บทที่ 39 เป็นหมูกันทั้งครอบครัว
ย้อนกลับมาตอนที่จูจูถูกแร้งเทพห้ากรงเล็บใช้ปากที่แหลมคมของมันแทงทะลุทรวงอก และพลิกตัวกลับมาจนตกหน้าผานั้น
จูจูนั้นสลบไปในทันที แต่สติสัมปชัญญะกลับกระจ่างอย่างประหลาด ดวงตาของนางปิดแน่น แต่กลับ ‘เห็น’ ฉากที่ประหลาดนี้…
นางเหมือนกับฟองสบู่ที่ถูกจิ้มจนแตก กลุ่มกระแสความร้อนแข็งแกร่งที่ยากจะอธิบายราวกับเดือดพล่านอยู่ในร่างกายของนางตอนที่นางไม่รู้สึกตัว ไม่นานในที่สุดมันก็หาทางออกเจอ โดยพ่นทะลุออกมาจากบาดแผลของนาง
นั่นไม่ใช่เลือดสดๆ แต่เป็นแสง เป็นความร้อน เป็นกลุ่มพลังที่ยิ่งใหญ่ที่เพียงพอจะล้างผลาญโลกได้!
แร้งเทพห้ากรงเล็บที่หลังจากทำร้ายคนก็หมายจะบินหนีไปนั้นราวกับว่าถูกเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ตะลึงไป มันแข็งทื่อไปทั้งตัว พริบตาเดียวก็ถูกพลังความร้อนกลืนเข้าไปในพริบตา กลายเป็นควันสีขาว แม้แต่ขี้เถ้าก็ไม่เหลือ
ทั้งบริเวณกลายเป็นแสงสว่างร้อนแรงทิ่มแทงนัยน์ตา พลังที่ไหลออกมาจากปากแผลนั้นยังคงไหลออกมาไม่หยุด จูจูกลับรู้สึกว่าผ่อนคลายลงชั่วขณะ รู้สึกเหมือนได้กินจนอิ่มยังไงยังงั้น ความเจ็บปวดก็หายไปอย่างกะทันหัน
เพียงแต่ความรู้สึกผ่อนคลายก็แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว จูจูรู้สึกว่าตัวเองนั้นปล่อยพลังความร้อนที่ออกมาเรื่อยๆ แล้วก็รู้สึกค่อยๆ อ่อนแอลง ในที่สุดก็สูญเสียสติรับรู้ทุกอย่างไป
ดังนั้นนางจึงไม่เห็นว่ากระแสความร้อนที่พ่นออกมาจากปากแผลของนางนั้นกลายเป็นนกไฟสวยงามจำนวนนับไม่ถ้วน และก็ไม่เห็นว่านกไฟพวกนั้นพานางลงมาที่พื้นอย่างนุ่มนวล เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายของนางได้รับบาดเจ็บจากการหล่นกระแทก และยิ่งไม่เห็นว่าเจ้านกไฟที่เกิดจากการรวมตัวของพลังในร่างกายนั้นหลังจากที่พานางบินลงมาอย่างปลอดภัยแล้ว ก็ยังวนเวียนกันกลายเป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่
กลุ่มแสงขนาดใหญ่นั้นเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง นกไฟตัวใหญ่ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นหัวของไก่ คางของนกนางแอ่น คอเป็นงู หลังเป็นเต่า หางเป็นปลา การรวมตัวที่แปลกประหลาดนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่าอยากคุกเข่าคารวะความสวยงามของมัน ขนหางยาวอันวิจิตรตระการตาของมันเหมือนผ้าไหมที่กำลังพริ้วไหวกลางอากาศ
แต่ช่วงก่อนที่เปลวไฟนั้นจะเปลี่ยนร่างเสร็จสมบูรณ์ ร่างกายของนกไฟก็สั่น ดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะหดตัวกลับไปอีกครั้ง มันกลายเป็นลูกกลมๆ เล็กๆ หลังจากนั้นก็ขยายแขนขาทั้งสี่ที่ทั้งอ้วนและสั้น หูกลายเป็นสามเหลี่ยม ดวงตาเรียวยาว มีจมูกและปากยื่นออกมา พร้อมกับหางที่ทั้งสั้นและบาง
ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ กายนางต่างถูกแสงไฟแผดเผาจนมอดไหม้ พลังไฟที่ไร้รูปร่างไหลทะลักไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้บรรดาสัตว์ร้ายที่กำลังแอบดูหนีตายกันอย่างอุตลุด หุบเขาชั่งเซียนจึงเหลือแต่ความเงียบสงัด
ผ่านไปสักพัก แรงกดดันก็ค่อยๆ หายไป จูจูที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นดินอย่างไม่ได้สติ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ภายใต้หมอกที่ปกคลุมจึงทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็น
ดูเหมือนจะแค่เพียงชั่วครู่ แต่ก็ดูเหมือนจะผ่านไปนานแล้ว จูจูจึงเริ่มฟื้นคืนสติขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะมีคนพยุงนางขึ้นมาเบาๆ ข้างๆ หูยังได้ยินเสียงของผู้ชายที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี “จูจู ได้สติเร็วเข้า!”
จูจูค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ภาพแรกที่เห็นก็คือใบหน้าที่คุ้นเคย ใบหน้านั้นประดับไปด้วยความรู้สึกกังวลลนลานอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน…เขาคืออิ๋นจื่อจางหรือ?
เมื่ออิ๋นจื่อจางเห็นนางตื่นขึ้น ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ หัวใจที่ตึงเครียดก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ
เพื่อหาจูจูให้ได้ไวที่สุด เขากระโดดลงมาจากหน้าผาของหุบเขาอิงปั้ง ใช้วิชาตัวเบาของตนช่วยให้เขาลงพื้นอย่างปลอดภัย และจากจุดที่เขาตกลงมานั้นก็อยู่ไม่ห่างจากจูจูเท่าไหร่นัก
ร่างกายของนางไม่มีบาดแผลใดๆ มีแค่รอยขาดของเสื้อผ้าที่หน้าอกของนาง อิ๋นจื่อจางตรวจสอบอย่างง่ายๆ ว่านางน่าจะไม่มีบาดแผลภายใน ลมหายใจที่สม่ำเสมอทำให้รู้ว่าไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต ช่วงเวลานั้นทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นราวกับเพิ่งรอดพ้นมาจากความตายอย่างนั้น
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่รู้ว่า หญิงสาวธรรมดาที่ทั้งเงอะงะไม่สวยและยังเซ่อซ่าขนาดนั้นมีความสำคัญต่อเขามาก
“ที่นี่คือที่ไหน?” จูจูกวาดตามองไปรอบด้าน รอบข้างต่างไม่มีอะไร ทุกอย่างรอบตัวนางต่างเป็นดินที่เกรียมไหม้
“ที่นี่คือด้านล่างสุดของหุบเขาชั่งเซียน ตอนนี้เจ้าลุกขึ้นเองได้ไหม? เรากลับไปถึงบนภูเขาแล้วค่อยคุยกัน ที่นี่มีสัตว์ร้ายเยอะมาก เจ้าเอาตัวเองไปใส่ไว้ในซอกฟันของพวกมันยังไม่พอเลย!” อิ๋นจื่อจางตีหน้าตึงพลางพูด
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ต่างเป็นเรื่องแปลกประหลาด แม้แต่เรื่องหุบเขาชั่งเซียนก็เป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่แถบนี้เหมือนเพิ่งถูกไฟไหม้ กลิ่นอายของสัตว์ร้ายสักนิดก็ไม่มี แต่ตรงนี้ก็ยังไม่สะดวกที่จะคุยได้ ใครจะรู้ว่ามันจะมีอันตรายอะไรเข้ามาอีก? กลับไปสถานที่ที่ปลอดภัยก่อนแล้วค่อยว่ากัน
จูจูเชื่อฟังเขาพลางยื่นมือออกมาดันพื้นเพื่อพยุงตัวเอง ทันใดนั้นแขนของนางก็รู้สึกเหมือนถูกอะไรชนเข้าสักอย่าง นางตกใจจนหันหน้าไปดู ก็พบกับลูกกลมๆ ที่น่ารักมากๆ ก้อนหนึ่ง เป็นหมูน้อยสีขาวอมชมพูยืนอยู่ข้างๆ แขนของนาง ดวงตาที่โค้งหยีของมันเหมือนกำลังยิ้มอยู่
“มัน.. มัน …..” หมูน้อยนี่ออกมาจากที่ไหนกัน? ใช่สัตว์ร้ายหรือเปล่า?
สวรรค์! สัตว์ร้ายที่น่ารักขนาดนี้? ดูแล้วไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน? หัวเล็กๆ ของมัน ถูกคนกินยังไม่พอเลย แล้วจะกินคนได้อย่างไรกัน?
ตอนที่อิ๋นจื่อจางมาถึงก็เห็นเจ้าหมูน้อยตัวนี้นั่งอยู่ข้างๆ นาง แต่ตอนนั้นจิตใจของเขากำลังเป็นกังวลมาก และก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่ามันจะคุกคามอะไร ดังนั้นเขาก็เลยไม่ได้สนใจมัน
พอได้ยินจูจูถาม ก็อดขมวดคิ้วพลางพูดไม่ได้ว่า “ญาติของเจ้าเองแท้ๆ เจ้ายังไม่รู้จักหรือ?”
“ญาติ?” จูจูตอบกลับอย่างมึนๆ
“หมูโง่สองตัว ตัวนึงตัวเล็กอีกตัวตัวใหญ่ จะไม่ใช่ญาติกันได้อย่างไร?”
ทำไมปากของเขามันช่างร้ายกาจขนาดนี้ จูจูโกรธมาก
“ขึ้นมา ข้าจะแบกเจ้าไป” อิ๋นจื่อจางหันหลังมาแสดงเจตนาว่าจะให้นางขี่หลังเขา
เจ้าหมูตัวนั้นเหมือนจะรู้ถึงเจตนาของเขา ปากของมันจึงกัดกระโปรงของจูจูเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
จูจูชอบมันตั้งแต่แรกพบ พอเห็นว่ามันมีท่าทางเหมือนอาลัยอาวรณ์นาง ดังนั้นนางจึงแอบเอาเจ้าหมูน้อยนี้วางไว้บนไหล่ของตัวเอง หลังจากนั้นก็ขึ้นไปบนหลังของอิ๋นจื่อจาง
นางไม่กล้าปรึกษากับอิ๋นจื่อจางว่าพามันไปด้วยได้ไหม นางจึงทำได้แค่เพียงนำมันมาด้วยแล้วค่อยบอกทีหลัง โชคดีที่เจ้าหมูตัวนั้นตัวเบาจนน่าประหลาด ขอแค่ตลอดทางมันเชื่อฟังไม่ส่งเสียงร้องและไม่เดินซี้ซั้ว อิ๋นจื่อจางก็น่าจะไม่มีทางพบหรอก
เจ้าหมูน้อยตัวนั้นดูเหมือนจะรู้ความในใจของนาง มันอยู่บนไหล่ของนางเงียบๆ เป็นเด็กดีจนน่าตกใจ
ตอนแรกจูจูยังกังวลว่าขาสั้นๆ ของมันจะเกาะไม่อยู่และทำให้ตกลงไป ดูจากความเร็วที่อิ๋นจื่อจางเดินแล้ว นางก็พบว่าตัวเองกังวลเกินไป และไม่รู้ว่าขาของเจ้าหมูนั้นเป็นอย่างไร นางไม่เห็นว่ามันจะออกแรงอะไรมากมาย แต่คาดไม่ถึงว่ามันจะเหนียวติดอยู่บนร่างกายของนาง ไม่ว่าหนทางจะเป็นอย่างไรสั่นสะเทือนแค่ไหน มันก็ไม่ไหวติง
หุบเขาชั่งเซียนในวันนี้ช่างเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด อิ๋นจื่อจางแทบจะไม่มีอะไรมาขัดขวาง เขาจึงพาจูจูเดินมาตามสันเขาและออกมาจากหุบเขาได้ หลังจากนั้นก็ใช้ทางลัดเดินกลับไปหุบเขาอิงปั้ง
เมื่อมาถึงสถานที่ที่ปลอดภัย อิ๋นจื่อจางก็ผ่อนฝีเท้าลง ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปถามไปว่า “เจ้าหมูโง่ เจ้าเดินยังไงกัน? ทำไมถึงตกลงไปยังหุบเขาชั่งเซียนได้? อาจารย์ของข้ากำลังบำเพ็ญตบะ เจ้าไม่มีงานอะไรจะวิ่งไปที่นั่นทำไม? หรือมีคนทำร้ายเจ้า?” เขานึกย้อนกลับไปแล้วก็รู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
จูจูนึกถึงประสบการณ์ที่เพิ่งพบก่อนหน้า ก็ตกใจจนหน้าถอดสี จึงเล่าเรื่องที่เฉิงขุยเปิ่นกำชับให้นางนำน้ำไปส่งให้โหยวเชียนเริ่นด้วยเสียงสั่นๆ ระหว่างที่ขึ้นไปนั้นก็มีแร้งเทพห้ากรงเล็บบินมาใช้จะงอยปากของมันแทงทะลุหน้าอกของนาง หลังจากนั้นนางก็ตกลงไปจากหน้าผา
สำหรับเรื่อง ‘ภาพหลอน’ นั้น นางเองก็จำได้ไม่ชัด จึงไม่ได้พูดออกไป