บทที่ 35 ความลับของท่านอาจารย์
บางทีไฟอย่างแท้จริงนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องทั่วๆ ไป ดังนั้นในหนังสือจึงอธิบายเอาไว้ไม่เยอะ ที่มีเนื้อหาเยอะกว่านั้นคือไฟจากสัตว์ ไฟวิญญาณ และไฟจากฟ้า สำหรับไฟจากดินที่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยนั้นก็อธิบายไว้เพียงเล็กน้อย
ไฟจากสัตว์นั้นเป็นไฟที่เกิดจากสัตว์เทพหรือสัตว์ที่เป็นปีศาจฝึกพลังได้ระดับหนึ่ง หลังจากนั้นก็เกิดไฟออกมาจากร่างกาย ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นไฟที่ระเบิดออกและยากที่จะควบคุมได้
ไฟวิญญาณเป็นคุณสมบัติของสมุนไพรที่มีอายุถึงระดับหนึ่ง หลังจากนั้นจะภายในจะเกิดไฟขึ้นมา รวมตัวกันเป็นพลังไฟ คุณสมบัติของมันทั้งบริสุทธิ์อบอุ่นและมีอยู่น้อยมาก
ไฟจากดินความหมายก็ตามชื่อของมันเป็นแหล่งความร้อนที่ควบแน่นกับตามธรรมชาติทำให้กลายเป็นที่มาของไฟ เช่นภูเขาไฟก็เกิดจากการที่ความร้อนจากดินประทุขึ้นมา นี่เป็นต้นกำเนิดของไฟที่ปลอดภัยที่สุดและหาได้ง่ายที่สุดสำหรับผู้ปรุงยาวิเศษ บรรดาสำนักไม่น้อยใช้คาถาทำให้ไฟจากดินรวมตัวกัน จัดสรรสถานที่ แล้วก็สร้างห้องปรุงยา ใช้ม่านพลังควบคุมไฟเอาไว้ใช้เอง
ส่วนที่หาได้ยากที่สุดนั้นคือไฟที่มาจากฟ้า ตามตำนานตอนที่ผานกู่แยกโลกนั้นบอกว่าเพราะเหตุผลพิเศษหลายๆ อย่างทำให้เกิดเปลวไฟพิเศษนี้ ไฟแต่ละชนิดต่างมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว พลานุภาพนั้นแรงพอที่จะเผาภูเขาและทะเลได้ เซียนระดับต่ำกว่าเจี๋ยตันแค่ถูกมันเพียงนิดเดียว ก็จะถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ถ้าหากว่าเป็นเซียนระดับเจี๋ยตัน หากไม่มีอาคมวิเศษและไม่มีการป้องกันที่ดี โดนไฟประหลาดนี้เข้าก็จะได้รับบาดเจ็บจนถึงชีวิต
ตามทฤษฎีแล้วผู้ที่มีรากวิญญาณไฟนั้นถ้าได้รับการฝึกฝนการควบคุมไฟก็สามารถควมคุมแหล่งที่มาของไฟและประเภทของไฟจนนำมาใช้ได้ เซียนที่ระดับต่ำกว่าเจี๋ยตันสามารถนำไฟมาผนึกเอาไว้ในอาวุธ ยันต์หรือพวกม่านอาคมต่างๆ เมื่อถึงเวลาที่ต้องการใช้ถึงจะนำออกมา
เซียนระดับสูงกว่าเจี๋ยตันสามารถฝึกฝนให้ตัวเองปล่อยพลัง ไฟอย่างแท้จริงออกมาได้ หากเซียนพัฒนาระดับของตัวเองแล้วระดับของไฟอย่างแท้จริงก็จะพัฒนาขึ้นด้วย ในเวลาเดียวกันยังสามารถดูดซับไฟจากที่อื่นเข้ามาเป็นไฟอย่างแท้จริงได้อีกด้วย ยิ่งดูดซับมากเท่าไหร่ ไฟอย่างแท้จริงในร่างกายก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่ว่าการดูดซับไฟจากภายนอกนั้นอันตรายมาก หากไม่ระวังจะเสี่ยงต่อชีวิต
หนังสือเรื่อง บันทึกของยาไฟนั้นมีระบุถึง บันทึกของไฟจากสัตว์ ไฟวิญญาณ และไฟจากฟ้า สองประเภทแรกบอกว่ามีมากกว่าสิบชนิด ผู้เขียนเองก็บอกไว้ในตอนท้ายว่าตนเองนั้นมีความรู้จำกัด ไฟจากสัตว์และวิญญาณในโลกนี้นั้นน่าจะมีไม่น้อย
สำหรับไฟจากฟ้านั้นบันทึกไว้แค่สามชนิด แต่โบราณว่ามีเก้าชนิด แต่ว่านอกจากนี้อีกหกชนิดผู้เขียนไม่เคยได้ยิน จึงบันทึกไว้แค่สามชนิด แต่ก็รู้จักเพียงชื่อของมัน รูปร่างเป็นอย่างไรนั้นก็ไม่แน่ชัด
การจำหนังสือเล่มนึงกลับไวกว่าที่คิด จูจูรู้สึกแปลกๆ เนื้อหาในหนังสือช่างคุ้นตา แล้วยังรู้สึกว่ามีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง แต่ว่าในเวลานี้หน้าที่ของนางก็แค่จัดการความต้องการของอิ๋นจื่อจางให้เสร็จๆ ไป ดังนั้นจึงไม่ได้มีเวลาไปคิดมากอะไร เมื่อนางอ่านใหม่อีกรอบตั้งแต่ต้นจนจบแล้วก็โยนหนังสือเล่มนี้ไว้อีกทาง
คู่มือสมุนไพรของภูเขาจือซู่ บันทึกถึงภูเจาจือซู่ที่จูจูไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อ ในนั้นเมื่อเปิดออกส่วนแรกก็อธิบายถึงสภาพภูมิศาสตร์และตำแหน่งของมันอย่างคร่าวๆ น่าเสียดายที่สมองของนางไม่สามารถจดจำสถานที่ได้มากนัก นางจำได้เพียงภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์และหมู่บ้านโจวเท่านั้น สำหรับเรื่องที่ในหนังสือเขียนไว้ว่า แผ่นดินใหญ่อะไร แคว้นอะไร ภูเขาอะไรนั้น นางไม่รู้เลยว่ามันอยู่ส่วนไหนของโลก คงต้องค่อยๆ จำไป โชคดีที่เมื่อพูดถึงสมุนไพรนั้น จูจูมองแค่แวบเดียวก็สามารถจำได้แล้ว
นางรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถพิเศษในเรื่องของพวกพืชสมุนไพรจริงๆ เนื้อหาของส่วนนี้ แค่อ่านไปครึ่งแรกก็สามารถรู้ได้แล้วว่าครึ่งหลังจะพูดถึงอะไร เหมือนกับว่านี่เป็นความรู้ทั่วไป
เล่มสุดท้าย ส่วนเสริมวิธีการใช้ยาจิตใจสงบ เนื้อหายิ่งมีน้อยยิ่งกว่าเดิม ในนั้นมีวิธีการใช้ยาสงบจิตใจแต่ละประเภทเรียงอยู่ และยังได้มีการพิสูจน์อักษรมาเรียบร้อยแล้ว บทแรกผู้เขียนก็บ่นถึงเนื้อหาสาระสำคัญ เป็นการพูดถึงสิ่งที่ผู้ปรุงยาหวงแหน เพราะเหตุผลนี้ จึงนำวิธีปรุงยาง่ายๆ แต่มีประสิทธิภาพมาแก้ไข และเพิ่มวัตถุดิบของการปรุงยาที่ไม่จำเป็นที่ได้ยินมาเพิ่มไปอีกไม่น้อย วัตถุดิบพวกนี้ประสิทธิภาพไม่ได้มากนัก แต่ก็มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยา ดังนั้นเขาถึงนำประสบการณ์การปรุงยาของตัวเองมาบันทึกเอาไว้ พยายามทุกวิถึทางให้มีผลลัพธ์เหมือนของดั้งเดิม การศึกษาให้ใช้ส่วนผสมให้น้อยที่สุด และผสมผสานการปรุงยาให้สะดวกและได้ผลลัพธ์ที่ดีมากที่สุด
จูจูจดจำเนื้อหาในหนังสือทั้งเล่มเงียบๆ มีทั้งหมดห้าวิธี แต่ว่านางกลับรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย ในสมองมีเสียงร้องไม่หยุดว่าวิธีการพวกนี้มีปัญหา นางเกาหัว เลิกคิดเรื่องในสมอง แล้วจำความรู้ในหนังสือหนึ่งรอบ หลังจากนั้นก็นำทั้งสามเล่มกลับบ้านไปและเริ่มทำกับข้าว
ก่อนที่นางจะออกไป ฝูกุยก็ได้มารายงานเจิ้งฉวนว่าวันนี้จูจูอยู่ในห้องหนังสือ พอได้ยินว่าจูจูเลือกท่องหนังสือสามเล่มที่บางที่สุด เมื่อท่องเสร็จก็รีบกลับไป แม้แต่หันมามองเนื้อหาในหนังสือบนชั้นยังไม่ทำ ริมฝีปากของแย้มยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น
“หนังสือที่บางที่สุดในห้องหนังสือคือ บันทึกของยาไฟ คู่มือสมุนไพรของภูเขาจือซู่ และส่วนเสริมวิธีการใช้ยาจิตใจสงบ ใช่ไหม?” เจิ้งฉวนครุ่นคิด และถามฝูกุย
ฝูกุยพยักหน้าเป็นการตอบ ในใจก็รู้สึกตกใจอยู่เงียบๆ แม้แต่เรื่องนี้ท่านอาวุโสยังจำได้ ! หรือว่าหนังสือทั้งหมดในห้องสมุดนั้นท่านเคยจำมาทั้งหมดแล้วเช่นกัน? มิน่าล่ะเขาเป็นถึงปรมาจารย์ผู้ปรุงยาระดับหก ความทรงจำที่ดีขนาดนี้คนธรรมดาไม่สามารถเทียบได้เลย
“นางจำหนังสือพวกนั้นใช้เวลานานเท่าไหร่?”เจิ้งฉวนถามอีกครั้ง
“หนึ่งชั่วยามขอรับ”
เจิ้งฉวนขมวดคิ้วพลางพูดว่า “ทำไมนานขนาดนี้?”
ฝูกุยหน้าเขียว ในใจก็คิดว่า หากเปลี่ยนเป็นเขา เดาว่าต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม! เงื่อนไขของอาวุโสเจิ้งฉวนช่างสูงนัก สำหรับเซียนตบะยิ่งสูงก็จะทำให้ยิ่งฉลาดขึ้น ความสามารถในความจำและสติปัญญาจะยิ่งพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าจูจูนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกฝนพลังอะไร เป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาไม่ใช่หรือ เวลาหนึ่งชั่วยามนางยังสามารถอ่านหนังสือทั้งหมดได้แบบนี้เรียกว่าช้าเกินไปหรือ? แค่มองผ่านตาก็สามารถจำได้ ถ้าอยู่ในโลกมนุษย์ทั่วไปเรียกว่าสุดยอดอัจฉริยะแล้ว
แต่ว่าไม่นานเจิ้งฉวนก็เหมือนคิดอะไรออก คิ้วที่ขมวดเข้าหากันนั้นค่อยๆ คลายออก เขาโบกมือพลางพูดว่า “เย็นนี้ข้าจะลงจากภูเขาเสียหน่อย พรุ่งนี้เช้าพอนางมาถึงเจ้าก็สังเกตท่าทางของนางเหมือนเดิม พอข้ากลับมาจะมาถามเจ้า”
ฝูกุยโค้งคำนับเป็นคำตอบ ในใจก็คิดว่าถึงแม้ว่าท่าทางของอาวุโสจะเย็นชาต่อศิษย์เอกของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขาก็คงเป็นห่วงไม่น้อย ไม่งั้นคงไม่สั่งให้เขาไปแอบจับจ้องพฤติกรรมของนางหรอก แค่เข้าไปถามด้วยตัวเองก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ จิตใจของผู้ที่สูงส่งช่างยากแท้หยั่งถึงจริงๆ
แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก อาวุโสเจิ้งฉวนจะลงจากภูเขาเย็นนี้….ในช่วงเวลานี้อารมณ์ของเขาจะเลวร้ายมาก ถ้าสามารถหลบได้ก็ต้องหลบ
จะว่าไปแล้วการเป็นผู้รับใช้ของอาวุโสเจิ้งฉวนนั้นก็ทำให้ผู้คนอิจฉาไม่น้อย ข้อดีจริงๆ แล้วก็มีไม่น้อย แต่ว่าอาวุโสเจิ้งฉวนทุกๆ สามวันจะลงจากภูเขา ทุกครั้งก่อนที่จะลงจากภูเขาแล้วอารมณ์มักจะดุร้าย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าที่ดุร้ายราวกับภูเขาไฟบ่อยๆ ทุกอาทิตย์ ความกดดันนั้นถือว่าไม่ใช่ธรรมดา
ภายในห้องสมาธินั้นจึงเหลือเพียงเจิ้งฉวนเพียงคนเดียว เขาลุกขึ้นอย่างหงุดหงิดและเดินกลับไปกลับมา เงยหน้ามองกำแพงที่แขวนไว้ด้วยของที่มีลักษณะคล้ายช้อนที่ใช้ตักแบ่งสมุนไพรสีทองที่ถูกแกะสลักอย่างงดงามเหมือนเป็นของตกแต่ง ทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวๆ “เพราะข้าไม่มีความสามารถ ข้าผิดต่อเจ้า เจ้าจะให้ข้าขึ้นเขาลงห้วย ทำอะไรข้าจะไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วสงสัย ทำไมเจ้าต้องให้ข้าดูแลนาง…เจ้าก็รู้ว่าข้ากับนางนั้น…”
ช้อนสีทองนั้นมีความประมาณสามฉื่อ ที่ด้ามจับนั้นแกะสลักด้วยลวดลายที่ละเอียดประณีต ลวดลายนั้นเหมือนเมฆไหล ลวดลายของมันเหมือนกับในกำไลที่จูจูใส่ไว้ ที่แท้มันมาจากคนคนเดียวกัน!