บทที่ 7

ตอนที่ 7 การฝึกแสนทรหด

หานลี่ค่อยๆ นำพลังลมปราณในร่างกายกลับไปไว้ที่จุดตันเถียน (จุดเลือดลมที่อยู่ใต้สะดือประมาณสามนิ้ว) วันนี้คือวันที่ฝึกฝนครบรอบที่พระอาทิตย์โคจรกลับมาเป็นรอบที่เจ็ด เขารับรู้ได้ว่าร่างกายของเขาทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ถ้าหากยังฝืนฝึกอีกหนึ่งรอบล่ะก็ เขามีหวังลมปราณแตกซ่านเป็นแน่ และเขาจะต้องทนรับกับความทรมานปางตายเช่นนี้อีกครั้ง ซึ่งแม้แต่หานลี่ที่ว่าใจกล้า แค่นึกถึงความเจ็บปวดที่เส้นลมปราณแตกออกทีละนิดเหงื่อก็ไหลออกมาเต็มแผ่นหลัง

ตอนนี้หานลี่ได้เข้ามาอยู่ในสำนักได้เกือบหนึ่งปีแล้ว บททดสอบสำหรับศิษย์ในนามเช่นเขาก็เสร็จสิ้นไปตั้งแต่สองเดือนก่อน

ศิษย์ในนามที่มีสิทธิ์ได้เข้าเป็นศิษย์สำนักเต็มตัวก็มีแค่ส่วนน้อย ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะไม่ผ่านและต้องเก็บสัมภาระลงจากเขาไปเป็นศิษย์สายนอก

คนที่ไม่ผ่านส่วนใหญ่ก็มักจะถูกส่งไปที่หอรวมสมบัติและหอวิหคเหิน แต่สำหรับคนโดดเด่นขึ้นมาหน่อยต้องถูกส่งไปฝึกฝนเพิ่มเติมและจากนั้นจะถูกส่งไปที่หอดาบนอกที่ดีขึ้นมาหน่อย แน่นอนว่าฝ่ายที่ได้รับการปฏิบัติดีที่สุดของสายนอกคือหอพิภพน่าเสียดายว่าที่นี่จะรับแค่คนเก่งมีฝีมือในยุทธภพเท่านั้น คนที่เก่งแค่วรยุทธ์สองสามท่าฝันไปเถอะ เฮอะ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างพวกเขา

หานลี่แค่คิดถึงบททดสอบสำหรับศิษย์ในนามเมื่อสองเดือนก่อนก็ยังอดที่จะขนลุกไม่ได้

ต้องวิ่งรอบบริเวณสิบกว่าลี้ของแนวเขาประกายรุ้งหนึ่งรอบ จากนั้นก็แบ่งกลุ่มต่อสู้กันเองที่ ป่าเขาไพร และสุดท้ายต้องรับมือกับการโจมตีของศิษย์พี่ที่มีวรยุทธ์เก่งกาจ ส่วนหานลี่ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้เมื่อได้เห็นคนอื่นๆ ลำบากในการต้องเผชิญกับบททดสอบเหล่านี้

โชคดีที่หานลี่และจางเที่ยไม่ได้เข้าร่วมบททดสอบที่ทรหดเช่นนี้ ก็เหมือนที่ท่านหมอม่อเคยบอกไว้ว่าจะทดสอบแค่การฝึกจิตจากบทที่เขาเคยให้มา แต่ว่าด่านนี้ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนที่หานลี่คิดเอาไว้ และจนถึงตอนนี้เขาก็ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้อย่างชัดเจน

ตามที่ท่านหมอม่อได้เอ่ยไว้ว่าบทท่องนิรนามนี้แบ่งออกเป็นหลายขั้น พวกเขาได้ฝึกแค่ขั้นที่หนึ่ง นั่นหมายความว่าถ้าภายในครึ่งปีพวกเขาสามารถฝึกสำเร็จ ท่านหมอม่อก็จะถือว่าพวกเขาสอบผ่านและจะได้เป็นศิษย์ของสำนักอย่างเต็มตัวซึ่งแน่นอนว่าจะได้รับการปฏิบัติเหมือนศิษย์คนอื่นๆ

แต่หลังจากที่หานลี่ได้รู้ถึงความแตกต่างค่าตอบแทนระหว่างสายในและสายนอกแล้ว เขาก็ละทิ้งความคิดที่อยากจะเป็นศิษย์สายนอกและกลับบ้านไปหมดสิ้น ตอนนั้นเขาคิดว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการที่เขาได้รับเงินจากสำนักแล้วส่งกลับไปให้ที่บ้านอีกแล้ว เพราะเขารู้ดีว่าไม่มีอะไรจะลำบากกว่าความยากจนและเขาก็รู้ว่ายิ่งเขามีเงินมากเท่าไหร่ พ่อแม่พี่น้องที่บ้านก็จะมีชีวิตที่สุขสบายขึ้นเท่านั้น

หลังจากที่ได้รับบทท่องจากท่านหมอม่อแล้ว หานลี่ก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ไปไหน เขาใช้เวลาว่างทั้งหมดที่มีในการฝึกฝนทั้งวันทั้งคืน เนื่องจากท่านหมอม่อไม่ได้ให้คำชี้แนะใดๆ แก่พวกเขาเลย หานลี่เลยต้องหาทางฝึกฝนด้วยตัวของเขาเอง เขาพิจารณาจากการฝึก ‘พลังหยาง’ ซึ่งเป็นการฝึกกำลังภายในพื้นฐาน จนในที่สุดเขาก็เข้าใจวิธีการในการฝึกบทท่องนิรนามนี้

เมื่อได้ฝึกตามวิธีดังกล่าว หลังจากที่ฝึกอย่างยากลำบากอยู่สามเดือน สิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงคือเขาค้นพบว่าเขาฝึกได้ช้าจนน่าตกใจ เขาได้ใช้กำลังไปอย่างมหาศาลในการฝึกแต่ก็ทำได้แค่เกิดลมปราณเบาๆ ในร่างกาย พลังนี้มันเบาบางมากจนบางครั้งถ้าไม่นั่งทางในก็ไม่สามารถสัมผัสได้

หรือนี่คือพลังลมปราณที่อาจารย์หลายๆ ท่านเคยกล่าวถึง หานลี่คิดว่าต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ

แต่ได้ยินศิษย์คนอื่นๆ ที่ได้ฝึก ‘พลังหยาง’ ของสำนักพูดกันว่า ขณะที่พวกเขาฝึกอยู่นั้นในร่างกายจะเกิดพลังร้อนไหลเวียนอยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่ของเขากลับเป็นพลังเย็นเสียอย่างงั้น ผลจากการฝึกฝนของทั้งสองแบบช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกิน

ศิษย์คนอื่นหลังจากที่ได้ฝึกใช้ ‘พลังหยาง’ ในร่างกายแล้ว ก็สามารถโค่นต้นไม้เล็กได้ในหมัดเดียว และกระโดดได้สูงถึงฟุตกว่า แต่หลังจากหานลี่ได้ฝึกใช้พลังลมปราณแปลกๆ นั่นแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างอะไรจากเมื่อก่อน สิ่งเดียวที่แตกต่างคือจิตใจสดชื่นแจ่มใสขึ้นมาก อยากกินอาหารมากขึ้นกว่าเดิม แต่แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน และยิ่งได้เห็นคนอื่นๆ พัฒนากันมากขึ้น หานลี่ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจ

เมื่อได้เห็นเช่นนั้นหานลี่ก็เกือบที่จะละทิ้งความพยายามที่ผ่านมาหลายเดือน เพราะเขาคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะผ่านบททดสอบของท่านหมอม่อได้ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ๆ จนเขาถึงกับเตรียมใจที่จะลงจากเขาเลยทีเดียว

จนอยู่มาวันหนึ่งเขาได้รู้จากจางเถี่ยว่า ตั้งแต่เขาฝึกบทท่องนิรนามนี้ ร่างกายของเขาไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ และแม้แต่พลังลมปราณเล็กๆ ที่หานลี่สัมผัสได้เขาก็ไม่มี

เมื่อได้รับรู้เหตุการณ์นี้ก็ทำให้หานลี่เรียกความมั่นใจที่เขาเคยละทิ้งไปกลับมาใหม่อีกครั้ง และเขาเริ่มใช้เวลาที่เหลือในการกลับไปเริ่มฝึกฝนเช่นเดิม

ไม่สิ ต้องอดทนมากกว่าเดิม และยิ่งบ้ามากกว่าเดิม

ตอนนี้หานลี่ใช้เวลาทุกๆ สิบห้านาทีในการนั่งฝึกจิต แม้แต่เวลานอนเขาก็ยังนั่งในท่านั่งสมาธิอยู่ เขาหวังให้ตัวเองฝึกให้ได้ผลมากขึ้น และแน่นอนว่าวิธีการบ้าๆ นี้ทำอยู่ไม่กี่วันก็ไปไม่รอด เพราะว่าทำให้เขานอนไม่พอจนไม่สามารถฝึกต่อได้

สิ่งที่ทำให้หานลี่ยิ่งไม่เข้าใจคือตั้งแต่ที่ท่านหมอม่อสอนพวกเขาท่องบทนิรนามแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ไม่ถามถึงความก้าวหน้า แม้แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะฝึกก็ไม่เคยถาม เหมือนว่าเขาลืมไปแล้วว่ายังมีศิษย์สองคนนี้อยู่ด้วย

ในทุกๆ เช้า ท่านหมอม่อจะนั่งอ่านหนังสือที่มีตัวอักษรสีดำอยู่บนปกทั้งวันราวกับว่าจะมีสาวงามหรือทองคำออกมาจากหนังสืออย่างนั้นแหละ ตอนแรกหานลี่และจางเถี่ยคิดว่าท่านหมอม่อคงไม่อยากจะช่วยเหลือผู้คนและจะหันไปสอบเป็นซิ่วไฉ (การสอบคัดเลือกขุนนางประเภทหนึ่ง) เสียอีก ต่อมาหลังจากได้เรียนหนังสือพวกเขาถึงได้เข้าใจว่าตัวอักษรสามตัวนั้นคือคัมภีร์ ‘อมตะ’ ที่เกี่ยวกับการฝึกจิตให้มีอายุยืน

และเวลานี้พวกเขาได้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ท่านหมอม่อไม่ได้อยากจะสอบซิ่วไฉ แต่เขาอยากเหมือนเต่าในแม่น้ำที่มีอายุเป็นพันเป็นหมื่นปี