ขณะที่หานลี่ปีนขึ้นมาถึงปลายเชือกก็ได้บังเอิญเห็นอู่เหยียนเข้าพอดี อู่เหยียนกำลังยกแขนขึ้นพร้อมชูหัวแม่มือท้าทายไปยังคนที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและก็เดินจากไป

หานลี่รู้สึกโมโห เขาจึงรีบคว้าเชือกและเริ่มปีนต่อ

แต่ทุกส่วนในร่างกายของหานลี่แทบไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่ แม้แต่เชือกเขาก็ยังจับไว้ไม่แน่น

หลังจากที่เขาออกแรงสุดกำลังในการปีนไปถึงปลายเงื่อนและนั่งพักอยู่ข้างบนนั้น เขารู้สึกว่าร่างกายเริ่มอ่อนแรง แม่แต่แรงที่จะขยับนิ้วก็แทบไม่มี เขาหันกลับไปมองเห็นเด็กจำนวนหนึ่งนั่งพักอยู่หลังภูเขาหิน พวกเขากำลังหายใจเหนื่อยหอบ ดูเหมือนทุกคนจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายไปจนหมดแล้วเช่นกัน

หานลี่ทำได้แค่ฝืนยิ้มและรู้ว่าตัวเขาประเมินบททดสอบครั้งนี้ต่ำเกินไป โชคดีที่ตัวเขาไม่ได้อยู่รั้งท้าย เขาหันไปเห็นศิษย์พี่ผู้เย็นชาคนเดิมอยู่ข้างหลัง เขาจึงตัดสินใจเดินหน้าต่อ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีทางปีนได้ถึงก่อนเที่ยงตามที่กำหนด แต่ก็ยังดีกว่าการห้อยอยู่บนเชือกเช่นนี้!

หานลี่ยื่นมือที่เริ่มแข็งคว้าเชือกอยู่หลายครั้งจนเรี่ยวแรงของเขาเริ่มกลับมา จากนั้นเขาจึงค่อยๆ ขยับตัวขึ้นไปตามแนวเชือก แต่เวลานี้มือทั้งสองของเขากลับไม่ฟังคำสั่งใดๆ และไร้เรี่ยวแรงจับเชือกให้แน่น เขาจึงตัดสินใจหยุดอยู่ที่ตรงนั้น