บทที่ 34 เงาดำของชีวิตที่มีความสุข
เห็นได้ชัดว่าอิ๋นจื่อจางก็คิดถึงภารกิจที่เจิ้งฉวนมอบให้ก่อนหน้านี้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ฝูกุยเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่เจิ้งฉวนสั่งมานั้นดูเกินไปเสียหน่อย แต่ในฐานะของเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ดังนั้นจึงทำเป็นไม่เห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง เขาหยิบไข่มุกวิญญาณที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วส่งมาให้ที่มือของนางพลางพูดว่า “ในถ้ำของอาวุโสเจิ้งฉวนทุกที่ต่างมีคาถาผนึกไว้ ต้องใช้ไข่มุกวิญญาณที่แตกต่างกันเพื่อเปิดออก นี่เป็นไข่มุกที่ใช้เปิดห้องหนังสือ เจ้าเก็บเอาไว้ ที่อื่นยังไม่ได้รับอนุญาตจากอาวุโสเจิ้งฉวนก็ยังไม่สามารถไปไหนมาไหนซี้ซั้วได้ ไม่งั้นหากไปสัมผัสโดนคาถาปิดผนึกเข้าผลลัพธ์คงร้ายแรงนัก มีอันตรายถึงชีวิต จำเอาไว้ให้ดี”
จูจูตอบรับว่า “อ้อ” แล้วรับเอาไข่มุกเม็ดนั้นมา และกลับออกไปจากถ้ำของเจิ้งฉวนพร้อมกับอิ๋นจื่อจาง
“ไม่แน่ว่าท่านอาจารย์อาจจะไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้ารู้สึกลำบาก คัมภีร์ในนั้นถือว่าหายากมากในภายนอก เจ้าเชื่อฟังคำพูดของเขา พยายามอ่านหนังสือไป” อิ๋นจื่อจางพูดประโยคนั้นออกมาอย่างแข็งๆ แต่ก็ดูจะปลอบใจนางไปด้วย
จูจูพยักหน้ารับอย่างเรื่อยเปื่อย จริงๆ แล้วนางไม่ได้รู้สึกลำบากเลยสักนิด นางเองไม่ได้อยากฝึกพลังเพื่อกลายเป็นเซียนอมตะเสียหน่อย และก็ไม่ชอบคบค้ากับอาจารย์ที่มีท่าทางแปลกๆ นั่นด้วย นางอยู่ที่นี่ก็เพื่อรอวันตายไม่ใช่หรือ อาจารย์ไม่แยแสเช่นนี้ นางยิ่งรู้สึกผ่อนคลายและมีอิสระ!
ทั้งชีวิตไม่ต้อบพบหน้าอาจารย์ช่างมีความสุขจริงๆ!
วันนี้อิ๋นจื่อจางได้แสดงพลังอันน่าเกรงขามออกไปแล้ว ช่วงในระยะเวลาสั้นๆ นี้คงไม่มีใครมาหาเรื่องพวกเขา นางเองก็อาศัยอยู่ที่ ‘เขตหวงห้าม’ ของหุบเขาอิงปั้ง ขอแค่เพียงไม่ออกไปไหน คนอื่นถึงอยากจะหาเรื่องนางแต่ก็คงไม่มีปัญญา พอคิดดูแล้วการใช้ชีวิตแบบนี้ก็รู้สึกมีความสุขสุดๆ
วันแห่งความสุขวันแรก จูจูนอนหลับฝันดี ตื่นขึ้นมาตักน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ใส่ลงไปในข้าวสารและแปะก๊วยที่เผยกู่มอบให้เคี่ยวช้าๆ จนกลายเป็นโจ๊ก เข้าคู่กับปลาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทอดกรอบและเครื่องปรุงผลไม้ เมื่อทุกอย่างถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะ อิ๋นจื่อจางก็มาตรงเวลาพอดี
คุณชายใหญ่กินไปด้วยพลางบ่นไปด้วยอย่างจู้จี้จุกจิกว่า “โจ๊กจืดชืดเช่นนี้จะทำมาทำไม? ปลานี่รสชาติไม่เลว ทำมาอีกจานไป แล้วหางจิ้งจอกกับเนื้อกระต่ายตากแห้งล่ะ? เก็บไว้แอบกินคนเดียวใช่ไหม?!”
จูจูถูกเขาชี้สั่งจนหัวหมุน ไม่ง่ายเลยที่จะดูแลรับใช้คุณชายใหญ่ให้พอใจ แล้วยังได้ภารกิจใหม่อีก “สายหน่อยข้าจะพาเจ้าไปที่ที่พักข้า ที่นั่นไม่มีคนอยู่มานานแล้ว เจ้าก็ไปช่วยข้าเก็บกวาดหน่อย”
จูจูกลัดกลุ้มใจเสียแล้ว นางปฏิเสธเสียงเบาว่า “ข้าจำได้ว่าศิษย์พี่ฝูเอ่อร์ไต้บอกว่า เจ้าสามารถเรียกนักพรตน้อยมาช่วยเก็บได้นี่นา”
อิ๋นจื่อจางตอนนี้ถือว่าเป็นศิษย์เอกของปรมาจารย์หยวนอิงแล้ว ถึงแม้ระดับขั้นจะยังไม่ถึงจู้จี แต่อีกหน่อยก็คงจะพัฒนาขึ้น ไม่เพียงแต่มีถ้ำเป็นที่พักส่วนตัว ยังสามารถมีเด็กรับใช้หรือแม้กระทั้งสาวใช้ได้สองคน
“ข้าเกลียดที่สุดคือการที่คนแปลกหน้ามาหยิบจับสิ่งของของข้า เจ้าคิดจะอู้งานใช่หรือไม่?” อิ๋นจื่อจางหรี่ตาลง ถามด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่โหดร้าย
“ไม่ใช่ ไม่ใช่!” จูจูรีบส่ายหัวปฏิเสธ
“หึ! ตอนกลางวันเจ้าไปที่ถ้ำของอาจารย์สองเพื่ออ่านหนังสือ ตกเย็นข้าจะมาฟังเจ้าท่อง ถ้าเจ้ากล้าอู้ล่ะก็ข้าจะบิดหูหมูๆ ของเจ้าให้ขาด!” ทั้งโหยวเชียนเริ่นและเจิ้งฉวนต่างเป็นอาจารย์ของเขาทั้งคู่ ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการเรียกเขาจึงเรียกเจิ้งฉวนว่าอาจารย์สอง
จูจูคิดไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างที่ว่านางท่องจำหรือไม่เขาก็จะสนใจด้วย ชั่วขณะนั้นนางคิดย้อนไปถึงสิ่งที่ตนเองคิดไว้อย่างสวยงาม ดูท่านางจะคิดง่ายเกินไปเสียแล้ว อนาคตที่มีความสุขของนางถูกปกคลุมด้วยเงาดำเพิ่มมาอีกหนึ่งชั้น
เมื่อวานอิ๋นจื่อจางได้ถามฝูกุยแล้วว่าหนังสือและคัมภีร์ที่อยู่ในห้องหนังสือสามารถยืมได้ไหม ฝูกุยตอบว่านางสามารถยืมได้ทุกวันวันละสามเล่ม หลังจากคืนจะยืมใหม่ได้อีกครั้ง จูจูคิดว่าอิ๋นจื่อจางอยากอ่านเอง คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเขาคิดจะควบคุมการเรียนของนาง…เจ้านี่เรื่องมากอะไรขนาดนี้นะ? นางไม่ได้ตั้งใจที่จะสอบซิ่วฉายเพื่อเป็นจอหงวนเสียหน่อย? จะจำหนังสือที่มากมายนั้นไปเพื่ออะไร?
เห็นชัดๆ ว่าอาจารย์จงใจกลั่นแกล้ง หรือว่าอิ๋นจื่อจางจะดูไม่ออก?
“ที่นั่นอย่างน้อยก็มีคัมภีร์หรือหนังสือมากกว่าหมื่นเล่ม ถ้าหากว่าข้าจำได้วันละหนึ่งเล่ม จะท่องให้ได้หมดคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปี…” จูจูพยายามพูดเพื่อล้มเลิกความตั้งใจของเขา
“อืม ท่องวันละเล่มนั้นไม่ได้ ช่างเถอะ! ข้าจะยอมลำบากเพิ่มอีกหน่อยละกัน งั้นทุกวันเจ้านำกลับมาสามเล่มท่องให้ข้าฟังก็แล้วกัน…” อิ๋นจื่อจางพยักหน้า ตัดสินใจในสิ่งที่ทำให้จูจูต้องคลั่งยิ่งกว่าเก่า
คนที่ลำบากมันคือข้าต่างหาก! จูจูร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีน้ำตา
“เอาตามนี้ละ ! ข้าจะกลับไปบำเพ็ญตบะ เจ้าก็รีบไปห้องหนังสือ” อิ๋นจื่อจางแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยให้นางได้ปฏิเสธอยู่แล้ว เขาหันหลังแล้วเดินจากไป
จูจูเก็บถ้วยชามเสร็จ นำอาหารที่ทำเพิ่มขึ้นแบ่งเป็นสองชุดใส่ลงกล่องและเดินมาที่ด้านนอกประตู ข้างบ้านมีสัตว์ปีกที่ขนทั้งตัวเป็นสีเขียวหยุดอยู่บนยอดไม้ นกอินทรีย์ตัวเล็กๆ ที่มีดวงตาสีทองสดใส เป็นนกอินทรีขนสีเขียวดวงตาสีทองที่เผยกู่เลี้ยงเอาไว้
นกอินทรีตัวนี้แล้วปกติจะใช้ส่งจดหมาย หรือสิ่งของชิ้นเล็กๆ เข้าใจนิสัยของมนุษย์เป็นอย่างมาก เมื่อเห็นจูจูก็เอาหัวเข้ามาถูไถจูจูอย่างเอาใจ และก็ได้รับปลาทอดกรอบเป็นรางวัล
จูจูแกะถุงผ้าเล็กๆ ที่ขาของมันออก นำสมุนไพรและสัตว์เทพที่เผยกู่เตรียมแทนนางออกมา และใส่กล่องอาหารเข้าไปแทน นางจัดการนำไปผูกกับขาของมันอีกครั้ง คิดไปคิดแล้วก็เขียนจดหมายเข้าไปด้วย
“ศิษย์พี่ให้ข้าท่องหนังสือเยอะมาก ตอนเย็นทำอาหารชุดใหญ่ให้พวกท่านไม่ได้แล้ว ถ้าท่านมีเวลามาเยี่ยมข้าหน่อย ช่วยข้าพูดกับศิษย์พี่ที”
เมื่อปล่อยให้นกอินทรีย์บินกลับไปแล้ว จูจูก็วิ่งไปที่ห้องหนังสือของเจิ้งฉวนเพื่ออ่านหนังสืออย่างเศร้าๆ ตลอดทางนางไม่ได้พบใคร นางหยิบไข่มุกเปิดประตูห้องออกเพื่อเข้าไป
ห้องหนังสือนั้นยังเหมือนกับที่นางเห็นเมื่อวาน ชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ประมาณยี่สิบถึงสามสิบชั้น ถูกจัดอย่างเรียบร้อย ภายใต้ความกดดันนั้น จูจูเดินวนรอบพวกมันหนึ่งรอบ เลือกหนังสือที่คิดว่าบางและเล่มเล็กออกมาสามเล่มวางแผนว่าจะเป็นบทเรียนของวันนี้
เล่มหนึ่งชื่อว่า บันทึกของยาไฟ อีกเล่มชื่อว่า คู่มือสมุนไพรของภูเขาจือซู่ และยังมีอีกเล่มชื่อว่า ส่วนเสริมวิธีการใช้ยาจิตใจสงบ ดูแล้วเป็นของที่อยู่ในยุคที่นานมากแล้ว เป็นการอธิบายเพิ่มเติมของวัตถุดิบ มิน่าล่ะเนื้อหาถึงได้น้อยมาก
นางรู้ดีว่าทำอย่างขอไปทีแบบนี้จะทำให้คุณชายอิ๋นจื่อจางไม่พอใจเป็นแน่ แต่ว่านางไม่รู้สึกว่าสมองเล็กๆ ของนางจะจำทุกหนังสือทั้งหมดหมื่นกว่าเล่มได้อยู่แล้ว
นิสัยของอิ๋นจื่อจางคนนี้ฉุนเฉียวง่าย เดาว่าเขาคงไม่มีความอดทนมานั่งควบคุมนางท่องหนังสือได้ทุกวัน ผ่านไปไม่กี่วันก็อาจจะยอมแพ้ ดังนั้นนางจึงใช้แก้ขัดไปก่อน
เมื่อเปิดหนังสือเล่มแรก บันทึกของยาไฟ ด้านบนแนะนำเป็นการแนะนำชนิดและที่มาของยาไฟแต่ล่ะชนิดที่สามารถนำมาปรุงยาวิเศษได้ได้
พูดง่ายๆ ก็คือ ที่มาของยาและชนิดของมันแบ่งออกเป็นห้าประเภทใหญ่ๆ คือ ไฟอย่างแท้จริง ไฟจากสัตว์ ไฟวิญญาณ ไฟจากพื้นดิน และไฟจากท้องฟ้า เพราะว่าเป็นแค่ส่วนเสริม ดังนั้นจึงแค่อธิบายวิธีแบ่งแยกประเภทไฟทั้งห้าประเภทและยกตัวอย่างแบบง่ายๆ เท่านั้น
เปิดมาบทแรกนั้นเป็นเรื่องของไฟอย่างแท้จริง เป็นประเภทของไฟที่รวบรวมออกมาจากการบำเพ็ญตบะของเซียน มาร พระ หรือภูตผี เป็นไฟที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างกัน แต่ส่วนแรกเขียนไว้ว่าเซียนนั้นจำเป็นต้องมีรากวิญญาณไฟ ส่วนผู้ที่มีรากวิญญาณอื่นนั้นแทบไม่มีหวังที่จะรวบรวมไฟอย่างแท้จริงได้
นี่ก็กลายเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดในการเป็นอาจารย์ปรุงยาคือต้องมีรากวิญญาณไฟ การจะทำยาวิเศษนั้นต้องควบคุมไฟให้ดี หากไม่มีรากวิญญาณไฟแล้วก็ไม่สามารถทำได้