บทที่ 8

ตอนที่ 8 เข้าเป็นศิษย์ในสำนัก

หลังจากผ่านการฝึกฝนเกือบครึ่งปี ในที่สุดหานลี่ก็ได้มายืนรับบททดสอบอยู่หน้าท่านหมอม่อ

จางเถี่ยยืนตัวสั่นติดกับหานลี่ ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะหานลี่ก็รู้จากปากเขาตั้งนานแล้วว่า ช่วงการฝึกที่ผ่านมานี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเขาตัวเขาเลยสักนิด

หานลี่รู้ว่าจางเถี่ยก็ตั้งใจฝึกบทท่องนิรนามนี้ไม่น้อยไปกว่าเขา ถึงแม้ว่าจางเถี่ยจะไม่ได้ฝึกอย่างบ้าคลั่งเอาเป็นเอาตายแบบเขา แต่ก็ทุ่มเทไปไม่น้อยเลยทีเดียว ถือว่าทุ่มสุดตัวก็ว่าได้

แต่ที่น่าแปลกคือบทท่องนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรกับจางเถี่ยเลย ซึ่งไม่ว่าเขาจะทุ่มเทสักเท่าไหร่ก็ไม่เกิดผลอันใด สงสัยว่าบทสวดนี้จะไม่มีวาสนากับเขาแล้วกระมัง

หานลี่รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ จิตใจไม่ค่อยสงบ เขารู้ว่าครั้งนี้จางเถี่ยมีโอกาสที่จะไม่ผ่านบททดสอบนี้สูงมาก และแม้ว่าจะฝึกได้ผล แต่ก็ไม่มีทางดีไปกว่าเขาเป็นแน่

การฝึกฝนที่ทุ่มเทของหานลี่ทำได้แค่ให้การไหลเวียนของลมปราณแปลกๆ นี้ดีกว่าเดิมขึ้นมาหน่อย ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนก็จะมีขนาดเท่าเส้นผม ส่วนตอนนี้มีขนาดเท่าเส้นฝ้าย แต่มันจะสามารถทำให้เขาผ่านบททดสอบของท่านหมอม่อได้หรือ เขาเดาไม่ออกเลยจริงๆ ดังนั้นเขาเลยอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้

“เตรียมตัวพร้อมกันแล้วใช่ไหม แสดงสิ่งที่พวกเจ้าได้ฝึกฝนมาให้ข้าดูหน่อย” ท่านหมอม่อทำตาหยีนั่งอยู่บนเก้าอี้และจ้องลงมาที่พวกเขาทั้งสองคน

“พร้อมแล้วขอรับ” หานลี่และจางเถี่ยทำใจดีสู้เสือตอบออกไป

ท่านหมอม่อลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ เอาหนังสือที่ไม่เคยห่างตัววางไว้บนโต๊ะ

“ยื่นแขนออกมา”

“จงเดินลมปราณให้ข้าดู”

ท่านหมอม่อเอามือข้างหนึ่งไปจับที่ชีพจรข้างขวามือของจางเถี่ย ส่วนอีกมือหนึ่งจับที่จุดตันเถียน

ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ท่านหมอม่อก็เอามืออกจากจางเถี่ยใช้ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกเพ่งพินิจไปที่เขา

ใบหน้าจางเถี่ยแดงไปหมดพร้อมเอามือทั้งสองข้างไปวางไว้ข้างหลังและนั่งก้มหน้าไม่กล้ามองไปที่ท่านหมอม่อแม้แต่น้อย เขารู้ว่าท่านหมอม่อสัมผัสได้แล้วว่าเขาฝึกบทท่องนิรนามนี้ไม่ได้ผลและต้องจัดการกับเขาเป็นแน่

“ถึงตาเจ้าแล้ว”

พวกเขาแปลกใจที่ท่านหมอม่อไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะตำหนิหรือด่าจางเถี่ยสักนิด มีเพียงแค่นัยน์ตาผิดหวังที่แสดงออกมาให้เห็น และแค่ครู่เดียวท่านหมอม่อก็มายืนอยู่ตรงหน้าหานลี่

ท่านหมอม่อทำแบบเดิมกับหานลี่คือแตะที่ชีพจรขวามือของเขา

‘เย็นมาก เย็นจริงๆ ไม่เหมือนมือคนที่มีชีวิตเลยสักนิด’ หานลี่เอะอะโวยวายอยู่ในใจ

ผิวหนังบนมือของท่านหมอม่อนั้นแห้งและมีตาปลาเต็มไปหมด มันทิ่มไปที่ผิวของหานลี่ทำให้รู้สึกแสบร้อน และนี่คือครั้งแรกที่ท่านหมอม่อสัมผัสตัวเขา

หรืออาจเป็นเพราะผลกระทบจากภายนอก ทำให้ลมปราณในร่างกายของหานลี่ปะทุออกมาก่อนที่เขาจะทันได้ดึงออกมาใช้ เส้นลมปราณทั้งแปดก็ได้ไหลผ่านจุดเลือดลมต่างๆ ในร่างกาย เริ่มจากจุดตันเถียนขึ้นไปที่ศีรษะและลงไปที่มือเท้าทั้งสองข้าง จากนั้นก็ไหลไปทั่วร่างกายแล้วกลับมายังจุดตันเถียนดังเดิม การไหลเวียนของลมปราณนี้ทำให้ความรู้สึกแปลกๆ บนผิวหนังของเขาหายไปในพริบตา

“หืม!” ท่านหมอม่อส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสลมปราณนั้นได้แล้ว

“เร็วเข้า เจ้ารีบใช้บทท่องนั้นอีกครั้ง” ถึงแม้ว่าท่านหมอม่อจะพยายามบังคับไม่ให้แสดงออกทางสีหน้า แต่นัยน์ตาของเขากลับแสดงออกให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของเขา มันทำให้หานลี่ตกใจอยู่ไม่น้อย

“ช้าๆ ขอข้าดูอย่างละเอียด” ท่านหมอม่อพูดเสริมขึ้น น้ำเสียงที่เยือกเย็นบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นร้อนรน และเอามือวางไว้ที่จุดตันเถียนของหานลี่อีกครั้ง

หานลี่สัมผัสได้ว่ามือทั้งสองของท่านหมอม่อเริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จากนั้นหานลี่ก็เริ่มเดินลมปราณอีกครั้ง

“ไม่เลว! ไม่เลว! ความรู้สึกนี้ นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ ไม่ผิดแน่! ไม่มีทางผิดแน่! ฮ่าๆๆ....”

หลังจากที่ท่านหมอม่อได้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็กลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เขาเอามือทั้งสองข้างจับที่ไหล่ของหานลี่อย่างแน่น ตาเล็กๆ ของเขาพองโตจ้องมายังหานลี่เหมือนว่าเขากำลังมองสิ่งของล้ำค่าหายากบนโลกใบนี้และมีความบ้าคลั่งอยู่ในนัยน์ตาคู่นั้น

หานลี่ได้ยินแต่เสียงหัวเราะของท่านหมอม่อดังก้องอยู่ในหู รู้สึกว่าไหล่ทั้งสองถูกบีบจนเจ็บไปหมด ยิ่งมองเห็นนัยน์ตาคู่นั้นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

“ดี ดีมาก” ท่านหมอม่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวของหานลี่ถึงสำนึกได้ว่าเขาได้เสียมารยาทออกไปจึงรีบหยุดหัวเราะทันที

“ต่อไปต้องตั้งใจให้ได้แบบนี้นะ จากนี้ไปเจ้าคือศิษย์เอกของข้าแล้ว” เขาปล่อยมือลงและก็ตบที่ไหล่ของหานลี่เป็นการให้กำลังใจ

ใบหน้าของท่านหมอม่อก็กลับไปสงบนิ่งดังเดิมราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้ามองจากสายตาที่เขามองมาที่หานลี่ก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วเขายังตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

“ส่วนเจ้า...” ในที่สุดท่านหมอม่อก็หันไปมองที่จางเถี่ย

ส่วนจางเถี่ยเขาตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามาได้สักพักหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นท่านหมอม่อหันมาพูดกับเขาถึงได้สะดุ้งรู้สึกตัว

เมื่อคิดว่าสอบตกและจะต้องโดนไล่ให้ลงจากเขา จางเถี่ยจึงส่งสายตาอ้อนวอนขณะที่มองเข้าไปในแววตาของท่านหมอม่อ

“เจ้านี่ไม่ไหวเลย เวลานานขนาดนี้ยังฝึกไม่ได้ผลอะไรแม้แต่นิดเดียว ถ้ามาเป็นศิษย์ของข้าก็ดูจะกดดันเจ้าเกินไป” ท่านหมอม่อส่ายหัวไม่หยุด

ใจของจางเถี่ยก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา

จากคำพูดของท่านหมอม่อ ทั้งสองก็รู้ว่าเขาไม่มีทางรับจางเถี่ยไว้เป็นศิษย์

แต่ทันใดนั้นท่านหมอม่อดูเหมือนจะคิดเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมาได้ แววตาที่เขามองมาที่จางเถี่ยให้ความรู้สึกแปลกๆ

“แต่ว่าเมื่อครู่ข้าได้ตรวจดูกระดูกของเจ้า ข้าพบว่ามีเคล็ดอาคมหนึ่งที่เหมาะกับเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าอยากจะเรียนหรือไม่” การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่รวดเร็วของท่านหมอม่อดูเหมือนแฝงความหมายว่าเขาให้จางเถี่ยผ่านการทดสอบ

จางเถี่ยได้ฟังก็ตอบตกลงในทันที ไหนเลยจะปฏิเสธข้อเสนอนี้

“อืม เยี่ยมมาก พวกเจ้าสองคนตามสบายเถอะ พรุ่งนี้ข้าค่อยสอนการฝึกบทใหม่ให้กับพวกเจ้า” ดูออกเลยว่าตอนนี้ท่านหมอม่ออารมณ์ดีพอสมควร เขายังพูดต่ออีกว่า “อืม เยี่ยมมาก”

หานลี่และจางเถี่ยต่างหันมามองหน้ากัน พวกเขารู้สึกว่าการทดสอบในครั้งนี้พลิกผันไปมา ร้ายกลายเป็นดี สุดท้ายพวกเขาก็ผ่านบททดสอบด้วยกันทั้งคู่ทำให้พวกเขารู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง