บทที่ 12 ทำให้ขายหน้าไม่จำเป็นต้องเลือกวัน
จูจูรู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นๆ ที่ล้วงเข้ามาในเสื้อผ่านหน้าอกของนาง นางหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ในหัวมีภาพเหตุการณ์สะท้อนขึ้นมาอย่างวุ่นวาย ความรู้สึกกลัวปกคลุมอยู่ที่ตัวนาง ทำให้นางตัวงอลงอย่างไม่ได้ตั้งใจเหมือนสัตว์ป่าตัวน้อยที่ถูกนายพรานยิงด้วยลูกศร
ที่จริงแล้วในใจของอิ๋นจื่อจางไม่คิดถึงการแบ่งแยกเพศชายหญิงกับจูจู คิดไม่ถึงว่าปฎิกิริยาตอบสนองของนางจะรุนแรงขนาดนี้ ! ในสายตาของเขาจูจูเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ เท่านั้น ไม่คิดว่าจะทำให้นางตกใจถึงขนาดนี้ จนเขาเองก็ทำตัวไม่ถูก
แต่ว่าจูจูมีปฎิกิริยาที่รุนแรงเกินไปหรือเปล่า? ! ไม่ใช่คิดว่าเขาจะลวนลามนางหรอกนะ?
เข้าใจผิดหรือเปล่า! ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหน้าอกของนางแบนเรียบขนาดด้านหน้าหรือด้านหลังก็ไม่ต่างกัน ถ้าเขาจะลวนลามคงไม่เลือกนางหรอก
แต่จูจูที่อยู่เบื้องหน้าเขามีท่าทางแปลกๆ อิ๋นจื่อจางตบไปที่บ่าของนางอย่างลังเล แต่นางกลับร้องเสียงแหลมขึ้นมาอีกรอบ พร้อมกับก้าวถอยหลังวิ่งออกไปด้วยความตกใจ
นางทำเหมือนตัวเองอยู่ในสถานการณ์ของวันสิ้นโลก แม้แต่ลมพัดใบไม้พลิ้วไหวนางก็ตกใจจนรับไม่ไหว
“นี่! เจ้าเป็นอะไรไป? ไม่ใช่ฝันร้ายกลางวันแสกๆ หรอกนะ?!” เขาจำได้ว่านางเคยมีอาการแบบนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง ต่างก็เป็นอาการหลังจากที่นางตื่นมาจากฝันร้าย
จูจูได้ยินคำว่าฝันร้าย ก็ตกใจกลัวจนไม่ขยับตัว
นางฝันร้ายอีกแล้วหรือ? ความรู้สึกน่ากลัวเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เรื่องจริงหรือ? นางถูกภาพลวงตาทำให้ตกใจหรือนี่?
อิ๋นจื่อจางลองค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้นางพลางพูดว่า “เจ้าลืมตาดูรอบๆ ตัวดีๆ เจ้าอยู่ที่ไหน จะกลัวอะไร?”
สายลมอ่อนๆ พัดเอากลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าพัดผ่านตัวนางไป ทำให้ความรู้สึกของนางค่อยๆ สงบลงพลางเงยหน้าขึ้นมองอิ๋นจื่อจางที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพลางพิจารณานางอย่างละเอียดด้วยอาการงงงงวยเล็กน้อย
ไม่ใช่ปีศาจร้ายตนนั้น…ในใจของนางผ่อนคลายลง รู้สึกแค่เหมือนแผ่นดินตรงหน้าหมุนไปมาและเป็นลมล้มลงไป
อิ๋นจื่อจางอุ้มจูจูขึ้นมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไร จะกลัวอะไรล่ะ! โชคดีที่นางไม่ใช่สาวสวยอะไร ไม่งั้นถ้ามีคนมาเห็นเข้าคงจะคิดว่าเขาพานางมาทำมิดีมิร้ายแน่ในป่าเป็นแน่
ที่นี่ยังรับสมัครลูกศิษย์อยู่จึงทำให้บรรดาลูกศิษย์ยังรวมตัวกันอยู่ที่หน้าตำหนัก ในหุบเขาเริ่มต้นจึงมีเงาของคนเพียงไม่กี่คน อิ๋นจื่อจางพาจูจูที่เป็นลมมาส่งที่ที่พักของนาง
เรือนพักเรือนหนึ่งมีอยู่ห้าห้อง อีกสี่ห้องยังไม่มีใครอยู่ อิ๋นจื่อจางยังไม่วางใจที่จะปล่อยนางไว้เพียงลำพัง เขาจึงตัดสินใจนั่งลงเพื่อรอให้นางตื่น
สำนักญาณศักดิ์สิทธิ์นี้ตั้งอยู่บนชีพจรของภูเขาญาณศักดิ์สิทธิ์ ทำให้กลิ่นอายของพลังปราณนั้นหนาแน่นมากกว่าภายนอกมากนัก ถึงแม้ว่าหุบเขาเริ่มต้นจะเป็นแค่แถบด้านนอก แต่อิ๋นจื่อจางก็รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก
เขาปรับพลังลมปราณให้โคจรครบสิบสองรอบก็ลืมตาขึ้นด้วยความสบายอารมณ์ ในใจพลางคิดว่า ตามระดับความเร็วขนาดนี้ ภายในหนึ่งปีเขาก็คงเตรียมตัวเป็นจู้จีได้แล้วล่ะ
ระดับของผู้ฝึกฝนพลังนั้นเป็นพื้นฐานของพื้นฐานของการเป็นเซียน ผู้บำเพ็ญเป็นเซียนนั้นก็แค่สุขภาพร่างกายดีกว่าคนทั่วไป อายุยังยืนกว่าคนปกติ รวมทั้งพละกำลังก็ดีกว่าคนปกติ และเข้าใจคาถาเล็กๆ น้อยๆ ก็เท่านั้น หากอายุครบหนึ่งร้อยปีก็คงหนีความตายไม่พ้น ถ้าหากไม่สามารถไปถึงระดับจู้จีได้ ก็หมายความเขาไม่อาจเหยียบเข้าไปในหนทางแห่งการเป็นเซียนได้
คนธรรมดาที่มีรากวิญญาณก็ถือว่าเป็นหนึ่งในพันแล้ว ส่วนการฝึกจนได้กลายเป็นระดับจู้จีนั้นคือหนึ่งในร้อย ผู้บำเพ็ญเป็นเซียนบางคนใช้เวลาฝึกทั้งชีวิตก็เป็นได้เพียงผู้ฝึกพลัง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ จึงทำได้เพียงเก็บความแค้นไว้ในใจจนสิ้นลม
ดูจากคุณสมบัติของเขาแล้วการไปถึงระดับจู้จีคงไม่ยากอะไร แต่ถ้าหากอยากจะสำเร็จภายในครั้งเดียวคงต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี คิดถึงตรงนี้เขาก็ลูบไปที่แหวนบนนิ้วมือข้างซ้ายอย่างใจลอย
ภายในนั้นบรรจุไปด้วยจู้จีตานสามเม็ด เป็นสิ่งที่ท่านยายของจูจูให้เอาไว้ เพื่อตอบแทนที่เขาจะคอยดูแลจูจู
อิ๋นจื่อจางรู้สึกสงสัยในตัวท่านยายลึกลับท่านนั้นเป็นอย่างมาก เรื่องที่เกิดตอนบ่ายของวันนี้ยังคงวนเวียนในหัว ถ้าดูจากการแสดงออกของเจิ้งฉวนแล้วหมายความว่าจูจูที่ถูกฟ้าสร้างมาให้เป็นคนไร้ค่ายังมีความลับที่ไม่สามารถให้ใครรับรู้ได้ซ่อนอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าพูดหรอกว่าจะสามารถทำให้จูจูกลายเป็นอัจฉริยะได้
เรื่องแปลกๆ ในตัวของจูจูนั้นมีเยอะมาก อย่างตอนที่นางมีท่าทางแปลกๆ ตอนอยู่ในป่านั่น…ขณะนั้นเองเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า หรือว่าจะมีใครเคยทำร้ายหรือกระทั่งล่วงเกินนาง ดังนั้นเลยทำให้ปฏิกิริยาของนางรุนแรงถึงเพียงนี้?
เมื่อก้มหน้าลงไปมองใบหน้าของนาง อิ๋นจื่อจางก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากเกินไปชั่วขณะ
ในขณะที่เขากำลังคิดอย่างใจลอยนั้น ทันใดนั้นท้องของจูจูก็ร้องโครกครากขึ้นมา หลังจากนั้นนางก็ขยี้ตาแล้วตื่นขึ้น พลางบ่นว่า “หิวมาก…”
“งั้นยังไม่รีบไปทำอาหารอีก? เจ้าหมูโง่ที่รู้จักแต่กินนี่!” อิ๋นจื่อจางทั้งฉุนทั้งขำ
ในขณะนั้นเอง ลูกศิษย์ที่เคยนำยาวิเศษมาส่งก่อนหน้านี้ก็กำลังคุยเล่นกับศิษย์คนอื่นอยู่ในห้องภายในหุบเขาอิงปั้ง
“ยัยเด็กผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้เรื่องจริงๆ เลย มาบอกว่ายาดึงรากวิญญาณของพวกเรามีกลิ่นเหม็น สกปรก แถมยังบอกว่ายาล้างสิ่งโสมมไม่มีลวดลายมันไม่สวย ท่านอาวุโสเจิ้งรับลูกศิษย์แบบนี้มา วันข้างหน้าคงลำบากมากแน่ๆ!”
ลูกศิษย์คนนี้มีชื่อว่าเฉิงขุยเปิ่น เสียงที่เขาพูดค่อนข้างดัง พูดไปด้วยก็มองไปยังประตูใหญ่ห้องปรุงยาไปด้วย แต่ไหนแต่ไรมา ในช่วงเวลานี้ ท่านอาวุโสเจิ้งฉวนจะต้องมาตรวจสอบที่นี่
เขาคาดหวังมาตลอดว่าจะได้กลายเป็นศิษย์เอกของเจิ้งฉวน และเขารู้ว่าตนเองมีคุณสมบัติสูงที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ผู้ฝึกพลังของหุบเขาอิงปั้ง คิดไม่ถึงว่าการที่เขาอดทนพยายามฝึกฝนมาหลายปี สุดท้ายแล้วเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนนึงจะไปเข้าตาเจิ้งฉวน เขารู้สึกไม่พอใจมาก ดังนั้นจึงจงใจพูดเรื่องที่เจอมาวันนี้เสียงดัง หวังว่าเจิ้งฉวนจะได้ยินและล้มเลิกความตั้งใจที่จะรับจูจูเป็นลูกศิษย์
ลูกศิษย์คนอื่นต่างรู้เจตนาของเขาดี จึงได้แต่หัวเราะแล้วพูดสนับสนุนเขา
“วัตถุดิบในการทำยาดึงรากวิญญาณที่พวกเจ้าใช้เดิมทีกลิ่นของมันก็เหม็นอยู่แล้ว มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ?” เงาของเจิ้งฉวนปรากฏขึ้น เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้บรรดาลูกศิษย์หน้าซีดเผือด
เจิ้งฉวนปรมาจารย์ปรุงยาระดับหกอยู่ที่นี่จริงๆ ถึงแม้ว่าเขาจะพูดว่ายาดึงรากวิญญาณที่พวกลูกศิษย์ปรุงขึ้นมาจะเหมาะแก่ให้สุนัขกินเท่านั้น พวกเขาก็ยังจำต้องเชื่อฟัง ถึงแม้ในใจจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ทำได้เพียงหน้าแดงไปจนถึงหูปิดปากไม่กล้าพูดอะไร
ปรมาจารย์ปรุงยาระดับหกนั้นระดับของเขาอย่างน้อยก็คือระดับเจี๋ยตันสูงสุด แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่อยู่ระดับเจี๋ยตัน จะสามารถเป็นปรมาจารย์ปรุงยาได้
การจะเป็นปรมาจารย์ปรุงยาได้นั้นต้องมีรากวิญญาณคู่ คือ ธาตุไฟและธาตุไม้ และทั้งสองธาตุจะต้องมีระดับพลังที่มั่นคง นี่ยังเป็นแค่คุณสมบัติขั้นพื้นฐาน ส่วนคุณสมบัติเรื่องเวทย์อาคมอย่างอื่นที่ต้องมีนั้นยังต้องมีอีกมาก
ผู้ฝึกพลังทั่วไปสามารถเรียนรู้วิชาปรุงยาได้ แต่ว่ามีเพียงผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้น ถึงจะสามารถกลายเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับหนึ่ง หรือสอง ยากกว่าการเลื่อนขั้นเป็นระดับจู้จีหลายเท่า ผู้ที่มีรากวิญญาณคู่ ธาตุน้ำและไม้สิบคน เรียนวิชาปรุงยาแล้ว สุดท้ายก็จะมีแค่หนึ่งถึงสองคนที่สามารถเข้าไปถึงขั้นปรมาจารย์ได้
สำหรับผู้บำเพ็ญเป็นเซียนแล้ว การไม่มียาวิเศษหนทางจะมีชีวิตยืนยาวของพวกเขาก็จะเป็นไปอย่างคดเคี้ยวขรุขระ การที่จะใช้คำว่ายากลำบากมาอธิบายยังถือว่าธรรมดาไป ต้องเรียกว่าเต็มไปด้วยภยันอันตราย
เพราะยาวิเศษนั้นสำคัญ เซียนผู้ปรุงยาจึงถือว่าเป็นคนที่หายากและมีค่ามาก ดังนั้นฐานะของพวกเขาจึงสูงส่ง แค่อาจารย์ปรุงยาระดับหนึ่งหนึ่งคน ก็ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนระดับจู้จีต้องคอยมองสีหน้า และมีเซียนระดับจู้จีไม่น้อยที่ยอมถวายชีวิตให้แก่พวกเขา
ในโลกนี้ไม่ต้องพูดถึงปรมาจารย์ปรุงยาระดับหกหรอก แค่ระดับสามหรือสี่ ก็เพียงพอที่จะมีชีวิตอย่างมั่นคงแล้ว
เฉิงขุยเปิ่นนั้นใช้พลังของผู้ฝึกพลังระดับเก้าจนกลายเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับหนึ่งได้ ทุกวันนี้ฐานะของเขาในสำนักญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ถือว่าใหญ่โตกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายคน นอกจากเจิ้งฉวนและเซียนระดับเจี๋ยตัน รวมทั้งเซียนระดับจู้จีที่มีความสามารถอย่างแท้จริงแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าสร้างความอึดอัดใจให้เขามาก่อน
ไม่ว่าอย่างไรฐานะของเจิ้งฉวนไม่ว่าจะเป็นระดับขั้นพลังหรือพลังในการปรุงยานั้นก็ไม่ใช่คนที่เฉิงขุยเปิ่นจะเทียบได้ ดังนั้นเขาถึงขี้เกียจจะไปสนใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เมื่อพูดจาฉีกหน้าอีกฝ่ายจบก็เดินเข้าไปในห้องปรุงยาที่อยู่ด้านในสุดอย่างเงียบๆ แววตาเจือไปด้วยความมืดมนและเย็นชา ปากก็บ่นพึมพำกับตัวเองว่า “ที่แท้ยังสามารถแยกออกว่ายารากวิญญาณคุณภาพดีหรือไม่ แล้วยังจำยาวิงเวียน…เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตคงยังไม่ลืมไปทั้งหมดสินะ…”