บทที่ 38 คดีฆาตกรรมในตำหนัก
สาวงามในชุดแดงนั้นดูแล้วน่าจะอายุประมาณแค่สิบแปดสิบเก้าปี ผมสีดำสนิททิ้งตัวราวกับน้ำตก ผิวขาวราวหิมะ บนศีรษะสวมมงกุฎทองและที่เอวก็ยังคาดเข็มขัดสีทองเอาไว้ ทั้งเรือนร่างของนางดูเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชน สวยหยาดเยิ้มจนผู้คนหลงไหล แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือร่างกายของนางแผ่แรงกดออกมา เป็นแรงกดดันของผู้ฝึกระดับเจี๋ยตันขั้นสูงสุด!
นางคือมเหสีขององค์รัชทายาทตามที่หญิงสาวชุดขาวเรียก แต่น่าแปลกที่ข้างกายนางไม่มีผู้ติดตามสักคนและปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน
นางพูดออกมาอย่างเฉยชาว่า “ไม่ต้องมากพิธี” หลังจากนั้นสาวงามชุดแดงก็เดินเข้าไปกลางตำหนักโดยไม่ได้สนใจดรุณีชุดสีขาวทั้งสองเลย นางหันหน้าไปทางม่านอาคมแล้วยกสองมือขึ้น นิ้วเรียววาดสัญลักษณ์หนึ่งอย่างรวดเร็ว
ม่านอาคมในตำหนักพลันส่องแสงสว่างสีทองเรืองรอง ไม่นานก็สามารถระงับเปลวไฟที่ส่งออกมาจากหินผลึกได้
ดรุณีที่สวมชุดสีขาวมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นเดินขึ้นไปคำนับด้านหน้าพลางพูดว่า “ไท่จื่อเฟย ไท่จื่อทรงรับสั่งว่าหากผลึกวิญญาณนี้มีความผิดปกติให้รีบรายงาน ทรงคิดว่า…”
พวกนางทั้งสองเป็นสาวรับใช้ขององค์รัชทายาท สองปีก่อนถูกส่งมาดูแลที่นี่ ผลึกที่อยู่ในตำหนักนี้ไม่เคยมีปฏิกิริยาใดๆ มาก่อน อยู่ดีๆ วันนี้ก็ส่องแสงทั่วทุกทิศทาง ตามความคิดของพวกนางแล้ว ควรจะรีบส่งจดหมายไปที่วังตะวันออกโดยเร็ว แต่ว่ามเหสีขององค์รัชทายาทมาถึง ตามธรรมเนียมจำต้องขออนุญาตจากนางก่อน
“ตอนนี้ไท่จื่อกำลังกักตนบำเพ็ญตบะ ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น จะนำเรื่องเล็กๆ แบบนี้ไปรบกวนพระองค์ทำไม?” หญิงสาวสวยที่สวมชุดสีแดงนั้นโบกมือ สีหน้าของนางซับซ้อนขณะมองไปที่ผลึกวิญญาณที่ม่านอาคมกำลังค่อยๆ เก็บแสงที่สว่างโชติช่วงนั้นลง
“แต่ว่า….” ดรุณีชุดขาวกำลังจะพูดแต่ก็หยุดลง
องค์รัชทายาทให้ความสำคัญกับผลึกวิญญาณนี้มาก ทุกคนในวังต่างรู้ดี หยดเลือดภายในผลึกวิญญาณนั้นได้ยินว่าเป็นของนางสนมคนหนึ่งที่พระองค์ทรงรักมาก และเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของนาง แต่ดูแล้วไท่จื่อเฟยเหมือนอยากจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ งั้นก็ยุ่งเสียแล้วสิ!
สตรีงดงามสวมชุดสีแดงยิ้ม หันหน้ามาพูดกับพวกนางอย่างอ่อนโยนว่า “ช่างเถอะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าลำบากใจ เจ้าอยากไปรายงานก็รายงานเถอะ”
ดรุณีชุดขาวผ่อนคลายลงอย่างไม่ได้สงสัยอะไร รีบทำความเคารพแล้วหันหลังเดินออกไปทางนอกตำหนัก แต่พอก้าวพ้นออกไปก็พลันรู้สึกร้อนลวกที่แผ่นหลัง เจ็บปวดทรมานราวกับถูกเหล็กที่เผาไฟจนร้อนลวกเข้าก็ไม่ปาน จนอดไม่ได้ที่จะอ้าปากเพื่อจะเปล่งเสียงร้องออกมา
แต่ก็สายไปเสียแล้ว เบื้องหน้านั้นเหลือเพียงเปลวไฟสีแดง ไม่ใช่แสงที่ส่องประกายออกมาจากผลึกนั้น แต่เป็นเปลวไฟจริงๆ หน้าอกของพวกนางถูกเผาตั้งแต่ด้านหลังจนทะลุมาทางด้านหน้าจนเป็นรูขนาดใหญ่ ประกายไฟนั้นเพียงพริบตาก็กลายเป็นกองเพลิงที่ร้อนแรงลุกโชนปกคลุมร่างกายของพวกนาง ดรุณีชุดขาวสองนางไม่มีแม้แต่โอกาสจะเปล่งเสียงร้องออกมา ก็ถูกเปลวเพลิงร้อนแรงแผดเผาจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
จนตายพวกนางก็ไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…
เปลวไฟนั้นเมื่อแผดเผาพวกนางเสร็จแล้วก็ทำเหมือนมีชีวิตหดกลับไปด้วยความรวดเร็ว หายเข้าไปในนิ้วเรียวของหญิงสาว ภายในพริบตาก็ไม่หลงเหลือร่องรอยอะไรอีก
สตรีชุดแดงนั้นก้มหน้าลงมองปลายเล็บทั้งสิบที่ทาด้วยสีแดงสดราวกับสีเลือด ยิ้มเย็นๆ พลางหันกายกลับมามองผลึกวิญญาณโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
แสงสีเลือดภายในผลึกค่อยๆ ดับลง ในที่สุดก็ไม่เหลืออะไร ผลึกรอบๆ ที่ส่องแสงสีทองนั้นก็ค่อยๆกลับมาเป็นเหมือนปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติเพียงอย่างเดียวคือ บนผลึกวิญญาณนั้นมีรอยแตกนับไม่ถ้วน และรอยแตกพวกนี้เมื่อพิจารณามองดีๆ แล้วรอยนั้นได้กลายเป็นรูปนกตัวเล็กๆ ที่โบยบินอยู่เต็มท้องฟ้า
สตรีชุดแดงหน้าตาบิดเบี้ยวเล็กน้อยพลางมองไปที่ผลึก ใบหน้าแสดงความอิจฉาออกมา แต่ก็ยังเจือไปความสงสัยไม่เข้าใจอีกด้วย “เพียงไม่นานเจ้าก็มาได้ถึงขั้นนี้แล้ว…แต่ว่าเจ้านกพวกนี้มันหมายความว่าอะไรล่ะ?”
นางคิดอยู่สักพักก็ยังคิดไม่ออก ถ้าหากจะปิดบังองค์รัชทายาทก็จำเป็นต้องทำให้รอยนั้นเรียบสนิทเหมือนเดิม ดังนั้นนางจึงไม่ลังเลที่จะร่ายอาคม ใช้แสงสีแดงโอบล้อมผลึกวิญญาณไว้
ชั่วขณะที่แสงสีแดงจางหายไป รอยบนผลึกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“ถึงแม้ข้าจะเห็นแก่ตัว แต่ครั้งนี้ข้าก็ถือได้ว่าช่วยปกปิดแทนเจ้า สถานการณ์ของเจ้าตอนนี้ถ้าถูกไท่จื่อพบเข้า คงไม่มีโอกาสอีกครั้งแล้ว…น้องสาว เจ้าก็ระวังตัวเองเถอะ! ข้าไม่อยากพบเจ้าอีกครั้งแล้วจริงๆ” สตรีชุดแดงกัดริมฝีปากตัวเองพลางคิดในใจ พลางสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ทันใด้นั้นในตำหนักก็มีลมพัดขึ้นมา พัดเอากองขี้เถ้าสีเทาดำทั้งสองกองนั้นลอยออกไปด้านนอกตำหนักและตกลงไปในน้ำ ภายในพริบตาก็สลายไปกับสายน้ำ
เรื่องทั้งหมดดูเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีเพียงหญิงสาวในตำหนักนั้นที่สูญหายไปสองคน
ภายในพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ การที่หญิงสาวสองคนจะหายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
อิ๋นจื่อจางไปหาจูจูที่บ้านก็ไม่เจอ จึงรีบร้อนมาที่ด้านหน้าถ้ำของเจิ้งฉวน อาจารย์ของเขาโหยวเชียนเริ่นนั้นกำลังอยู่ในการฝึกบำเพ็ญตบะเพียงลำพัง ตอนนี้หวังจะให้เขาช่วยคงไม่ได้ อิ๋นจื่อจางจึงทำได้เพียงมาขอให้อาจารย์ของจูจูช่วย เพื่อให้เขาออกคำสั่งให้ตามหานาง
เขาพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลง จูจูเป็นคนที่รักตัวกลัวตายมาก หากไม่มีคนที่นางไว้ใจไปด้วย นางจะไม่มีทางออกไปจากหุบเขาอิงปั้งเป็นแน่
คนที่สามารถทำให้นางเชื่อใจได้ ทั้งภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีเพียงเขา เผยกู่และป้าวฝาหู่ และฝืนใจเพิ่มจิงจี๋เหรินไปด้วยอีกคน ส่วนคนอื่นก็คงจะมีอาจารย์เจิ้งฉวนแต่จูจูก็ยังระวังเขามาก
อิ๋นจื่อจางเลือกนักพรตน้อยมาสามคนเพื่อไปส่งจดหมายให้ทั้งสามคน และก็ได้รับการตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างไม่เห็นจูจู ความหวังเดียวของเขาจึงเหลือเพียงเจิ้งฉวน
เจิ้งฉวนยังใช้ห้องรับแขกที่เหมือนหม้อใหญ่นั้นต้อนรับเขา ใบหน้าของเขานั้นทั้งซึมเศร้าและกลัดกลุ้มใจ เมื่อได้ฟังสาเหตุที่อิ๋นจื่อจางมาหานั้น ก็หันไปพูดกับฝูกุยว่า “ไปเอาแผนที่ดวงดาวของยอดเขาเรามา”
ฝูกุยรู้ว่าเรื่องนี้หนักหนาหนักจึงไม่กล้าชักช้า ไม่นานก็หอบเอาแผนที่ดวงดาวออกมา
แผนที่ดวงดาวนั้นเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ ด้านบนนั้นแกะสลักด้วยรูปวงกลมที่มีขนาดเส้นผ่าสูงกลางประมาณสองฉื่อ ภายในวงกลมนั้นมีแผนที่ของหุบเขาอิงปั้ง มีดวงไฟเล็กๆ ที่สว่างกว่าร้อยดวง แต่ละดวงหมายถึงลูกศิษย์ของหุบเขาอิงปั้ง แค่ดูจากจุดนี้ก็สามารถรู้ได้ว่าลูกศิษย์คนนั้นอยู่ตรงไหน
หุบเขาอิงปั้งเป็นผู้จัดการยาวิเศษทั้งหมดของภูเขาญาณศักดิ์สิทธ์ สำหรับเรื่องความปลอดภัยนั้นจึงเข้มงวดมาก ลูกศิษย์ที่อยู่ในหุบเขาต่างห้อยป้ายติดตัวไว้เวลาออกไปไหน การที่มีป้ายอยู่นั้น ทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเขาได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด ป้ายนั้นยังเป็นกุญแจในการเปิดม่านพลังต่างๆ ในสำนัก ป้ายที่ไม่เหมือนกันจึงทำให้สถานที่ที่สามารถเข้าไปได้นั้นไม่เหมือนกัน
อิ๋นจื่อจางเข้าใจประโยชน์ของแผนที่ดวงดาว ชั่วขณะนั้นเขาผ่อนคลายลง แต่ว่าเมื่อเจิ้งฉวนชี้ที่อยู่ของจูจู เขาจึงรู้ว่าการที่เขาผ่อนคลายลงนั้นมันยังเร็วเกินไป…
“จูจูอยู่ที่หุบเขาชั่งเซียน?” อิ๋นจื่อจางใบหน้านิ่งขรึมไม่พูดอะไรหันหลังเดินจากไป
หุบเขาชั่งเซียนอยู่ด้านล่างของหุบเขาอิงปั้งและเป็นหุบเขาที่ปิดตายจากโลกภายนอก ในหุบเขานั้นเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบตลอดทั้งปีมีสัตว์ที่ชั่วร้ายอยู่ที่นั่นเต็มไปหมด จูจูไม่มีพลัง ไม่มีทางที่จะหาทางเข้าของหุบเขาได้แน่ ความเป็นไปได้ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือร่วงหล่นลงไปจากหน้าผาของหุบเขาอิงปั้ง!
นางเป็นแค่ผู้หญิงที่อ่อนแอคนหนึ่งแค่ตกลงไปจากภูเขาธรรมดาๆ ก็อาจจะสามารถรอดชีวิตได้ แต่ตกลงไปในภูเขาแบบนี้ ? ถึงโชคดีไม่ได้ถูกกระแทกจนกลายเป็นเศษเนื้อ ก็คงโดนสัตว์ร้ายที่นั่นเอาไปกิน
อิ๋นจื่อจางไม่กล้าคิดถึงสถานการ์ณของจูจูในตอนนี้ ใช้พลังที่มีทั้งหมดมุ่งตรงไปยังทางไปหุบเขาชั่งเซียน
ในใจก็ภาวนาว่า จูจู เจ้าต้องอดทนเอาไว้นะ อย่าเป็นอะไรไป…