ตอนที่ 5 ท่านหมอม่อ
ผ่านไปอีกสักพัก หานลี่รู้สึกเหมือนท้องถูกรัดแน่น ตัวเบาเหมือนร่างทั้งร่างกำลังลอยขึ้น
หานลี่หันไปมองก็พบว่ามือข้างหนึ่งของศิษย์พี่กำลังโอบตัวเขาไว้ ส่วนมืออีกข้างและขาของเขาก็กำลังไต่หน้าผาอย่างคล่องแคล่ว ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าพระอาทิตย์ได้แขวนตัวสูงอยู่กลางท้องฟ้าเสียแล้ว
สุดท้ายเขาก็ทำไม่สำเร็จจริงๆ และรู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย เขาพยายามสู้จนถึงที่สุดแล้ว แต่ทำไมถึงยังสู้คนอื่นๆ ไม่ได้
ชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็มาถึงด้านบนของผาหลอมกระดูก หานลี่เห็นเพียงเด็กหกคนกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ด้านข้าง ส่วนอู่เหยียนก็กำลังคุยกับผู้อาวุโสอายุประมาณห้าสิบกว่าปี เขาสวมชุดขุนนางสีน้ำเงิน และมือทั้งสองไขว้ไว้ข้างหลัง หัวหน้าเยว่โดยมีผู้คุมกฏหวังยืนอยู่ด้านข้างและข้างๆ พวกท่านยังมีท่านอื่นๆ ยืนอยู่บริเวณนั้น ซึ่งพวกเขาทุกคนกำลังรอให้ศิษย์พี่นำเด็กๆ ทั้งหมดที่เหลือขึ้นมาส่ง
และแล้วเด็กทั้งหมดก็ถูกส่งขึ้นมาถึงบนหน้าผา ในเวลานี้หัวหน้าเยว่ได้ก้าวออกมาเผชิญหน้ากับเด็กๆ อย่างสงบนิ่ง
“บททดสอบในครั้งนี้มีผู้สอบผ่านอยู่เจ็ดคน และมีหกคนได้เข้าสู่หอร้อยวิชา แห่งนี้เพื่อเข้ารับการเป็นศิษย์สายในของสำนัก” เขาเอ่ยอย่างช้าๆ
“ส่วนอีกคนคืออู่เหยียน ผู้ที่มาถึงหน้าผาคนแรก เนื่องจากเขามีความสามารถโดดเด่นจึงถูกส่งให้เข้าไปฝึกเคล็ดวิชาของสำนักที่หอสัตตสมบูรณ์ได้เลย” หัวหน้าเยว่หันไปมองขุนนางอาวุโสแวบหนึ่ง อาวุโสท่านนั้นลูบเคราและพยักหน้าให้เขาอย่างพอใจ
“ส่วนคนอื่นๆ...” หัวหน้าเยว่มองดูเด็กที่เหลือ เขาใช้มือขวาลูบคางพลางไตร่ตรองอยู่สักพักแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“จางเถี่ย หานลี่ เจ้าทั้งสองถึงแม้ว่าจะมาไม่ถึงตามเวลาแต่มีความมานะมุ่งมั่น ดูท่าจะทนต่อความลำบากจากการฝึกวรยุทธ์ได้ ดังนั้นข้าจะให้พวกเจ้าได้ฝึกวิชาพื้นฐานกับท่านอาจารย์ก่อน ครึ่งปีให้หลังค่อยพิจารณาอีกครั้ง ถ้าผ่านจะได้เข้าเป็นศิษย์สายใน ถ้าไม่ผ่านก็จะถูกส่งให้ศิษย์สายนอกพิจารณา”
หานลี่หันไปมองจางเถี่ยที่ยืนขึ้นพร้อมกัน จางเถี่ยคือคนที่อยู่ข้างหลังเขา คือคนที่ห้อยอยู่บนเชือกและเกือบจะปีนถึงยอดหุบผาได้เช่นเดียวกับเขา
“ผู้คุมกฏหวัง ส่วนคนที่เหลือก็แบ่งเงินให้ จากนั้นก็ส่งพวกเขากลับบ้านเสีย” หัวหน้าเยว่มองดูเด็กที่เหลือด้วยสายตานิ่งเฉย
“น้อมรับคำสั่ง!”
ทันทีที่ผู้คุมกฏเยว่ก้าวออกไป ผู้ที่ได้รับคำสั่งก็ได้พาตัวเด็กที่ตกรอบลงจากหน้าผาไป
“จางจวิน อู๋หมิงรุ่ย พวกเจ้าทั้งสองพาเด็กที่ผ่านบททดสอบไปที่หอร้อยวิชาก่อน จากนั้นส่งตัวพวกเขาให้รองหัวหน้ากู้และท่านอาจารย์หลี่”
ได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มทั้งสองก็แบ่งหานลี่และคนอื่นๆ ออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งในคนที่เตรียมลงจากหน้าผาคือศิษย์พี่ผู้เย็นชาคนนั้น และก่อนที่จะเดินลงไป หานลี่อดที่จะมองไปทางอู่เหยียนไม่ได้ เขาพบว่าอู่เหยียนยังคงยืนคุยกับอาวุโสท่านนั้นเหมือนเดิมไม่ได้ขยับไปไหน
“เขาไม่เหมือนกับเจ้า ตัวเขาจะถูกส่งไปเป็นศิษย์เอกที่หอสัตตสมบูรณ์ และถ้าเขาฝึกสำเร็จเขาจะได้รับตำแหน่งผู้คุมกฏ” ศิษย์พี่หน้าตอบคนหนึ่งช่วยคลายความสงสัยของหานลี่ แต่ในน้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะมีความอิจฉาปนอยู่
“ก็เพราะว่ามีพี่เขยเป็นรองเจ้าสำนักน่ะสิ ถ้าไม่ใช่เพราะลูกพี่ลูกน้องของเขาแต่งงานมาเป็นภรรยาใหม่ของรองเจ้าสำหนักหม่า แค่ตัวเขาหนะรึไม่มีทางเสียหรอก! อายุก็เกินแล้วจะเข้าหอสัตตสมบูรณ์ได้อย่างไร?” สิ่งที่ศิษย์พี่เย็นชาพูดออกมาทำให้ทุกคนเสียววาบไปทั้งหลัง
“จางจวิน เจ้าอยากตายรึไง รองเจ้าสำนักคือผู้ที่เจ้าจะนำมาพูดถึงมั่วซั่วได้หรือ? ถ้าศิษย์คนอื่นๆ ได้ยินเข้า เจ้าและข้าคงต้องถูกลงโทษให้ไปท่องคัมภีร์เป็นแน่!” ได้ยินเช่นนั้นศิษย์พี่หน้าตอบก็สะดุ้งขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มมองไปรอบๆ เมื่อไม่พบว่ามีบุคลคลอื่นนอกจากพวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ
ศิษย์พี่เย็นชาถอนหายใจโล่ง เขายังคงกังวลอยู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรออกมา ถึงตอนนี้หานลี่รู้แล้วว่าศิษย์พี่เย็นชามีนามว่าจางจวิน จากคำพูดของพวกเขาหานลี่รู้สึกเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่า อู่เหยียนไม่ได้ใช้ความสามารถเข้าหอสัตตสมบูรณ์ แต่เพราะมีญาติเป็นถึงรองเจ้าสำนักเลยทำให้เขาผ่านเข้าไปอย่างไม่ต้องเปลืองแรง
ขณะที่กำลังเดินอยู่บนเขา ศิษย์พี่ทั้งสองได้นึกถึงเรื่องราวสะเทือนใจเรื่องหนึ่งขึ้น จึงไม่มีใครอยากจะคุยอะไรในตอนนี้ พวกเขาจึงทำแค่นำทางเด็กๆ เดินต่อไป ส่วนหานลี่และคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าที่จะคุยกัน หรืออาจเป็นเพราะพวกเขาตระหนักได้ถึงความแตกต่างของสำนักสัตตทมิฬและบ้านของพวกเขาก็เป็นได้
ระหว่างที่พวกเขากำลังเดินผ่านป่าใหญ่อยู่นั้น ก็ได้มีชายแก่คนหนึ่งอายุราวๆ หกสิบกว่าปีโผล่ออกมาจากป่า ลักษณะของเขาผอมๆ สูงๆ ผมสีขาวยาวประมาณไหล่ ขณะที่เขาเดินไปก็มีเสียงไอไปด้วยไม่หยุด เขาไออย่างรุนแรงจนทำให้กังวลว่าเขาจะเป็นลมล้มพับไป
แต่ศิษย์พี่ทั้งสองกลับไม่ได้ดูกังวลใจแต่อย่างใด พวกเขากลับเร่งฝีเท้าตรงเข้าไปโค้งคำนับให้ชายแก่ผู้นั้น
“ท่านหมอม่อ ข้าน้อยขอคารวะ ท่านมีอะไรให้ศิษย์รับใช้หรือไม่ขอรับ?” จางจวินถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเช่นเคย แต่สำหรับเขาชายแก่ท่านนี้ยังน่าเคารพเสียยิ่งกว่ารองเจ้าสำนักและท่านหัวหน้าเสียอีก
“เอ๊ะ นี่คือศิษย์ที่เพิ่งมาใหม่ใช่หรือไม่?” ในที่สุดชายแก่ก็หยุดไอ และถามด้วยเสียงที่แหบแห้ง
“ขอรับ มีศิษย์สายในหกคน และศิษย์ในนามสองคน” จางจวินตอบอย่างละเอียด
“ตอนนี้ข้ากำลังขาดคนปรุงยาและคนเก็บสมุนไพร พวกเจ้าสองคนตามข้ามา” ท่านหมอม่อชี้ไปที่เด็กสองคนนั่นคือหานลี่และจางเถี่ยซึ่งเป็นศิษย์ในนามอย่างบังเอิญ
“ขอรับ สองคนนี้เป็นแค่ศิษย์ในนาม เป็นโชคดีของพวกเขาแล้วที่ได้รับใช้ท่าน รีบคำนับท่านหมอม่อสิ ได้อาจารย์อย่างท่านคือความโชคดีของพวกเจ้า!” ศิษย์พี่ทั้งสองดูไม่กล้าขัดคำสั่ง หนำซ้ำอู๋หมิงรุ่ยยังทำท่าทางประจบประแจงชายแก่คนนั้นอีก
หานลี่และจางเถี่ยเมื่อเห็นเช่นนั้นก็น้อมรับคำสั่งและเดินตามท่านหมอม่อเข้าไปในป่าแต่โดยดี
ชายแก่ท่านนี้นำพวกเขาเดินไปตามทางเดินเล็กๆ ในป่า เลี้ยวซ้ายทีขวาที จู่ๆ ข้างหน้าก็ปรากฎแสงสว่างและหุบเขาเขียวขจีที่เงียบสงบอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ด้านซ้ายของหุบเขาคือสวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพร ในสวนนั้นมีสมุนไพรหลากชนิดที่หานลี่ไม่รู้จัก ส่วนทางด้านขวาก็มีห้องเล็กห้องน้อยเรียงยาวกันสิบกว่าห้อง เมื่อมองไปรอบๆ จะพบว่าไม่ทางเข้าออกอื่นนอกจากประตูที่พวกเขาเพิ่งจะเดินเข้ามา
“ที่นี่คือหุบหัตถ์เทวา นอกจากศิษย์ของที่นี่และคนป่วยแล้ว คนทั่วไปจะไม่ค่อยเข้ามากัน จากนี้พวกเจ้าทั้งสองก็พักอยู่ที่นี่แล้วกัน เอาหละ พวกเจ้าไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ ตอนค่ำค่อยไปพบข้าที่ห้องโถง ข้ามีเรื่องอยากพูดกับพวกเจ้า” ชายแก่ชี้ไปที่ห้องเล็กห้องหนึ่งทางด้านขวา
“ต่อไปพวกเจ้าเรียกข้าว่าผู้เอาวุโสม่อก็ได้” และสักประเดี๋ยวก็พูดต่อว่า
“หรือจะเรียกท่านหมอม่อก็แล้วแต่”
พูดจบท่านหมอม่อก็เดินไปที่ห้องขนาดใหญ่ที่ดูมีพลังห้องหนึ่งและเริ่มไออีกครั้ง
ด้วยความเหนื่อยล้าหานลี่ไม่ได้สนใจเด็กที่ชื่อจางเถี่ยแล้วในตอนนี้ เขารีบล้มตัวลงไปบนเดียงใหญ่แล้วก็หลับไป จนถึงตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ได้เป็นคนของสำนักสัตตทมิฬไปแล้วครึ่งนึง