ตอนที่ 6 คาถานิรนาม
“ตื่นได้แล้ว”
“ตื่นได้แล้ว”
เสียงเรียกจากไกลๆ อยู่ด้านนอก ทำให้หานลี่สะดุ้งตื่นจากฝัน พอลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าใหญ่ๆ อยู่ใกล้กับหน้าเขามาก เขาถึงกับตกใจรีบถอยไปข้างหลังทันที ตอนนั้นเขาถึงได้รู้ว่าใบหน้านั้นเป็นของจางเถี่ยนั่นเอง
“รีบกินก่อนเถอะ กินเสร็จจะได้ไปพบผู้อาวุโสม่อกัน” จางเถี่ยยื่นหมั่นโถวร้อนๆ ไปให้หานลี่
“เจ้าไปหาของกินมาจากไหนกัน” หานลี่รับหมั่นโถวอย่างงงๆ
“มีโรงครัวอยู่ใกล้ๆ หุบเขา ข้าเห็นว่ามีคนมากมายไปรับอาหารจากที่นั่น ข้าเลยไปเอามาบ้าง พอกินเสร็จข้าก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าก็ยังไม่กินเลยหยิบมาให้เจ้าอีกสองลูก” จางเถี่ยยิ้มให้หานลี่อย่างจริงใจ
“ขอบใจเจ้ามากนะ พี่จาง” หานลี่รู้สึกซาบซึ้งใจ และเขาเห็นจางเถี่ยดูน่าจะอายุมากกว่าเขาเลยหลุดปากเรียก ‘พี่จาง’ ออกไป
“ไม่...ไม่เป็นไร อยู่บ้านข้าก็ทำจนชินแล้ว ถ้าไม่ได้ทำอะไร ข้าก็จะรู้สึก...เหมือนไม่เป็นตัวเอง ต่อไปถ้ามีอะไรให้ข้าช่วยก็บอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ นอกจากใช้แรงงานแล้วข้าก็ไม่รู้จะทำอะไรได้อีก” จางเถี่ยเริ่มรู้สึกเขินอายเลยพูดจาตะกุกตะกัก
หานลี่รู้สึกหิวโหยมากเพราะทั้งเช้าทั้งเที่ยงแทบไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย หมั่นโถวลูกเดียวเขากัดแค่สามสี่ห้าคำก็หมด และแค่พริบตาเดียวหมั่นโถวสองลูกก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
“สายแล้ว พวกเราไปพบผู้อาวุโสม่อกันเถอะ” หานลี่เรอออกมาอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว เลยคิดว่าถึงเวลาที่จะไปพบท่านหมอม่อเสียที
จางเถี่ยเห็นด้วยจึงเดินตามหานลี่เข้าไปในห้องโถง
ภายในห้องของท่านหมอม่อมีชั้นวางหนังสือเรียงอยู่เต็มไปหมดและบนชั้นก็อัดแน่นไปด้วยหนังสือมากมาย
“ผู้อาวุโสม่อ!”
“ผู้อาวุโสม่อ!”
......
ท่านหมอม่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้และกำลังอ่านหนังสือที่อยู่ในมืออย่างตั้งใจ ดูเหมือนเขาจะไม่ทันสังเกตว่าเด็กทั้งสองได้มาถึงแล้วและก็ไม่ได้ยินคำทักทายของพวกเขาด้วย ส่วนหานลี่และจางเถี่ยด้วยความที่ยังเป็นเด็ก เมื่อเห็นว่าอาจารย์ไม่สนใจเลยงงๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จึงทำได้แค่ยืนคอยอยู่อย่างนั้น
ขณะที่หานลี่ยืนจนขาเริ่มรู้สึกชา ท่านหมอม่อก็วางหนังสือที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน มองลงมาที่พวกเขาและยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มอยู่สองสามอึก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า
“นับตั้งแต่นี้ไปเจ้าทั้งสองคือศิษย์ในนามของข้า ข้าจะสอนให้พวกเจ้าเก็บสมุนไพรและปรุงยา และจะสอนหลักการรักษาคนให้ด้วย แต่ข้าจะไม่สอนการฝึกวรยุทธ์ให้พวกเจ้าหรอกนะ” พูดจบเขาก็วางถ้วยน้ำชาลง
“ข้ามีคาถาฝึกจิตที่อยากจะสอนให้แก่พวกเจ้าทั้งสอง ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทำให้เจ้าเอาชนะศัตรูได้ แต่ก็สามารถทำให้เจ้ามีร่างกายที่แข็งแรง และถ้าพวกเจ้าอยากฝึกวรยุทธ์สักสองสามท่า เจ้าจะไปเรียนกับอาจารย์ท่านอื่น ข้าก็ไม่ขัดข้องแต่ครึ่งปีหลังจากนี้ข้าจะทดสอบการฝึกจิตจากคาถาที่ข้าให้ไป ถ้าพวกเจ้าไม่ผ่านก็จะถูกไล่ออกไปเป็นศิษย์สายนอก เจ้าทั้งสองได้ยินชัดแล้วใช่ไหม?” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นทุ้มลึกดูเหมือนว่าเขาจะให้ความสำคัญกับคาถานี้เป็นอย่างมาก
“เข้าใจแล้วขอรับ” เด็กทั้งสองพูดพร้อมกัน
“พวกเจ้าทั้งสองออกไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่” ท่านหมอม่อโบกมือให้พวกเขาออกไปแล้วก็หยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง
ก่อนออกไปหานลี่อดที่จะชำเลืองมองหนังสือที่อยู่ในมือของท่านหมอม่อไม่ได้ เสียดายที่เขาอ่านไม่ออก รู้แค่ว่าเป็นอักษรสีดำตัวใหญ่สามตัว เฮ้อ! ยิ่งน่าเสียดายที่พวกมันรู้จักเขา แต่เขากลับไม่รู้จักพวกมัน
หลังจากที่เดินออกจากห้องผู้อาวุโสม่อ หานลี่ก็หายใจได้สะดวกขึ้น เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาไม่กล้าแม้แต่จะสูดหายใจเข้าไปลึกๆ สมองตึงเครียดไปหมดแต่ตอนนี้ก็รู้สึกโล่งใจและกลับไปอยู่ในสภาวะปกติ
สองสามวันมานี้หานลี่รู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก เพราะว่าตอนนี้ก็ถือว่าเขาได้เป็นศิษย์ในสำนักสัตตทมิฬนี้แล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ศิษย์ในนามแต่ก็ดีกว่าเด็กที่ถูกส่งกลับบ้านมากนัก ต่อให้อีกครึ่งปีให้หลังเขาไม่ผ่านการทดสอบ เขาก็ยังได้เป็นศิษย์สายนอกเหมือนลุงสาม ในสายตาของหานลี่ ลุงสามถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีฐานะและตำแหน่งสูงมากแล้วคนหนึ่ง ดังนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจกับการทดสอบที่จะถึงสักเท่าไหร่ ถึงขนาดแอบหวังลึกๆ ว่าไม่ให้ตัวเองผ่านการทดสอบเพื่อเขาจะได้กลับไปหาพ่อแม่และน้องสาวสุดที่รักเร็วขึ้น
และในทุกๆ วัน ช่วงเช้าท่านหมอม่อจะถ่ายทอดวิชาความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรให้แก่พวกเขา ส่วนช่วงบ่ายให้พวกเขาไปเรียนรู้และฝึกวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานกับเด็กคนอื่น
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น หานลี่และจางเถี่ยต้องแยกจากเพื่อนร่วมชั้น ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลาที่จะเรียนอย่างอื่นแล้ว เพราะว่าอาจารย์ม่อเริ่มให้พวกเขาฝึกท่องคาถานิรนามและต้องใช้เวลานานในการฝึกฝน อีกทั้งเขายังกำชับอีกว่าห้ามบอกคาถานี้กับใคร ถ้าหากเปิดเผยออกไปจะถูกลงโทษอย่างหนักและถูกขับไล่ออกไป
ช่วงเวลานี้ เขาเข้าใจเรื่องราวของสำนักสัตตทมิฬและท่านหมอม่อมากขึ้นจากคำบอกเล่าของคนอื่น สำนักสัตตทมิฬมีเจ้าสำนักที่เป็นผู้สืบทอดโดยตรงจากปรมาจารย์สัตตสมบูรณ์หวังลู่ และมีรองเจ้าสำนักสามคน ในสำนักแบ่งเป็นสองสายคือสายในและสายนอก สายนอกมีสี่ฝ่ายคือหอวิหคเหิน หอรวมสมบัติ หอพิภพ และหอดาบนอก ส่วนสายในก็มีสี่ฝ่ายคือหอร้อยวิชา หอสัตตสมบูรณ์ หอบูชา และหอกระบี่โลหิต และยังมีกลุ่มผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งเทียบเท่ารองเจ้าสำนักคนอื่นๆ
ส่วนท่านหมอม่อแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่ศิษย์ของสำนักสัตตทมิฬ แต่เมื่อหลายปีก่อนท่านเจ้าสำนักหวังลู่ไม่ระวังจนพลาดท่าเข้าไปในหลุมพรางของศัตรูและถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจนหมดทางรักษา โชคดีที่ได้พบกับท่านหมอม่อ และหมอเทวดาท่านนี้ได้ช่วยรักษาชีวิตของเจ้าสำนักเอาไว้ได้ เจ้าสำนักรู้สึกซาบซึ้งใจมาก นอกจากเขาจะมีเป็นหมอที่เก่งกาจแล้ว เจ้าสำนักยังรู้อีกว่าเขามีวรยุทธ์ทำให้ไม่แก่จึงเชิญให้กลับมาที่สำนักด้วย อีกทั้งยังสร้างแหล่งพำนักในหุบเขาและมอบตำแหน่งผู้บูชาของหอบูชาให้เขาด้วย ช่วงที่ท่านหมอม่อพำนักอยู่ในสำนักสัตตทมิฬ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีใครเคยเห็นวรยุทธ์ของเขา แต่เขาได้เคยช่วยชีวิตศิษย์ในสำนักไว้หลายต่อหลายคน ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะมีสีหน้าที่ไร้อารมณ์พูดน้อย แต่เขาก็เป็นที่เคารพนับถือของศิษย์ในสำนัก