บทที่ 33 อาจารย์แย่ๆ ที่หลอกลวง
เขาจะไปเป็นเพื่อนข้าหรือ? ในใจของจูจูมีความคิดเข้าข้างตัวเอง
ฝูเอ่อร์ไต้กลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติ ท่านอาจารย์เจิ้งฉวนเป็นผู้ควบคุมการปรุงยาของสำนัก แม้แต่ปรมาจารย์โหยวก็ยังยากจะทัดทานเขา อิ๋นจื่อจางก็คงใช้โอกาสนี้ทำให้เขาคุ้นหน้า เพราะวันข้างหน้ายังมีเรื่องต้องขอร้องเขาอีกมายมาย
จูจูคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่เจิ้งฉวนมองนางด้วยสายตาแปลกๆ นางก็รู้สึกได้ว่าเจิ้งฉวนไม่ได้มีเจตนาดีกับนางแม้แต่นิด ไม่เหมือนโหยวเชียนเริ่นกับอิ๋นจื่อจางเลย แต่นางก็แค่อยู่ที่สำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ไปวันๆ รอวันตายเท่านั้น ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเขาซึ่งเป็นอาจารย์ของตัวเองได้ และเขาก็เป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้นางยังอยู่ที่นี่ได้
ดังนั้นจูจูจึงพยายามปรับอารมณ์ของตัวเองให้ดีขึ้นและเดินตามอิ๋นจื่อจางและฝูเอ่อร์ไต้มาถึงถ้ำ
ถ้ำของเจิ้งฉวนอยู่ห่างจากบ้านพักของจูจูไม่ถึงหนึ่งร้อยจ้าง ถ้ำของเขาอยู่ตรงส่วนที่ทำมุมเป็นสามเหลี่ยมกับห้องปรุงยาพอดิบพอดี ลูกศิษย์ของหุบเขาโอวหยวนนอกจากผู้ที่มีหน้าที่คอยเฝ้าดูแลแล้ว ก็ไม่มีคุณสมบัติอะไรที่จะอยู่ในเขตนี้
ที่ที่เขาอยู่ก็อยู่ในถ้ำหินเช่นกัน ภายในถ้ำตกแต่งด้วยผลึกสีส้มที่ไม่รู้จักชื่อ เดินไปได้สักพักก็รู้สึกว่ามีคลื่นความร้อนกลุ่มนึงพัดเข้ามาทุกทิศทาง แต่ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดหรือทุกข์ทรมาน
ที่ที่เจิ้งฉวนใช้ต้อนรับพวกเขานั้นดูแปลกมาก ห้องนั้นเป็นห้องที่มีลักษณะเหมือนหม้อใหญ่ๆ เจิ้งฉวนสวมอาภรณ์สีน้ำเงินอ่อนแขนเสื้อกว้างนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง ลักษณะดูสูงส่งกว่าคนทั่วไปตามแบบเซียนผู้สูงส่งใบหน้าไร้ความรู้สึก เรียกได้ว่ากลิ่นอายเซียนช่างบีบคั้นผู้คน
เขารับการคารวะของจูจูและอิ๋นจื่อจาง ดวงตาทั้งสองมองเพียงแค่จูจู สายตาที่เขาใช้มองจูจูนั้นไม่ต่างอะไรจากวันแรกที่พบกัน ดูสงบแบบแปลกๆ แล้วยังแฝงไปด้วยความรู้สึกอีกมากมายที่จูจูไม่เข้าใจ
จูจูถูกเขามองก็รู้สึกไม่สบายใจ ถูกคนอื่นดูถูกนางไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอเป็นสายตาของเจิ้งฉวน กลับทำให้นางรู้สึกเหมือนกับว่าใกล้เคียงกับความอาฆาต
หรือนางจะความรู้สึกไวเกินไป? พวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นางไม่เพียงเป็นแค่เด็กสาวที่มาจากบ้านนอก จะมีคุณสมบัติอะไรไปมีความแค้นกับเซียนระดับสูงได้ล่ะ?
แต่ผู้ที่อยู่ด้านข้างกลับไม่รู้สึกว่าสายตาของเจิ้งฉวนมีอะไรผิดปกติ หรือว่านางจะคิดมากเกินไปจริงๆ?
เจิ้งฉวนโบกมือให้นางและอิ๋นจื่อจางยืนขึ้น เรียกคนรับใช้เฒ่าที่สวมชุดสีขาวเข้ามาพลางกำชับว่า
“ฝูกุย พาพวกเขาไปรู้จักทางที่นี่ และเปิดมุกวิญญาณในห้องหนังสือให้นางดู”
หลังจากนั้นจึงหันมาพูดกับจูจูว่า “หนังสือในห้องหนังสือ เจ้าจำได้ทั้งหมดเมื่อไหร่ ค่อยมาหาข้า ไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายไปได้” ท่าทางของเขาช่างไม่ใส่ใจอะไรเลย
ครั้งนี้ทำให้อิ๋นจื่อจางรู้สึกแปลกๆ แต่เขาเป็นคนนอกไม่มีสิทธิ์ไปสงสัยวิธีการสอนของอาจารย์ที่มีต่อลูกศิษย์ ดังนั้นจึงดึงจูจูให้กล่าวลาอาจารย์หลังจากนั้นก็เดินตามผู้ที่ถูกเรียกว่าฝูกุยที่สวมเครื่องแบบสีขาวเพื่อเดินดูรอบๆ
เมื่อทุกคนจากไปแล้ว เจิ้งฉวนก็ยิ้มเย็นๆ พลางพูดอยู่คนเดียวว่า “เจ้าคิดว่ามีเจ้าเด็กหนุ่มนั่นคอยปกป้องแล้วจะอยู่ที่นี่อย่างสงบได้หรือ? ข้าจะสอนให้เจ้าลิ้มรสชาติของการมีความหวัง แล้วก็ถูกทำลายความหวังไปจนหมดสิ้น…”
ใบหน้าของเขาที่ดูเรียบเฉยยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นพลันหายไปหมดไม่มีเหลือ ปรากฎสีหน้าน่าสะพรึงกลัวออกมา
ฝูกุยชื่อนี้มองแวบเดียวก็รู้ว่าเขามีความเกี่ยวพันกับเจ้าสำนัก จูจูและอิ๋นจื่อจางมาที่นี่ก็พบกับคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าสำนักถึงสองคนแล้ว เห็นได้ชัดว่าประมุขให้ความสำคัญกับที่นี่เป็นอย่างมาก หากมองจากอีกมุมหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าที่นี่ถูกดูแลโดย ‘คนนอก’ อย่างเจิ้งฉวน ควบคุมอยู่ครึ่งหนึ่งทำให้ทางหุบเขาใหญ่นั้นยังไม่ค่อยวางใจ
ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์แล้วทำให้รู้ว่าฝูกุยเป็นศิษย์สายใน ระดับเป็นแค่ผู้ฝึกพลัง ดูจากภายนอกแล้วเขาน่าจะอายุอย่างน้อยก็หกสิบถึงเจ็ดสิบปี ยังอยู่แค่ระดับผู้ฝึกพลัง ในชีวิตนี้โอกาสที่จะกลายเป็นระดับจู้จีได้นั้นมีน้อย แต่จากท่าทางของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเชื่อมั่นในตนเองและหยิ่งยโส และสีหน้าท่าทางที่แสดงออกนั้นก็เหมือนกันกับเจิ้งฉวนไม่มีผิด คือความเย็นชา
เขาพาอิ๋นจื่อจางและจูจูเดินวนจนครบหนึ่งรอบ แนะนำสถานที่อย่างง่ายๆ ราวกับว่าถ้าพูดออกมามากกว่านี้อีกนิดเดียวจะโดนเอาเปรียบ
ด้านนอกของถ้ำดูเหมือนจะไม่ใหญ่ แต่ด้านในมีการวางเค้าโครงที่ใหญ่โตจนทำให้คนตกตะลึง ห้องใช้เป็นที่เก็บอาวุธ เครื่องใช้ ยาวิเศษ พืชที่ใช้ปรุงยา หินวิญญาณ ไข่มุกวิญญาณของเจิ้งฉวนนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง ยังมีห้องที่ใช้ปรุงยาโดยเฉพาะ ห้องทำสมาธิ และห้องที่เอาไว้ฝึกยุทธ์อีกด้วย
ยาวิเศษระดับสูงภายในภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์นั้น ต่างเป็นยาที่เจิ้งฉวนปรุงขึ้นด้วยตนเองที่ห้องปรุงยา
ด้านข้างของห้องปรุงยายังมีห้องที่เก็บฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงไฟโดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าจะใช้ม่านอาคมมากมายในการกดมันไว้ แต่ห้องนี้ก็ยังคงแผ่คลื่นความร้อนจนน่าตกใจออกมาอยู่ดี ดังนั้นเหตุที่ถ้ำนี้มีอากาศร้อนอยู่ตลอดก็เพราะห้องเก็บเชื้อเพลิงห้องนี้นี่เอง
สิ่งที่น่าคุยโวโอ้อวดก็คือทางใต้ของถ้ำแห่งนี้มีสวนสมุนไพร มองอย่างคร่าวๆ แล้วน่าจะมีพื้นที่ถึงหนึ่งร้อยจ้าง สวนนั้นมีสมุนไพรที่ล้ำค่าจนไม่อาจประเมินค่าได้ อายุของมันทุกต้นน่าจะเกินหนึ่งร้อยปี อย่างน้อยน่าจะมีคุณสมบัติระดับสามขึ้นไป
ฝูกุยพาพวกเขาเดินมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความภาคภูมิใจอย่างยากที่จะปิดบังไว้ ในที่สุดก็พูดยาวๆ ออกมาหนึ่งประโยค “สวนสมุนไพรนี้มีประวัติมาอย่างยาวนานมากกว่าภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์ บรรพชนผู้ก่อตั้งภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์มาพบมันเข้าโดยบังเอิญที่หลังภูเขา นี่เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสระดับสูงในอดีตเหลือเอาไว้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเคลื่อนย้ายมันมาที่นี่ หนึ่งในนั้นมีต้นที่อายุมากกว่าพันปี! สวนสมุนไพรในสำนักแถบนี้จึงไม่มีใครเทียบได้”
“สองสามต้นนั้นใช่ไหม?”จูจูชี้ไปที่สวนสมุนไพรทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่มีพื้นที่ขนาดเล็กแยกออกมา ด้านนั้นมีพืชที่ดูแล้วธรรมดาอายุไม่กี่ปี หากไม่สังเกตก็คงจะคิดว่าคือวัชพืช
อิ๋นจื่อจางกำลังคิดที่จะหัวเราะสายตาของจูจู แต่กลับเห็นว่าสีหน้าของฝูกุยนั้นเปลี่ยนไป เขามองจ้องมาที่จูจูพลางพูดว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
จูจูถูกเขาจ้องด้วยสายตาเฉียบขาดจนทำให้ตกใจ พลางตอบอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ข้ารู้สึกว่าพวกมันดู….แตกต่างมาก”
ฝูกุยหันมองไป และเปรียบเทียบต้นพืชสองสามต้นที่อยู่บนพื้นที่แยกเล็กๆ ที่ดูจะตายแหล่มิตายแหล่กับพืชที่มีรัศมีเรืองรองที่เหลือ ก็รู้สึกว่าดูแตกต่างจริงๆ
เขาไม่มีทางเชื่อว่าจูจูผู้ไม่มีพลังอะไรจะสามารถมองเห็นความลับของสวนแห่งนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงปรับสีหน้าเป็นอ่อนโยนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “เอาล่ะ ดูเสร็จแล้วก็ไปห้องหนังสือกันเถอะ”
ในใจคิดคาดเดาในใจ ดูแล้วต้องพูดเรื่องนี้กับเจ้าสำนักและอาวุโสเจิ้งเสียหน่อย ว่าเวทย์บังตาที่ใช้อยู่นั้นคงใช้ไม่ได้แล้ว แม้แต่เด็กผู้หญิงที่ไม่มีพลังอะไรเลยยังมองออกได้
จูจูและอิ๋นจื่อจางมองสบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกอึดอัดจนก้มศีรษะลง นางแค่รู้สึกว่าพืชพวกนั้นมีความพิเศษมากจริงๆ ด้านบนมีพลังชีวิตที่ยากจะอธิบายอยู่เต็มไปหมด และรูปร่างยังคุ้นตา นางเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน… พูดได้ว่าพืชสมุนไพรที่อยู่ในสวนสมุนไพรนี้ แค่มองนางก็รู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมาก แค่เห็นพวกมันก็รู้สึกมีความสุขออกมาจากข้างใน นี่มันเป็นเพราะอะไรกันแน่นะ?
เดินต่อมาตามทางอีกไม่นาน ฝูกุยก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูหินบานหนึ่ง พลางหันกลับมาพูดกับจูจูว่า “นี่คือห้องหนังสือ”
จูจูมองออกอย่างชัดเจน ว่าในสายตาของฝูกุยมีความเห็นใจอยู่…
ประตูถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นภายในของห้อง แค่มองอย่างน้อยก็มีชั้นหนังสือขนาดมหึมาอยู่ยี่สิบถึงสามสิบชั้น ด้านบนยังเต็มไปด้วยคัมภีร์หยกตลอดไปถึงหนังสือที่เข้าเล่มเอาไว้ที่ถูกวางกันอย่างแออัด อย่างน้อยก็มีหมื่นกว่าเล่ม!
จูจูตกใจแวบหนึ่งแล้วก็คิดย้อนกลับไป เมื่อครู่อาจารย์พูดว่าอะไรนะ?
เจ้าจำทั้งหมดได้เมื่อไหร่ ค่อยมาหาข้า…
ทั้งชีวิตนี้จะมีวันที่นางได้พบกับอาจารย์อีกครั้งไหมนะ?